เจริญพร เร็วไปนิดหนึ่ง แต่ว่าทุกคนพร้อมแล้วก็เริ่มเลย เรื่องการปฏิบัติธรรม เราอย่าคิดว่าเป็นเรื่องยาก ส่วนใหญ่เราชอบคิดว่า การปฏิบัติธรรมต้องไปทำอะไรที่มันยากๆ ที่แท้แล้วการปฏิบัติธรรมอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าเราคอยมีสติรู้ทันตัวเองบ่อยๆ รู้ทันร่างกายรู้ทันจิตใจบ่อยๆ สติจะเกิด สติไม่ใช่เป็นของเกิดได้ง่ายๆ เราต้องอาศัยค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ ดู ดูร่างกายบ่อยๆ ดูจิตใจบ่อยๆ ถ้าเราได้เคล็ดลับตัวนี้แล้วการภาวนาจะง่าย เรียกว่าง่ายเพราะมันไม่ได้ทำอะไร เราใช้ชีวิตของเราปกติอย่างนี้ หลวงพ่อปราโมทย์ท่านบอกเราบ่อยๆ เวลาจะภาวนาใช้จิตธรรมดาปกติของมนุษย์นี่ล่ะ แต่เราคอยฝึกสติ คอยรู้ทันร่างกาย รู้ทันจิตใจตัวเองบ่อยๆ ร่างกายที่ตัวเองต้องรู้ อย่างคนชอบทำอานาปานสติ ก็ดูร่างกายหายใจออก ดูร่างกายหายใจเข้า คนละอัน ส่วนใหญ่พอเราบอก ให้ไปดูร่างกายหายใจออก ไปดูร่างกายหายใจเข้า นักปฏิบัติส่วนใหญ่จะไปเพ่งไปจ้อง จ้องดูลมหายใจ ตัวนี้คือการเพ่ง แต่บางคนพอเราดูลมหายใจออก ดูลมหายใจเข้า ดูไปพักหนึ่งก็ไหลไปคิด ไหลไปฟุ้งซ่าน อันนี้คือหลงขาดสติ ทำอย่างไรเราจะดูร่างกายหายใจออก ร่างกายหายใจเข้าได้บ่อยๆ ถ้าเราดูได้บ่อยๆ ต่อไปร่างกายหายใจออกก็รู้สึกตัว ร่างกายหายใจเข้าก็จะรู้สึกตัว หัดสังเกตสภาวะไป อย่างเราจงใจดูลมหายใจเข้า ดูลมหายใจออก นี่คือการเพ่ง แต่ถ้าเราดูลมหายใจเข้า หายใจออกแล้วใจไหลไปคิด ไหลไปฟุ้งซ่าน อันนี้คือขาดสติ แต่ถ้าเรามีสติระลึกรู้ เห็นร่างกายหายใจออกก็รู้ เห็นร่างกายหายใจเข้าก็รู้ อันนี้คือเรามีสติ ถ้าคนชอบอานาปานสติ อย่างหลวงพ่อปราโมทย์ท่านชอบตัวนี้ เพราะท่านฝึกของท่านมาแต่เด็ก สมัยที่พระอาจารย์หัดภาวนา ตัวนี้พระอาจารย์ไม่ค่อยชอบหรอก เพราะสมัยก่อนเป็นโรคภูมิแพ้ หายใจไม่ค่อยได้ ก็เลยไม่ค่อยชอบทำกรรมฐานตัวนี้ แต่ว่าตัวที่พระอาจารย์ชอบทำคือ ร่างกายเคลื่อนไหวเรารู้ ร่างกายหยุดนิ่งเรารู้ ร่างกายกระดุกกระดิกเรารู้ ร่างกายเคลื่อนไหวตลอดเวลา อย่างบางคนก็กระดุกกระดิก บางคนก็เกาขา บางคนก็ส่ายไปส่ายมา ขยับไปขยับมา คอยรู้สึก รู้สึกบ่อยๆ ร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้สึก ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้สึก เหมือนกันนะถ้าสมมติเรา อย่างบางคนทำกรรมฐานเคลื่อนไหวทำจังหวะ ถ้าเวลาทำจังหวะเราจดจ่อ หรือว่าจงใจทำจังหวะมากเกินไป จงใจดูร่างกายเคลื่อนไหวมากเกินไป นี่คือการเพ่ง หรือว่าเราเคลื่อนไหวไป เคลื่อนไหวจนชำนาญ จำแต่ละรูปได้ ทำไปแล้วก็ใจเราเผลอเพลินไป ไหลไปคิดไหลไปฟุ้งซ่าน นี่คือขาดสติ ฉะนั้นเคลื่อนไหวก็คอยรู้สึก ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้สึก ร่างกายกระดุกกระดิกก็รู้สึก เราหัดดูไป ดูไปบ่อยๆ ต่อไปร่างกายเคลื่อนไหวมันจะรู้สึกเอง ร่างกายหยุดนิ่งมันจะรู้สึกเอง ที่รู้สึกเองตัวนี้คือ สติมันระลึกรู้ร่างกาย อีกตัวหนึ่งร่างกายยืนก็รู้ ร่างกายเดินก็รู้ ร่างกายนั่งก็รู้ ร่างกายนอนก็รู้ หัดดูไป เหมือนกันถ้าเราเจตนาจะดู จงใจดูร่างกายยืน ร่างกายเดิน ร่างกายนั่ง ร่างกายนอน อันนี้คือการเพ่ง หรือว่าเวลาเราดูร่างกายยืน ร่างกายเดิน ร่างกายนั่ง หรือร่างกายนอน แต่เวลาเราดูไปดูมา มันไหลไปคิดไหลไปเพลิดเพลิน นี่คือขาดสติ เราต้องมีสติอยู่กับการรู้รูปยืน รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน อันนี้ต้องไปค่อยหัดสังเกต เวลาเราหัดดูถ้าเราจงใจเราเจตนาแรงคือการเพ่ง แต่ว่าถ้าเราดูจนชำนาญ เราคิดว่าเราดูอยู่ แต่ว่ามันแอบไปคิดแอบไปฟุ้งซ่านคือหลงไป ขาดสติ ทำอย่างไรเราจะฝึกให้มีสติอยู่กับร่างกายบ่อยๆ ถ้าเราฝึกตรงนี้ได้ เราไปฝึกเดินจงกรมก็เห็นร่างกายเดินจงกรม มีสติระลึกรู้อยู่ที่การเดินจงกรม แต่นักปฏิบัติส่วนใหญ่ที่ครูบาอาจารย์ท่านบอก ร้อยทั้งร้อยเวลาเราไปเดินจงกรม เราก็ไปเพ่ง ไม่เพ่งบางทีเดินจงกรมไปเดินจนเพลินๆ ก็ไหลไปคิดไหลไปฟุ้งซ่าน อันนี้คือขาดสติ มันคือว่าทำไมนักปฏิบัติส่วนใหญ่ ปฏิบัติแล้วไม่ค่อยได้ผล เพราะปฏิบัติแล้วมันไม่ค่อยมีสติ ปฏิบัติแล้วส่วนใหญ่เพ่งเอา อย่างพวกเราคนจีนที่ส่วนใหญ่ที่มาส่งการบ้าน ส่วนใหญ่เราตั้งใจปฏิบัติกันมาก ตั้งใจเรียน ตั้งใจภาวนากันมาก พอถึงเวลาเราจงใจเยอะ พอจงใจเยอะ เราจะกลัวหลงกลัวเผลออะไรอย่างนี้ เราก็ไปเพ่งไว้ จะพุทโธแล้วก็เพ่งพุทโธ จะดูลมหายใจแล้วก็ไปเพ่งลมหายใจ จะไปเดินจงกรม เราก็ไปเพ่งการเดินจงกรม สติเลยไม่เกิด สติตัวนี้ที่ว่าไม่เกิดคือสัมมาสติ ฉะนั้นเราต้องหัด หัดดูให้มันถูก รู้ไปสบายๆ นี่คือส่วนของร่างกาย สภาวะของรูปธรรมที่เราต้องดู ไม่ต้องดูทั้งหมด ดูตัวที่เราถนั ด ตัวไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องดูทั้งหมดหรอก แต่ว่าถ้าคนที่ท่านสติไวๆ บางทีดูได้ทั้งหมด อย่างหลวงพ่อปราโมทย์สมัยที่ท่านดู ท่านดูลมหายใจ ตอนหลังท่านไปหัดดูร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง ร่างกายกระดุกกระดิกอะไรอย่างนี้ ท่านก็หัดรู้สึกตัวตรงนี้ได้ ท่านบอกว่ารู้สึกตัวตรงนี้ แล้วสติของท่านไวสติท่านเยอะ ท่านบอกตอนนอนนี่มันรู้สึกตัวตลอดเลย ร่างกายพลิกซ้ายพลิกขวาก็รู้หมดเลย ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายกระดุกกระดิกอะไรรู้สึกหมดเลย ท่านเลยบอกเลยนอนไม่ค่อยสนุกเลย เพราะว่าพอร่างกายขยับปุ๊บก็รู้สึกตัว ร่างกายขยับปุ๊บก็รู้สึกตัวอย่างนี้ เราไปหัดนะหัดให้มันรู้สึกตัวขึ้นมา อย่างตอนนั้นพระอาจารย์ที่เล่าให้ฟังวันก่อน พระอาจารย์ก็หัดไปดูร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง หัดไปอยู่ 3-4 วัน พอร่างกายเคลื่อนไหวตอนนั้นเราขาดสติ ร่างกายเคลื่อนไหวมันรู้สึกตัวขึ้นมาเลย จิตตื่นออกมา ตัวนี้จะว่ายากก็ยาก แต่ว่าถ้าคนที่ค่อยๆ ฝึกมันจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้ เวลาเราฝึกก็คืออย่าจงใจเยอะ ถ้าเราจงใจมันคือการเพ่ง ทีนี้เราไม่จงใจมันก็จะหลงขาดสติไป แต่ว่าต้องคอยรู้ร่างกายรู้รูปบ่อยๆ รู้ไปจนกว่ามันจะจำสภาวะได้ ต่อไปถ้ามันจำสภาวะของรูปธรรมทั้งหลาย ที่พระอาจารย์เล่าให้ฟังได้ เวลามันเคลื่อนไหวมันรู้สึกของมันเอง คล้ายๆ รู้สึกว่าร่างกายมันเคลื่อนไหวมันก็รู้ ร่างกายหยุดนิ่งมันก็รู้ ร่างกายยืนเดินนั่งนอนก็รู้ ร่างกายหายใจออก ร่างกายหายใจเข้าก็จะรู้ นี่ล่ะคือการฝึกสติของการดูร่างกาย ส่วนการดูเวทนา บางคนชอบดูเวทนา เวทนาก็มีความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ อันนี้เวทนาทางใจ เวทนาทางกายก็มีสุขเวทนากับทุกขเวทนา แต่ส่วนใหญ่ดูเวทนาทางกายมันดูยาก ต้องอาศัยสมาธิสูงๆ หน่อย แต่ว่าตัวที่ดูง่ายดูเวทนาทางใจ เวทนาทางใจเกิดตลอดเวลา อย่างตอนนี้เรามีความสุข หรือเรามีความทุกข์หรือว่าเราเฉยๆ เราก็รู้ไป รู้ไปจนกว่ามันจะจำสภาวะของเวทนาพวกนี้ได้ สติก็จะเกิดขึ้นมาเอง จริงๆ ครูบาอาจารย์บางท่านก็บอกตัวเวทนานี่ดูง่าย แต่จริงๆ มันแล้วแต่คนถนัด ถ้าเราถนัดเราก็ดู ถ้าเราไม่ถนัดเราก็ไปดูตัวอื่น ตัวอีกตัวหนึ่งคือตัวความปรุงแต่ง ปรุงจิต ปรุงกุศล ปรุงอกุศล เราหัดดูไป จิตมีความโกรธเราก็รู้ทัน จิตไม่โกรธเราก็รู้ทัน จิตมีความโลภเราก็รู้ทัน จิตไม่มีความโลภเราก็รู้ทัน หรือจิตหลงเราก็รู้ทัน จิตไม่หลงเราก็รู้ แต่ส่วนใหญ่จิตหลงจิตไม่หลงจะดูยาก จิตหลงนี่มีหลายตัว อย่างตัวฟุ้งซ่าน ตัวหดหู่ เราค่อยๆ สังเกตไป เราหัดดูสภาวะไป อย่างตัวความโกรธนี่มีเยอะแยะเลย ถ้าเราค่อยๆ สังเกต โกรธแรงๆ โกรธเบาๆ หรือว่าหงุดหงิดอะไรอย่างนี้ อย่างรำคาญอะไรอย่างนี้ เราหัดดูไป ถ้าเราค่อยๆ สังเกต ค่อยๆ ดูสภาวะของนามธรรมเหล่านี้ไปเรื่อยๆ ต่อไปจิตมันจำสภาวะ ของนามธรรมทั้งหลายเหล่านี้ได้ จิตจะตื่นออกมาเอง ถ้าเราจำสภาวะ ของรูปของนามธรรมทั้งหลาย ที่เราฝึกดูสภาวะตัวนี้บ่อยๆ ถ้ามันจำรูปจำนามธรรมพวกนี้บ่อยๆ จิตจะตื่นออกมาเอง แล้วพอมันตื่นออกมาเราจะรู้สึกเลย เราไม่ได้ทำอะไร มันแค่รู้ของมันเฉยๆ แต่ว่าถ้าเรายังบังคับร่างกายบังคับจิตใจ หรือว่ายังไหลไปคิดเรื่องกรรมฐาน ไหลไปคิดเรื่องร่างกาย ไหลไปคิดเรื่องนามธรรมเรื่องจิตใจ สติไม่เกิด ใจไม่ตื่นออกมา ฝึกตัวนี้บ่อยๆ ถ้าเราฝึกพวกนี้ได้บ่อยๆ ใจจะตื่นออกมา ต่อไปร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้สึก นามธรรมเกิดก็รู้สึก เราค่อยๆ ฝึกสติอยู่กับร่างกายอยู่กับจิตใจบ่อยๆ ถ้าเรามีสติตัวนี้ได้มันเกิดสัมมาสติขึ้นมาได้ ที่เราระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม ในร่างกายในจิตใจของเราตัวนี้ได้บ่อยๆ สัมมาสมาธิจะเกิดขึ้นมาเอง สมัยที่พระอาจารย์ฝึกไม่ได้ว่า. ..ช่วงแรกไม่ได้ว่าฝึกยากเย็นอะไร ฝึกหัดดูสภาวะอย่างนี้ ร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้สึก ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้สึก ตอนที่ฝึกมันมีเจตนาแต่ไม่ได้เจตนาแรง เจตนาแรงๆ คือการเพ่งร่างกาย ตัวนี้จะทำให้สัมมาสติไม่เกิด เราหัดดูไปสบายๆ อย่างนี้ล่ะ ดูร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้ ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้ ตามดูร่างกายไปบ่อยๆ พอมันจำรูปของร่างกาย รูปร่างกายตอนนั้นที่พระอาจารย์ดูรูปของร่างกายคือ รูปเคลื่อนไหว รูปหยุดนิ่ง รูปกระดุกกระดิก พอมันจำรูปของพวกนี้ได้ ต่อไปเราเคลื่อนไหว สติมันเกิดของมันเอง ตอนสติมันเกิดของมันเองเรายังรู้สึก เออ แปลกดี ไม่คิดว่าตอนที่เราหลงๆ แล้วเราเคลื่อนไหว สติมันจะเกิด อย่างหลวงพ่อปราโมทย์ท่านเคยเล่า ตอนนั้นท่านไปดูสายหลวงพ่อเทียน ทำกรรมฐานเคลื่อนไหวหยุดนิ่งอะไรอย่างนี้ ทำจังหวะ ท่านไปดูแล้วตอนแรกท่านเป็นคนโทสะ ให้ไปทำครบทั้งเซ็ตของจังหวะนั้น 14 หรืออะไรนั่น ท่านบอกว่าทำแล้วมันเยอะไป ท่านไม่ชอบ อะไรที่เยอะๆ ดูแล้วมันรำคาญ ท่านก็เลยไปขยับมือ มือเคลื่อนไหวก็รู้สึก มือกำก็รู้สึก มือแบก็รู้สึก ทำขยับมือแล้วรู้สึกไป ท่านบอกทำอยู่ไม่กี่วันหรอก วันหนึ่งเดินไปที่ถนน เห็นเพื่อน เพื่อนสนิท เพื่อนเก่า ไม่ได้เจอกันนานอยู่ตรงข้ามถนน ตอนที่เห็นดีใจ แต่ว่าไม่เห็นจิต พอขาก้าวจะข้ามถนนไปนี่ ด้วยความที่ท่านเคยฝึกขยับมือจนสติเกิดแล้ว พอขาก้าวปุ๊บ สติมันเกิดเลย มันรู้ทัน นี่คือสติที่เกิดอัตโนมัติ เราต้องฝึกจนกว่าสติมันจะเกิดอัตโนมัติ สติอัตโนมัติเป็นเรื่องที่ทำเอาไม่ได้ แต่มันรู้สึกตัวของมันเอง ถ้าเรายังบังคับให้มันเกิดมันไม่เกิด ส่วนใหญ่มันจะเพ่ง หรือไปคิดจะให้มันเกิดก็ไม่เกิด ส่วนใหญ่มันจะฟุ้งซ่าน เราค่อยๆ ฝึกนะตัวนี้ มันต้องเห็นทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม เห็นตัวสภาวะจริงๆ แล้วมีสติคอยระลึกรู้บ่อยๆ จะดูร่างกายหายใจออกก็ได้ จะดูร่างกายหายใจเข้าก็ได้ หรือดูรูปหายใจออก ดูรูปหายใจเข้า ดูรูปยืน รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน รูปเคลื่อนไหว รูปหยุดนิ่ง เราหัดดูไป จริงๆ รูปมีมากกว่านี้ แต่ว่าอันนี้คือเหมาะกับพวกเรา เหมาะกับพวกเราที่ไม่ได้ทรงสมาธิ จิตไม่ได้ทรงฌาน จริงๆ อย่างรุ่นครูบาอาจารย์ท่านดูกัน ท่านดูกันถึงธาตุ 4 อย่างนี้ ในร่างกายแต่ละอวัยวะ พอแยกๆ ออกไปกลายเป็นธาตุ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ แต่ตัวนี้มันยาก ถ้าให้เราไปภาวนาส่วนใหญ่ก็จะคิดเอา ทีนี้รูปที่เราดูได้ง่ายๆ อย่างที่พระอาจารย์เล่า รูปร่างกายหายใจออก ร่างกายหายใจเข้า อันนี้รูปที่เราดูได้ หรือรูปยืน รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน อันนี้เราดูได้ รูปเคลื่อนไหว รูปหยุดนิ่ง อันนี้เราดูได้ นามธรรมอย่างจิตมีความสุขเรารู้ จิตมีความทุกข์เรารู้ จิตเฉยๆ เรารู้ จิตเรามีความโกรธเรารู้ จิตเราไม่มีความโกรธเรารู้ จิตเรามีความโลภเราก็รู้ จิตไม่มีความโลภเราก็รู้ จิตหลงเราก็รู้ จิตไม่หลงเราก็รู้ จิตฟุ้งซ่านจิตหดหู่เราก็หัดรู้ไป นี่คือสภาวธรรมที่เราดูได้ ถ้าเราดูตัวนี้ได้บ่อยๆ สัมมาสติจะเกิดเอง ฝึกไปมันไม่ยากหรอก เราอย่าไปคร่ำเคร่งกับการภาวนา หรืออย่าไปคิดธรรมะเอา แต่ดูให้เห็นเนื้อแท้ ให้เห็นแก่นสารของการปฏิบัติ คือต้องเห็นสภาวะ แล้วมีตามรู้ตามดูบ่อยๆ จนจิตจำสภาวะของรูปธรรมนามธรรมได้ ต่อไปสัมมาสติจะเกิดขึ้นเอง สมัยก่อนพระอาจารย์ฝึก ไม่ได้คิดว่ามันจะเกิด ตอนนั้นเรียนกับหลวงพ่อไม่เข้าใจหรอกเรื่องสติ พอไม่เข้าใจเราก็ไปหัดทำเลยง่ายๆ อย่างนี้ล่ะ บางทีเราเดินอยู่เห็นของที่เราชอบ ก็เห็นราคะมันพุ่งขึ้นมา สติระลึกรู้ทันราคะก็ดับไปได้ เออ เขาดูกันอย่างนี้เอง ตอนที่ดูนี่ไม่ได้เจตนาจะเห็นมันเลย เพราะว่าจริงๆ ตาเรามองสิ่งภายนอก แต่กิเลสมันพุ่งขึ้นมาจากในใจเรา เห็นราคะมันพุ่งขึ้นมา สติมันเห็น เป็นแค่คนเห็น เป็นแค่คนรู้คนดูเอง ราคะดับไปเลย ใจก็เบิกบาน ใจก็มีความสุข ใจเบิกบานเราก็เห็น ใจเรามีความสุขเราก็เห็น ก็ยังอัศจรรย์เลย แค่เราฝึกจนสติมันเกิด กิเลสมันดับไปต่อหน้าต่อตาเลย โดยเราไม่ได้ทำอะไรเลย บางทีอย่างตอนทำงานคนมาพูดขัดใจ เห็นโทสะมันพุ่ง ตอนที่คุยกับเขาจิตก็ยังส่งออกนอก แต่เขาพูดแล้วเราโมโห เห็นโทสะมันพุ่งขึ้นมา สติระลึกรู้ ก็แค่เห็นนะ เห็นโทสะมันพุ่งขึ้นมานี่โทสะก็ดับไปเลย เราไม่ได้ทำอะไรเลย สติระลึกรู้ของมันเอง โทสะก็ดับไปเลยต่อหน้าต่อตา ใจก็มีความสุข มีความเบิกบานขึ้นมาแทน นี่คือฝึกจนได้สัมมาสติอย่างนี้ หรืออย่างเราดูร่างกาย เราขาดสติอยู่ ร่างกายเคลื่อนไหวมันรู้สึกตัวของมันเองเลย หรืออย่างหลวงพ่อ ชอบยกตัวอย่างเรื่องอานาปานสติ อย่างเราหายใจออกก็รู้ เราหายใจเข้าก็รู้ ร่างกายหายใจออกเราก็รู้สึก ร่างกายหายใจเข้าเราก็รู้สึก อย่างพอคนมายั่วให้เราโกรธ ลมหายใจมันผิดจังหวะ พอผิดจังหวะปุ๊บ สติมันก็เกิดของมันเองเลย มันรู้ตอนนี้โกรธแล้วนี่ เราฝึกไปนะแล้วถ้าเรามีสตินี่ ชีวิตเราก็จะดีขึ้นเยอะเลย กิเลสก็จะค่อยๆ ลดลงไป ถ้าเราฝึกสัมมาสติของเราได้ ทีนี้พอเรามีสัมมาสติบ่อยๆ ถ้าเราฝึกได้จนดูได้บ่อยๆ ดูได้แทบทั้งวัน ใจก็จะมีสัมมาสมาธิขึ้นมา อย่างที่พระอาจารย์เล่าให้ฟัง อย่างตอนที่เราเห็นโทสะมันพุ่งขึ้นมา เรามีสติระลึกรู้ทัน โทสะมันดับไป โทสะมันดับไปเกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมาขณะหนึ่ง จิตที่รู้ตื่นเบิกบานขึ้นมาขณะหนึ่ง แล้วเราเห็นสภาวะอะไรต่อไปอีกนี่ บางทีเราเห็นจิต ที่รู้ตื่นเบิกบานขึ้นมาขณะหนึ่ง บางทีเราเห็นใจมันไหลไป จิตที่ไหลก็คือจิตที่มันหลงนั่นล่ะ เรามีสติรู้ทัน จิตที่หลงมันดับไป เกิดจิตที่รู้สึกตัว จิตที่รู้ตื่นเบิกบาน หรือว่าจิตที่ไม่หลงขึ้นมาขณะหนึ่ง เดี๋ยวมันก็ไหลไปที่ร่างกายได้ เรามีสติรู้ทัน จิตที่ไหลไปที่ร่างกายก็ดับไป เกิดจิตที่รู้สึกตัวตั้งมั่นขึ้นมา นี่มันจะรู้สึกตัวตั้งมั่นได้ทีละขณะๆๆ แต่ถ้าเราฝึกบ่อยๆ ทีละขณะนี่มันเหมือนจะทรงจิตผู้รู้ขึ้นมาได้ หลวงพ่อใช้บอกว่ามีจิตผู้รู้ แบบรู้แบบเด่นดวงขึ้นมา คือจริงๆ มันไม่ได้เด่นดวงอะไรหรอก แต่ว่าจิตผู้รู้มันต่อเนื่อง มันก็เหมือนกับทรงจิตผู้รู้ไว้ได้ แล้วมันก็จะเห็นร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้สึก จิตใจทำงานก็รู้สึก ถ้าเราฝึกจนมีใจที่ตั้งมั่นขึ้นมาได้แล้วนี่ เรื่องทำวิปัสสนาจะไม่ใช่เรื่องยากแล้ว การทำวิปัสสนาก็ทำไปเหมือนเดิมล่ะ ก็ดูสภาวะเกิดดับไปเหมือนเดิมล่ะ แต่ทีนี้จิตมันจะหมาย ลงไปรู้ว่าทุกสภาวะที่เราดูนี่มันไม่เที่ยง หรือว่าเห็นทุกสภาวะนี่มันถูกบีบคั้น ทนอยู่ในสภาวะเดียวไม่ได้ หรือว่าเห็นสภาวธรรมทั้งหลาย มันไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา มันเป็นอนัตตา ถ้าเราดูไปบ่อยๆ ปัญญาจะค่อยๆ เกิดขึ้น ตัวนี้มันเกิดจากเราเริ่มต้นจากการที่เรามีสติหัดดูสภาวะ แต่ถ้าเราไปทำวิธีอื่น เราไม่เห็นสภาวะ ไม่มีสัมมาสติเกิดขึ้น ไม่มีสัมมาสมาธิเกิดขึ้น เรื่องเดินปัญญาจะเป็นเรื่องยาก ส่วนใหญ่สายที่เขาทำ แล้วไม่เกิดจิตผู้รู้ขึ้นมานี่แล้วจะไปเดินปัญญา ส่วนใหญ่จะไปคิดเอา พอไปคิดเอา แล้วได้ความรู้ความเห็นอะไรเกิดขึ้นมา ก็คิดว่าเข้าใจธรรมะ แต่จริงๆ ไม่ได้เข้าใจธรรมะหรอก เพราะว่าจิตมันผิด ส่วนใหญ่ไปเห็นอะไรแล้วก็จะ ...ถ้าภาษาในธรรมะเรียกว่าเกิดวิปัสสนู ฉะนั้นเราค่อยๆ ฝึกไป อย่าไปอยากได้ผล ถ้าเราอยากได้ผลส่วนใหญ่จะจงใจ จะทำด้วยความอยาก ผลที่ทำด้วยความอยากนี่มันเป็นโลภะ ทำให้เราทุกข์ ไม่ได้ทำให้เราเกิดปัญญา แต่ว่าเรามีสติรู้กายรู้ใจบ่อยๆ ฝึกให้มีฉันทะที่จะดูตัวนี้ได้บ่อยๆ ถ้าเราฝึกให้ดูร่างกายดูจิตใจได้บ่อยๆ เดี๋ยวสัมมาสติมันเกิด สัมมาสมาธิมันเกิด แล้วปัญญามันจะเกิดตามมา พวกเราต้องจับหลักตรงนี้ให้แม่นๆ ถ้าเราจับหลักตรงนี้ได้แม่น เราจะไปทำรูปแบบ เราจะทำได้เลย ทำได้อย่างสบายๆ อย่างเวลาทำกรรมฐานเวลาทำรูปแบบ หรือว่าเรียกว่าทำสมาธิก็ได้ เวลาเราไปฝึกรูปแบบฝึกสมาธินี่ จะมีสภาวะ 3 อัน อย่างเราไปฝึกที่เล่าให้ฟัง สมมติเราทำกรรมฐานที่เราทำ ถ้าเราจงใจเยอะมันคือการเพ่ง แต่ว่าถ้าเราทำกรรมฐาน อย่างเช่นเรานึกพุทโธๆๆ ถ้าเราจงใจเยอะมันคือการเพ่งพุทโธ ตัวนี้ไม่ได้สติที่ดีไม่ได้สมาธิที่ดี แต่ถ้าเราพุทโธๆ ไปสบายๆ แล้วจิตก็อยู่กับพุทโธ ตัวนี้ได้สมาธิ แต่เป็นสมาธิแบบอารัมมณูปนิชฌาน แต่ถ้าเราพุทโธๆ ไป แล้วใจก็ไหลไปคิดอื่นๆ ฟุ้งซ่านคือขาดสติคือการหลง อย่างเวลาเราเดินจงกรมเราเห็นร่างกายมันเดิน เรามีสติรู้ร่างกายมันเดิน เห็นร่างกายเดินจงกรมไป แต่ถ้าเราเจตนาแรงจงใจแรง นี่คือการเพ่ง เพ่งร่างกายที่เดินจงกรม ถ้าเพ่งร่างกายที่เดินจงกรม สมาธิที่ดีก็จะไม่เกิด จะเป็นสมาธิแบบเพ่งซึ่งเอาไปทำอะไรต่อไม่ได้ แต่ถ้าเราดูร่างกายเดินจงกรม เห็นร่างกายมันเดินจงกรมไปสบายๆ จิตอยู่กับการเดินจงกรม อันนี้ได้สมาธิ สมาธิแบบอารัมมณูปนิชฌาน จำเป็นนะเป็นสมาธิที่เอาไว้ใช้พักผ่อน แต่ถ้าเดินจงกรม บางคนเดินจนชำนาญใช่ไหม เดินไปก็คิดเรื่องโน้นไปคิดเรื่องนี้ไป ร่างกายก็เดิน เดินจงกรมอยู่แต่ว่าใจไหลคิดฟุ้งซ่าน ไหลหลงไปเรื่องโน้นไปเรื่องนี้ อันนี้คือขาดสติ ถ้าเราทิ้งเรื่องหลักของการมีสติ ทำกรรมฐานไม่ค่อยได้ผล แต่ถ้าเรามีสติ ทำกรรมฐานอะไรก็จะได้ผลขึ้นมา ต้องจับหลักการภาวนาให้แม่นๆ แล้วเราค่อยๆ เดินไป อย่างพื้นฐานพวกเราเป็นคนเมือง สมาธิเราน้อย พอสมาธิเราน้อยเราจะฝึกสัมมาสติ มันจะฝึกยากหน่อย แต่อย่างหลวงพ่อปราโมทย์นี่ ท่านฝึกสมาธิของท่านมาก่อน ท่านฝึกมาตั้ง 22 ปี จนมีความชำนาญในเรื่องของสมาธิ แล้วสมาธิที่ท่านชำนาญนี่เป็นสมาธิ ที่แบบเป็นสัมมาสมาธิ ใจตั้งมั่นอยู่กับตัว ฝึกมาได้ตั้งแต่เด็กแล้ว พอท่านไปเจอครูบาอาจารย์ ไปเจอหลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนให้ดูจิต ที่หลวงปู่ดูลย์สอนท่าน “อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง” ท่านไปตามดูจิตของท่าน ท่านดูได้ทั้งวันเลย ที่ดูได้ทั้งวันเพราะว่าสมาธิท่านเยอะ สมาธิท่านเยอะ ท่านก็จะดูได้ตลอดเวลา แต่สมาธิเราไม่เยอะ ส่วนใหญ่ของเราคนเมือง ที่เยอะคือความฟุ้งซ่าน จิตมันชินที่จะฟุ้งซ่าน อย่างยุคนี้เป็นยุคของเทคโนโลยี ใจฟุ้งซ่านเยอะมาก สังเกตได้จาก ...อันนี้พูดถึงคนไทย คือคนจีนนี่พระอาจารย์ไม่รู้ว่า ชอบติดโซเชียลมีเดียอะไรพวกนี้มากหรือเปล่า หรือว่าชอบเล่นมือถือกันมากหรือเปล่า พระอาจารย์ไม่รู้ แต่คนไทยนี่ชอบมากเลย ว่างไม่ได้ ว่างปุ๊บก็จะหยิบมือถือขึ้นมาดูเลย แล้วส่วนใหญ่ดูแพล็บๆ ก็จะเปลี่ยน ดูแพล็บๆ ก็จะเปลี่ยน คือตัวนี้มันเป็นการทำลายสมาธิของเรา เพราะว่าใจไม่เคยจดจ่อกับอะไรสักเรื่องหนึ่งเลย ดูอันนี้นิดหนึ่งเปลี่ยน ดูอันนี้นิดหนึ่งเปลี่ยน ดูอันนี้หน่อยหนึ่งก็ข้ามไปอะไรอย่างนี้ ใจจะฟุ้งซ่านตลอด เทคโนโลยีพวกนี้มันฝึกให้เราฟุ้งซ่าน เมื่อก่อนเขาออกแบบมาเพื่อให้เราสะดวกสบาย แต่จริงๆ ความสะดวกสบายนี่ทำให้เราฟุ้งซ่านมากขึ้น ฉะนั้นส่วนใหญ่พื้นฐานที่เรามีคือจิตที่มันฟุ้ง ฉะนั้นเราไม่ค่อยมีสมาธิ เราต้องไปฝึก ทำรูปแบบของเรานี่ ฝึกให้มีสติเหมือนที่พระอาจารย์เล่าให้ฟัง เราฝึกแล้วมีสติอยู่กับกรรมฐานบ่อยๆ อยู่กับร่างกายบ่อยๆ อยู่กับจิตใจบ่อยๆ ถ้าสมมติตอนที่เราฝึก เราใช้จิตที่สบายๆ แต่ว่าเวลาเราฝึกจิต มันอยู่กับอารมณ์กรรมฐานตัวนี้ได้สมถะที่ใช้พักผ่อน เป็นอารัมมณูปนิชฌาน ควรจะต้องทำ แต่เวลาทำอย่าไปจริงจังมาก จริงจังมากคือการเพ่ง จะไม่ได้สมาธิที่ดี ฉะนั้นถ้าเรามีสมาธิตัวนี้ แล้วเดี๋ยวเราค่อยพัฒนามาให้เป็นสัมมาสมาธิ ถ้าเราเกิดสมาธิแบบพักผ่อนนี่ จนช่วงหนึ่งจิตเราไม่ค่อยฟุ้งซ่าน จิตที่ไม่ค่อยฟุ้งซ่านมันอยู่กับอารมณ์กรรมฐานได้บ่อยๆ ตัวนี้ได้สมาธิแบบพักผ่อนขึ้นมา ของเราไม่ต้องเอาสมาธิแบบเข้าฌานอะไรอย่างนั้นหรอก เอาสมาธิแบบพอใจมันสงบ พอใจมันสงบเราหัดดูสภาวะไป ถ้าเราเห็นจิตหลงไปได้จิตไหลไปได้ จิตที่หลงจิตที่ไหลมันดับไป ก็จะเกิดจิตตั้งมั่นขึ้นมาอัตโนมัตินั่นล่ะ ถ้าเราฝึกของเราไปอย่างนี้ เราก็จะเห็นเลยทั้งร่างกายทั้งจิตใจเป็นของถูกรู้ถูกดู ตัวนี้มันเริ่มกระบวนการทำวิปัสสนาแล้ว ถ้าเราเห็นร่างกายเป็นของถูกรู้ถูกดู ร่างกายอยู่ส่วนหนึ่งจิตเป็นคนรู้ เวทนาอยู่ส่วนหนึ่งจิตเป็นคนรู้ สังขารความปรุงแต่ง ปรุงดีปรุงชั่ว ปรุงกุศลปรุงอกุศล อยู่ส่วนหนึ่งมีจิตเป็นคนรู้คนดู นี่เราเริ่มต้นกระบวนการทำวิปัสสนาแล้ว ฉะนั้นเราดูไปเลยทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม ทั้งรูปธรรมทั้งเวทนาทั้งตัวสังขารอย่างนี้ ล้วนแต่เป็นของไตรลักษณ์ เห็นมันไม่เที่ยงบ้าง เห็นมันถูกบีบคั้นให้หายไปบ้าง เห็นว่ามันไม่ใช่ตัวเราบ้าง เราหัดดูไปบ่อยๆ