เจริญพร
เร็วไปนิดหนึ่ง
แต่ว่าทุกคนพร้อมแล้วก็เริ่มเลย
เรื่องการปฏิบัติธรรม
เราอย่าคิดว่าเป็นเรื่องยาก
ส่วนใหญ่เราชอบคิดว่า
การปฏิบัติธรรมต้องไปทำอะไรที่มันยากๆ
ที่แท้แล้วการปฏิบัติธรรมอยู่ที่ตัวเราเอง
ถ้าเราคอยมีสติรู้ทันตัวเองบ่อยๆ
รู้ทันร่างกายรู้ทันจิตใจบ่อยๆ
สติจะเกิด
สติไม่ใช่เป็นของเกิดได้ง่ายๆ
เราต้องอาศัยค่อยๆ ฝึก
ค่อยๆ ดู ดูร่างกายบ่อยๆ ดูจิตใจบ่อยๆ
ถ้าเราได้เคล็ดลับตัวนี้แล้วการภาวนาจะง่าย
เรียกว่าง่ายเพราะมันไม่ได้ทำอะไร
เราใช้ชีวิตของเราปกติอย่างนี้
หลวงพ่อปราโมทย์ท่านบอกเราบ่อยๆ
เวลาจะภาวนาใช้จิตธรรมดาปกติของมนุษย์นี่ล่ะ
แต่เราคอยฝึกสติ
คอยรู้ทันร่างกาย
รู้ทันจิตใจตัวเองบ่อยๆ
ร่างกายที่ตัวเองต้องรู้
อย่างคนชอบทำอานาปานสติ
ก็ดูร่างกายหายใจออก
ดูร่างกายหายใจเข้า
คนละอัน
ส่วนใหญ่พอเราบอก
ให้ไปดูร่างกายหายใจออก
ไปดูร่างกายหายใจเข้า
นักปฏิบัติส่วนใหญ่จะไปเพ่งไปจ้อง
จ้องดูลมหายใจ
ตัวนี้คือการเพ่ง
แต่บางคนพอเราดูลมหายใจออก
ดูลมหายใจเข้า
ดูไปพักหนึ่งก็ไหลไปคิด
ไหลไปฟุ้งซ่าน
อันนี้คือหลงขาดสติ
ทำอย่างไรเราจะดูร่างกายหายใจออก
ร่างกายหายใจเข้าได้บ่อยๆ
ถ้าเราดูได้บ่อยๆ
ต่อไปร่างกายหายใจออกก็รู้สึกตัว
ร่างกายหายใจเข้าก็จะรู้สึกตัว
หัดสังเกตสภาวะไป
อย่างเราจงใจดูลมหายใจเข้า
ดูลมหายใจออก
นี่คือการเพ่ง
แต่ถ้าเราดูลมหายใจเข้า
หายใจออกแล้วใจไหลไปคิด
ไหลไปฟุ้งซ่าน อันนี้คือขาดสติ
แต่ถ้าเรามีสติระลึกรู้
เห็นร่างกายหายใจออกก็รู้
เห็นร่างกายหายใจเข้าก็รู้
อันนี้คือเรามีสติ
ถ้าคนชอบอานาปานสติ
อย่างหลวงพ่อปราโมทย์ท่านชอบตัวนี้
เพราะท่านฝึกของท่านมาแต่เด็ก
สมัยที่พระอาจารย์หัดภาวนา
ตัวนี้พระอาจารย์ไม่ค่อยชอบหรอก
เพราะสมัยก่อนเป็นโรคภูมิแพ้
หายใจไม่ค่อยได้
ก็เลยไม่ค่อยชอบทำกรรมฐานตัวนี้
แต่ว่าตัวที่พระอาจารย์ชอบทำคือ
ร่างกายเคลื่อนไหวเรารู้
ร่างกายหยุดนิ่งเรารู้
ร่างกายกระดุกกระดิกเรารู้
ร่างกายเคลื่อนไหวตลอดเวลา
อย่างบางคนก็กระดุกกระดิก
บางคนก็เกาขา
บางคนก็ส่ายไปส่ายมา
ขยับไปขยับมา
คอยรู้สึก รู้สึกบ่อยๆ
ร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้สึก
ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้สึก
เหมือนกันนะถ้าสมมติเรา
อย่างบางคนทำกรรมฐานเคลื่อนไหวทำจังหวะ
ถ้าเวลาทำจังหวะเราจดจ่อ
หรือว่าจงใจทำจังหวะมากเกินไป
จงใจดูร่างกายเคลื่อนไหวมากเกินไป
นี่คือการเพ่ง
หรือว่าเราเคลื่อนไหวไป
เคลื่อนไหวจนชำนาญ
จำแต่ละรูปได้
ทำไปแล้วก็ใจเราเผลอเพลินไป
ไหลไปคิดไหลไปฟุ้งซ่าน
นี่คือขาดสติ
ฉะนั้นเคลื่อนไหวก็คอยรู้สึก
ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้สึก
ร่างกายกระดุกกระดิกก็รู้สึก
เราหัดดูไป ดูไปบ่อยๆ
ต่อไปร่างกายเคลื่อนไหวมันจะรู้สึกเอง
ร่างกายหยุดนิ่งมันจะรู้สึกเอง
ที่รู้สึกเองตัวนี้คือ
สติมันระลึกรู้ร่างกาย
อีกตัวหนึ่งร่างกายยืนก็รู้
ร่างกายเดินก็รู้
ร่างกายนั่งก็รู้
ร่างกายนอนก็รู้ หัดดูไป
เหมือนกันถ้าเราเจตนาจะดู
จงใจดูร่างกายยืน ร่างกายเดิน
ร่างกายนั่ง ร่างกายนอน
อันนี้คือการเพ่ง
หรือว่าเวลาเราดูร่างกายยืน
ร่างกายเดิน ร่างกายนั่ง
หรือร่างกายนอน
แต่เวลาเราดูไปดูมา
มันไหลไปคิดไหลไปเพลิดเพลิน
นี่คือขาดสติ
เราต้องมีสติอยู่กับการรู้รูปยืน
รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน
อันนี้ต้องไปค่อยหัดสังเกต
เวลาเราหัดดูถ้าเราจงใจเราเจตนาแรงคือการเพ่ง
แต่ว่าถ้าเราดูจนชำนาญ
เราคิดว่าเราดูอยู่
แต่ว่ามันแอบไปคิดแอบไปฟุ้งซ่านคือหลงไป
ขาดสติ
ทำอย่างไรเราจะฝึกให้มีสติอยู่กับร่างกายบ่อยๆ
ถ้าเราฝึกตรงนี้ได้
เราไปฝึกเดินจงกรมก็เห็นร่างกายเดินจงกรม
มีสติระลึกรู้อยู่ที่การเดินจงกรม
แต่นักปฏิบัติส่วนใหญ่ที่ครูบาอาจารย์ท่านบอก
ร้อยทั้งร้อยเวลาเราไปเดินจงกรม
เราก็ไปเพ่ง
ไม่เพ่งบางทีเดินจงกรมไปเดินจนเพลินๆ
ก็ไหลไปคิดไหลไปฟุ้งซ่าน
อันนี้คือขาดสติ
มันคือว่าทำไมนักปฏิบัติส่วนใหญ่
ปฏิบัติแล้วไม่ค่อยได้ผล
เพราะปฏิบัติแล้วมันไม่ค่อยมีสติ
ปฏิบัติแล้วส่วนใหญ่เพ่งเอา
อย่างพวกเราคนจีนที่ส่วนใหญ่ที่มาส่งการบ้าน
ส่วนใหญ่เราตั้งใจปฏิบัติกันมาก
ตั้งใจเรียน ตั้งใจภาวนากันมาก
พอถึงเวลาเราจงใจเยอะ
พอจงใจเยอะ
เราจะกลัวหลงกลัวเผลออะไรอย่างนี้
เราก็ไปเพ่งไว้
จะพุทโธแล้วก็เพ่งพุทโธ
จะดูลมหายใจแล้วก็ไปเพ่งลมหายใจ
จะไปเดินจงกรม
เราก็ไปเพ่งการเดินจงกรม
สติเลยไม่เกิด
สติตัวนี้ที่ว่าไม่เกิดคือสัมมาสติ
ฉะนั้นเราต้องหัด
หัดดูให้มันถูก
รู้ไปสบายๆ
นี่คือส่วนของร่างกาย
สภาวะของรูปธรรมที่เราต้องดู
ไม่ต้องดูทั้งหมด
ดูตัวที่เราถนั
ด ตัวไหนก็ได้ไม่จำเป็นต้องดูทั้งหมดหรอก
แต่ว่าถ้าคนที่ท่านสติไวๆ
บางทีดูได้ทั้งหมด
อย่างหลวงพ่อปราโมทย์สมัยที่ท่านดู
ท่านดูลมหายใจ
ตอนหลังท่านไปหัดดูร่างกายเคลื่อนไหว
ร่างกายหยุดนิ่ง
ร่างกายกระดุกกระดิกอะไรอย่างนี้
ท่านก็หัดรู้สึกตัวตรงนี้ได้
ท่านบอกว่ารู้สึกตัวตรงนี้
แล้วสติของท่านไวสติท่านเยอะ
ท่านบอกตอนนอนนี่มันรู้สึกตัวตลอดเลย
ร่างกายพลิกซ้ายพลิกขวาก็รู้หมดเลย
ร่างกายเคลื่อนไหว
ร่างกายกระดุกกระดิกอะไรรู้สึกหมดเลย
ท่านเลยบอกเลยนอนไม่ค่อยสนุกเลย
เพราะว่าพอร่างกายขยับปุ๊บก็รู้สึกตัว
ร่างกายขยับปุ๊บก็รู้สึกตัวอย่างนี้
เราไปหัดนะหัดให้มันรู้สึกตัวขึ้นมา
อย่างตอนนั้นพระอาจารย์ที่เล่าให้ฟังวันก่อน
พระอาจารย์ก็หัดไปดูร่างกายเคลื่อนไหว
ร่างกายหยุดนิ่ง
หัดไปอยู่ 3-4 วัน
พอร่างกายเคลื่อนไหวตอนนั้นเราขาดสติ
ร่างกายเคลื่อนไหวมันรู้สึกตัวขึ้นมาเลย จิตตื่นออกมา
ตัวนี้จะว่ายากก็ยาก
แต่ว่าถ้าคนที่ค่อยๆ
ฝึกมันจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้
เวลาเราฝึกก็คืออย่าจงใจเยอะ
ถ้าเราจงใจมันคือการเพ่ง
ทีนี้เราไม่จงใจมันก็จะหลงขาดสติไป
แต่ว่าต้องคอยรู้ร่างกายรู้รูปบ่อยๆ
รู้ไปจนกว่ามันจะจำสภาวะได้
ต่อไปถ้ามันจำสภาวะของรูปธรรมทั้งหลาย
ที่พระอาจารย์เล่าให้ฟังได้
เวลามันเคลื่อนไหวมันรู้สึกของมันเอง
คล้ายๆ รู้สึกว่าร่างกายมันเคลื่อนไหวมันก็รู้
ร่างกายหยุดนิ่งมันก็รู้
ร่างกายยืนเดินนั่งนอนก็รู้
ร่างกายหายใจออก
ร่างกายหายใจเข้าก็จะรู้
นี่ล่ะคือการฝึกสติของการดูร่างกาย
ส่วนการดูเวทนา
บางคนชอบดูเวทนา
เวทนาก็มีความสุข
ความทุกข์ ความเฉยๆ
อันนี้เวทนาทางใจ
เวทนาทางกายก็มีสุขเวทนากับทุกขเวทนา
แต่ส่วนใหญ่ดูเวทนาทางกายมันดูยาก
ต้องอาศัยสมาธิสูงๆ หน่อย
แต่ว่าตัวที่ดูง่ายดูเวทนาทางใจ
เวทนาทางใจเกิดตลอดเวลา
อย่างตอนนี้เรามีความสุข
หรือเรามีความทุกข์หรือว่าเราเฉยๆ
เราก็รู้ไป
รู้ไปจนกว่ามันจะจำสภาวะของเวทนาพวกนี้ได้
สติก็จะเกิดขึ้นมาเอง
จริงๆ ครูบาอาจารย์บางท่านก็บอกตัวเวทนานี่ดูง่าย
แต่จริงๆ มันแล้วแต่คนถนัด
ถ้าเราถนัดเราก็ดู
ถ้าเราไม่ถนัดเราก็ไปดูตัวอื่น
ตัวอีกตัวหนึ่งคือตัวความปรุงแต่ง
ปรุงจิต ปรุงกุศล ปรุงอกุศล
เราหัดดูไป
จิตมีความโกรธเราก็รู้ทัน
จิตไม่โกรธเราก็รู้ทัน
จิตมีความโลภเราก็รู้ทัน
จิตไม่มีความโลภเราก็รู้ทัน
หรือจิตหลงเราก็รู้ทัน
จิตไม่หลงเราก็รู้
แต่ส่วนใหญ่จิตหลงจิตไม่หลงจะดูยาก
จิตหลงนี่มีหลายตัว
อย่างตัวฟุ้งซ่าน ตัวหดหู่
เราค่อยๆ สังเกตไป
เราหัดดูสภาวะไป
อย่างตัวความโกรธนี่มีเยอะแยะเลย
ถ้าเราค่อยๆ สังเกต
โกรธแรงๆ โกรธเบาๆ
หรือว่าหงุดหงิดอะไรอย่างนี้
อย่างรำคาญอะไรอย่างนี้
เราหัดดูไป
ถ้าเราค่อยๆ สังเกต
ค่อยๆ ดูสภาวะของนามธรรมเหล่านี้ไปเรื่อยๆ
ต่อไปจิตมันจำสภาวะ
ของนามธรรมทั้งหลายเหล่านี้ได้
จิตจะตื่นออกมาเอง
ถ้าเราจำสภาวะ
ของรูปของนามธรรมทั้งหลาย
ที่เราฝึกดูสภาวะตัวนี้บ่อยๆ
ถ้ามันจำรูปจำนามธรรมพวกนี้บ่อยๆ
จิตจะตื่นออกมาเอง
แล้วพอมันตื่นออกมาเราจะรู้สึกเลย
เราไม่ได้ทำอะไร
มันแค่รู้ของมันเฉยๆ
แต่ว่าถ้าเรายังบังคับร่างกายบังคับจิตใจ
หรือว่ายังไหลไปคิดเรื่องกรรมฐาน
ไหลไปคิดเรื่องร่างกาย
ไหลไปคิดเรื่องนามธรรมเรื่องจิตใจ
สติไม่เกิด
ใจไม่ตื่นออกมา
ฝึกตัวนี้บ่อยๆ
ถ้าเราฝึกพวกนี้ได้บ่อยๆ
ใจจะตื่นออกมา
ต่อไปร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้สึก
นามธรรมเกิดก็รู้สึก
เราค่อยๆ ฝึกสติอยู่กับร่างกายอยู่กับจิตใจบ่อยๆ
ถ้าเรามีสติตัวนี้ได้มันเกิดสัมมาสติขึ้นมาได้
ที่เราระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม
ในร่างกายในจิตใจของเราตัวนี้ได้บ่อยๆ
สัมมาสมาธิจะเกิดขึ้นมาเอง
สมัยที่พระอาจารย์ฝึกไม่ได้ว่า.
..ช่วงแรกไม่ได้ว่าฝึกยากเย็นอะไร
ฝึกหัดดูสภาวะอย่างนี้
ร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้สึก
ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้สึก
ตอนที่ฝึกมันมีเจตนาแต่ไม่ได้เจตนาแรง
เจตนาแรงๆ คือการเพ่งร่างกาย
ตัวนี้จะทำให้สัมมาสติไม่เกิด
เราหัดดูไปสบายๆ อย่างนี้ล่ะ
ดูร่างกายเคลื่อนไหวก็รู้
ร่างกายหยุดนิ่งก็รู้
ตามดูร่างกายไปบ่อยๆ
พอมันจำรูปของร่างกาย
รูปร่างกายตอนนั้นที่พระอาจารย์ดูรูปของร่างกายคือ
รูปเคลื่อนไหว รูปหยุดนิ่ง
รูปกระดุกกระดิก
พอมันจำรูปของพวกนี้ได้
ต่อไปเราเคลื่อนไหว
สติมันเกิดของมันเอง
ตอนสติมันเกิดของมันเองเรายังรู้สึก
เออ แปลกดี
ไม่คิดว่าตอนที่เราหลงๆ แล้วเราเคลื่อนไหว
สติมันจะเกิด
อย่างหลวงพ่อปราโมทย์ท่านเคยเล่า
ตอนนั้นท่านไปดูสายหลวงพ่อเทียน
ทำกรรมฐานเคลื่อนไหวหยุดนิ่งอะไรอย่างนี้
ทำจังหวะ
ท่านไปดูแล้วตอนแรกท่านเป็นคนโทสะ
ให้ไปทำครบทั้งเซ็ตของจังหวะนั้น 14 หรืออะไรนั่น
ท่านบอกว่าทำแล้วมันเยอะไป
ท่านไม่ชอบ อะไรที่เยอะๆ
ดูแล้วมันรำคาญ
ท่านก็เลยไปขยับมือ
มือเคลื่อนไหวก็รู้สึก
มือกำก็รู้สึก มือแบก็รู้สึก
ทำขยับมือแล้วรู้สึกไป
ท่านบอกทำอยู่ไม่กี่วันหรอก
วันหนึ่งเดินไปที่ถนน
เห็นเพื่อน
เพื่อนสนิท เพื่อนเก่า
ไม่ได้เจอกันนานอยู่ตรงข้ามถนน
ตอนที่เห็นดีใจ
แต่ว่าไม่เห็นจิต
พอขาก้าวจะข้ามถนนไปนี่
ด้วยความที่ท่านเคยฝึกขยับมือจนสติเกิดแล้ว
พอขาก้าวปุ๊บ
สติมันเกิดเลย
มันรู้ทัน
นี่คือสติที่เกิดอัตโนมัติ
เราต้องฝึกจนกว่าสติมันจะเกิดอัตโนมัติ
สติอัตโนมัติเป็นเรื่องที่ทำเอาไม่ได้
แต่มันรู้สึกตัวของมันเอง
ถ้าเรายังบังคับให้มันเกิดมันไม่เกิด
ส่วนใหญ่มันจะเพ่ง
หรือไปคิดจะให้มันเกิดก็ไม่เกิด
ส่วนใหญ่มันจะฟุ้งซ่าน
เราค่อยๆ ฝึกนะตัวนี้
มันต้องเห็นทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม
เห็นตัวสภาวะจริงๆ
แล้วมีสติคอยระลึกรู้บ่อยๆ
จะดูร่างกายหายใจออกก็ได้
จะดูร่างกายหายใจเข้าก็ได้
หรือดูรูปหายใจออก
ดูรูปหายใจเข้า
ดูรูปยืน รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน
รูปเคลื่อนไหว รูปหยุดนิ่ง
เราหัดดูไป
จริงๆ รูปมีมากกว่านี้
แต่ว่าอันนี้คือเหมาะกับพวกเรา
เหมาะกับพวกเราที่ไม่ได้ทรงสมาธิ
จิตไม่ได้ทรงฌาน
จริงๆ อย่างรุ่นครูบาอาจารย์ท่านดูกัน
ท่านดูกันถึงธาตุ 4 อย่างนี้
ในร่างกายแต่ละอวัยวะ
พอแยกๆ ออกไปกลายเป็นธาตุ
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
แต่ตัวนี้มันยาก
ถ้าให้เราไปภาวนาส่วนใหญ่ก็จะคิดเอา
ทีนี้รูปที่เราดูได้ง่ายๆ
อย่างที่พระอาจารย์เล่า
รูปร่างกายหายใจออก
ร่างกายหายใจเข้า
อันนี้รูปที่เราดูได้
หรือรูปยืน รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน
อันนี้เราดูได้
รูปเคลื่อนไหว รูปหยุดนิ่ง
อันนี้เราดูได้
นามธรรมอย่างจิตมีความสุขเรารู้
จิตมีความทุกข์เรารู้
จิตเฉยๆ เรารู้
จิตเรามีความโกรธเรารู้
จิตเราไม่มีความโกรธเรารู้
จิตเรามีความโลภเราก็รู้
จิตไม่มีความโลภเราก็รู้
จิตหลงเราก็รู้
จิตไม่หลงเราก็รู้
จิตฟุ้งซ่านจิตหดหู่เราก็หัดรู้ไป
นี่คือสภาวธรรมที่เราดูได้
ถ้าเราดูตัวนี้ได้บ่อยๆ
สัมมาสติจะเกิดเอง
ฝึกไปมันไม่ยากหรอก
เราอย่าไปคร่ำเคร่งกับการภาวนา
หรืออย่าไปคิดธรรมะเอา
แต่ดูให้เห็นเนื้อแท้
ให้เห็นแก่นสารของการปฏิบัติ
คือต้องเห็นสภาวะ
แล้วมีตามรู้ตามดูบ่อยๆ
จนจิตจำสภาวะของรูปธรรมนามธรรมได้
ต่อไปสัมมาสติจะเกิดขึ้นเอง
สมัยก่อนพระอาจารย์ฝึก
ไม่ได้คิดว่ามันจะเกิด
ตอนนั้นเรียนกับหลวงพ่อไม่เข้าใจหรอกเรื่องสติ
พอไม่เข้าใจเราก็ไปหัดทำเลยง่ายๆ อย่างนี้ล่ะ