1 00:00:00,789 --> 00:00:04,600 "กฎของธรรมชาติไม่ใช่อะไรนอกจากความคิดทางคณิตศาสตร์ของพระเจ้า" 2 00:00:04,862 --> 00:00:07,523 และนี่คือคำพูดถึงยูคลิดแห่งอเลกซานเดรีย 3 00:00:07,523 --> 00:00:12,655 เขาคือนักคณิตศาสตร์และนักปรัชญาขาวกรีก ที่มีชีวิตอยู่ประมาณ 300 ปีก่อนคริสต์ 4 00:00:12,655 --> 00:00:19,691 และสาเหตุที่ผมใส่คำพูดเขาในนีน้ เพราะยูคลิดนับว่าเป็นบิดาของเรขาคณิต 5 00:00:19,691 --> 00:00:22,663 และมันเป็นคำกล่าวที่เนี๊ยบมาก, ไม่ว่าคุณจะมองเรื่องพระเจ้าอย่างไร 6 00:00:22,663 --> 00:00:25,054 ไม่ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ หรือธรรมชาติของพระเจ้าคืออะไร 7 00:00:25,054 --> 00:00:27,516 มันบอกถึงหลักพื้นฐานอย่างยิ่งเกี่ยวกับธรรมชาติ 8 00:00:27,516 --> 00:00:31,649 กฏของธรรมชาติไม่ใช่อะไรออกจาความคิดทางคณิตศาสตร์ของพรเจ้า 9 00:00:31,649 --> 00:00:35,016 คณิตศาสตร์ฝังอยู่ในกฏของธรรมชาติทุกอย่าง 10 00:00:35,016 --> 00:00:37,802 และคำว่า "เรขาคณิต" (geometry) เองมาจากรากศัพท์กรีก 11 00:00:37,802 --> 00:00:40,983 "geo" มาจากคำกรีก แปลว่า "โลก" 12 00:00:40,983 --> 00:00:44,211 "metry" มาจากคำกรีก แปลว่า "การวัด" 13 00:00:44,211 --> 00:00:47,183 คุณอาจเคยได้ยินคำว่าระบบ "เมทริก" 14 00:00:47,183 --> 00:00:50,132 และยูคลิดนับว่าเป็นบิดาแห่งเรขาคณิต 15 00:00:50,132 --> 00:00:52,802 (ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นคนแรกที่ศึกษาเรขาคณิต" 16 00:00:52,802 --> 00:00:56,285 คุณคงจินตนาการได้ว่ามนุษย์คนแรกๆ ก็เรียนเรขาคณิตเหมือนกัน 17 00:00:56,562 --> 00:01:00,024 พวกเขาอาจดูกิ่งไม้สองอันบนพื้น ที่เป็นแบบนั้น 18 00:01:00,024 --> 00:01:02,462 และพวกเขาดูกิ่งไม้อีกคู๋ที่เป็นแบบนั้น 19 00:01:02,462 --> 00:01:05,178 แล้วบอกว่า "อันนี้เปิดมากกว่านะ. มันมีความสัมพันธ์อะไรอยู่?" 20 00:01:05,178 --> 00:01:13,654 หรือพวกเขาอาจมองต้นไม้ที่กิ่งก้านออกมาแบบนั้น 21 00:01:13,654 --> 00:01:18,274 และเขาบอกว่า "อืม, มันมีอะไรคล้ายๆ ระหว่างมุมนี้ กับมุมนี้ตรงนี้นะ" 22 00:01:18,274 --> 00:01:19,737 หรือพวกเขาอาจถามตัวเอง 23 00:01:19,737 --> 00:01:26,123 "อัตราส่วน หรือความสัมพันธ์ระหว่างระยะรอบวงกลม กับระยะตัดมันคืออะไร? 24 00:01:26,123 --> 00:01:28,352 และมันเท่ากับสำหรับวงกลมทุกวงหรืเปล่า? 25 00:01:28,352 --> 00:01:31,812 และมันมีวิธีที่ทำให้เราพอใจว่ามันเป็นจริงเสมอไหม?" 26 00:01:31,812 --> 00:01:34,412 แล้วเมื่อคุณไปยังยุคกรีกตอนต้น 27 00:01:34,412 --> 00:01:39,010 พวกเขาก็เริ่มคิดอย่างละเอียดลออกเกี่ยวกับเรขาคณิตแล้ว 28 00:01:39,010 --> 00:01:43,259 เวลาคุณพูดถึงนักคณิตศาสตร์ชาวกรีกอย่างปีทาโกรัส 29 00:01:43,259 --> 00:01:45,535 (เขามาก่อนยูคลิด) 30 00:01:45,535 --> 00:01:54,511 สาเหตุที่คนมักพูดถึง "เรขาคณิตแบบยูคลิด" คือประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล 31 00:01:54,511 --> 00:01:59,832 (และนี่ตรงนี้คือภาพของยูคลิดวาดโดยราฟาเอล, และไม่มีใครรู้ว่ายูคลิดเป็นอย่างไร 32 00:01:59,832 --> 00:02:05,793 หรือแม้กระทั่งว่าเขาเกิดที่ไหน ตายเมื่อไหร่, นี่จึงคือมุมมองของราฟาเอลว่ายูคลิดน่าจะเป็นอย่างไร 33 00:02:05,793 --> 00:02:08,383 ตอนที่เขาสอนอยู่ที่เมืองอเลกซานเดรีย) 34 00:02:08,383 --> 00:02:14,397 แต่สิ่งที่ทำให้ยูคลิดเป็น "บิดาแห่งเรขาคณิต" คืองานเขียนที่ชื่อ "Euclid's Elements" 35 00:02:14,397 --> 00:02:21,263 และ "Euclid's Elements" เป็นหนังสือเรียน 13 เล่ม 36 00:02:21,263 --> 00:02:24,773 (และอาจเรียกได้ว่าเป็นหนังสือเรียนชื่อดังที่สุดตลอดกาล) 37 00:02:24,773 --> 00:02:31,441 และสิ่งที่เขาทำในหนังสือ 13 เล่มนั้น คือการเดินทางที่รัดกุม เต็มไปด้วยความคิด, และเหตุผล 38 00:02:31,441 --> 00:02:37,524 ผ่านวิชาเรขาคณิต, ทฤษฎีจำนวน, และเรขาคณิตทรงตัน (เรขาคณิตในสามมิติ) 39 00:02:37,524 --> 00:02:40,682 และเจ้านี่ตรงนั้น คือส่วนหน้าของแบบภาษาอังกฤษ -- 40 00:02:40,682 --> 00:02:44,955 หรือการแปลเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรก -- ของ "Euclid's Elements" 41 00:02:44,955 --> 00:02:47,532 นี่เกิดขึ้นในปี 1570 42 00:02:47,532 --> 00:02:51,851 แต่แน่นอนมันเขียนครั้งแรกเป็นภาษากรีก, และในช่วงยุคกลาง 43 00:02:51,851 --> 00:02:55,334 ความรู้ส่งผ่านโดยชาวอาหรับ และมันถูกแปลเป็นภาษาอารบิค 44 00:02:55,334 --> 00:03:02,393 และสุดท้าย ในช่วงปลายยุคกลาง ได้ถูกต้องเป็นภาษาละตินและภาษาอังกฤษในที่สุด 45 00:03:02,393 --> 00:03:05,806 และเมื่อผมว่าเขา "เดินทางอย่างรัดกุม" ยูคลิดไม่ได้บอกว่า 46 00:03:05,806 --> 00:03:14,374 "ด้านสองด้านของสามเหลี่ยมมุมฉากกำลังสอง จะเท่ากับ ด้านตรงข้ามมุมฉาก 47 00:03:14,374 --> 00:03:18,182 กำลังสอง -- " อะไรพวกนั้น (และเราจะพูดถึงต่อไปว่ามันหมายถึงอะไร) 48 00:03:18,182 --> 00:03:24,475 เขาบอกว่า "ข้าพเจ้าไม่อยากรู้สึกดีว่ามันน่าจะจริง. ข้าพเจ้าอยากพิสูจน์ด้วยตัวเองว่ามันเป็นจริง" 49 00:03:24,475 --> 00:03:29,723 และสิ่งที่เขาทำใน "Elements" (โดยเฉพาะหกเล่มแรก เกี่ยวข้องกับเรขาคณิตบนระนาบ) 50 00:03:33,215 --> 00:03:37,721 คือเขาเริ่มต้นด้วยข้อสมมุติพื้นฐาน 51 00:03:37,721 --> 00:03:43,747 และข้อสมมุติพื้นฐานเหล่านี้ "พูดในเชิงเรขาคณิตแล้ว" มันเรียกว่า "สัจพจน์ (axioms)" หรือ "สมมุติฐาน (postulates)" 52 00:03:43,747 --> 00:03:51,549 แล้วจกานั้น, เขาก็พิสูจน์, เขาสรุปผลได้เป็นประโยคอื่นๆ หรือ "บทสรุป (proposition)" (บางครั้งพวกนี้เรียกว่า "ทฤษฏีบท (theorems)" ) 53 00:03:51,549 --> 00:03:55,729 แล้วเขาบอกว่า "ตอนนี้, ผมรู้แล้ว. ถ้านี่เป็นจริง, และนี่เป็นจริง, นี่ต้องเป็นจริงด้วย" 54 00:03:55,729 --> 00:03:58,492 แล้วเขาก็สามารถพิสูจน์หลายอย่างได้ว่ามันไม่จริง 55 00:03:58,492 --> 00:04:01,255 แล้วเขาก็พิสูจน์ว่านี่จะไม่เป็นจริง 56 00:04:01,255 --> 00:04:04,042 เขาไม่ได้บอกว่า "วงกลมทุกวันที่ผมเจอ จะมีสมบัตินี้" 57 00:04:04,042 --> 00:04:06,155 เขาบอกว่า "ผมได้พิสูจน์แล้วว่านี่เป็นจริง" 58 00:04:06,155 --> 00:04:11,402 แล้วล จากนี้, เขาก็ทำไปแล้วก็สรุปบทสรุปอื่นๆ หรือ "ทฤษฏีบท" 59 00:04:11,402 --> 00:04:14,096 (และเราสามารถใช้ "สัจพจน์" เดิมในการพิสูจน์ด้วย) 60 00:04:14,096 --> 00:04:17,068 และสิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับมันคือว่า ไม่มีใครเคยทำมาก่อน 61 00:04:17,068 --> 00:04:23,477 การพิสูจน์อย่างรัดกุม อยู่เหนือเงาแห่งความสงสัยที่พาดผ่านทั่วดินแดนความรู้ 62 00:04:23,477 --> 00:04:30,095 ไม่ใช่การพิสูจน์อันหนึ่งสำหรับอันนี้ หรืออันนั้น. เราทำมันสำหรับ "เซต" ความรู้ทั้งหมด 63 00:04:30,884 --> 00:04:39,692 การ "เดินทาง" อย่างรัดกุมผ่านหัวข้อต่างๆ โดยที่เขาสร้างชุด "สัจพจน์" กับ "สมมุติฐาน" ขึ้นมา แล้วก็ "ทฤษฎีบท" กับ "บทสรุป" 64 00:04:39,692 --> 00:04:42,022 (และทฤษฎีบทกับบทสรุปนั้นเหมือนกัน) 65 00:04:43,069 --> 00:04:47,881 และเมื่อผ่านไปประมาณ 2,000 ปีหลังยุคยูคลิด (นี่เป็นหนังสือที่อยู่มานานอย่างไม่น่าเชื่อ!) 66 00:04:47,881 --> 00:04:55,427 คุณจะไม่มองคุณว่ามีการศึกษา หากคุณยังไม่ได้อ่านหรือเข้าใจ "Elements" ของยูคลิด 67 00:04:55,427 --> 00:04:59,862 และ "Euclid's Elements" (ตัวหนังสือเอง) เป็นหนังสือที่พิมพ์มากที่สุดในโลกตะวันตก 68 00:04:59,862 --> 00:05:01,581 ต่อจากคัมภีร์ไบเบิ้ล 69 00:05:01,581 --> 00:05:04,344 นี่คือหนังสือเรียนคณิตศาสตร์ ถัดจากไบเบิ้ล 70 00:05:04,344 --> 00:05:07,943 เมื่อสำนักพิมพ์แห่งแรกเปิดตัว เขาบอกว่า "โอเค, พิมพ์คัมภีร์ไบเบิ้ลกัน, แล้วอะไรอต่อ" 71 00:05:07,943 --> 00:05:09,940 "พิมพ์ 'Euclid's Elements' ดีกว่า" 72 00:05:10,525 --> 00:05:16,606 และเพื่อให้เห็นว่านี่ยังคงเกี่ยวข้องกับอดีตเมื่อเร็วๆ นี้ (มันอาจจะขึ้นอยู่กับว่าคุณ 73 00:05:16,606 --> 00:05:19,416 เห็นว่า 150-160 ปีก่อนเป็นอดีตเมื่อเร็วๆ นี้หรือเปล่า) 74 00:05:19,816 --> 00:05:23,779 เจ้านี่ตรงนี้คือคำพูดจากอับราฮัม ลินคอล์น (หนึ่งในประธานาธิบดี 75 00:05:23,779 --> 00:05:26,612 ที่ใหญ่ของอเมริกาแน่นอน). ผมชอบภาพของอับราฮัม ลินคอล์น ภาพนี้ 76 00:05:26,612 --> 00:05:29,747 นี่คือภาพถ่ายจริงของลินคอล์นในช่วงอายุปลาย 30 77 00:05:29,747 --> 00:05:35,900 แต่เขาเป็นแฟนตัวยงของ "Euclid's Elements". เขาใช้มันเพื่อ "จูน" ความคิดเขา 78 00:05:35,900 --> 00:05:38,872 ตอนที่เขาขี่ม้า, เขาจะอ่าน "Euclid's Elements". ในขณะที่อยู่ใน 79 00:05:38,872 --> 00:05:40,777 ไวท์เฮ้าส์ เขาก็อ่าน "Euclid's Elements" 80 00:05:41,207 --> 00:05:43,795 แต่นี่คือคำพูดโดยตรงจากลินคอล์น, 81 00:05:43,795 --> 00:05:48,415 "ตอนที่ข้าพเจ้าอ่านหนังสือกฎหมาย, ข้าพเจ้ามักพบคำว่า 'แสดง (demonstrate)' 82 00:05:48,415 --> 00:05:53,454 ตอนแรกข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าเข้าใจความหมายของมัน, แต่ในไม่ช้า ข้าพเจ้ากลับไม่พอใจ 83 00:05:53,454 --> 00:05:59,375 ข้าพเจ้าถามตัวเอง ว่าข้าพเจ้าจะทำอย่างไรเมื่อข้าพเจ้าแสดงมากกว่าให้เหตุผลหรือพิสูจน์? 84 00:05:59,375 --> 00:06:02,580 แล้ว 'การแสดง' จะต่างจากการพิสูจน์อื่นอย่างไร --" 85 00:06:02,580 --> 00:06:08,454 ลินคอล์นบอกว่า มันมีคำว่า 'การแสดง' หมายถึงการพิสูจน์เหนือข้อสงสัยใดๆ 86 00:06:08,454 --> 00:06:13,307 บางอย่างที่รัดกุมกว่า -- มากกว่าแค่รู้สึกดีกับอะไรสักอย่างหรือการให้เหตุผลเกี่ยวกับสิ่งนั้น 87 00:06:13,307 --> 00:06:17,998 " -- ข้าพเจ้าค้นหาพจนานุกรมของเว็บสเตอร์ --" (ดังนั้นพจนานุกรมของเว็บสเตอร์ก็มีในยุคของลินคอล์นแล้ว) 88 00:06:17,998 --> 00:06:23,060 " -- พวกเขาพูดถึงการพิสูจน์ -- การพิสูจน์ที่อยู่เหนือความสงสัยที่เป็นไปได้ใดๆ แต่ข้าพเจ้ายัง 89 00:06:23,060 --> 00:06:28,005 ไม่รู้จักแนวคิด หรือการพิสูจน์ใดๆ เช่นนั้น. ข้าพเจ้าคิดว่ามีสิ่งต่างๆ มากมายที่ได้รับการพิสูจน์เหนือ 90 00:06:28,005 --> 00:06:32,649 ข้อสงสัยที่เป็นไปได้ใดๆ โดยไม่ต้องพึ่งกระบวนการให้เหตุผลเหนือ 91 00:06:32,649 --> 00:06:35,668 ธรรมดาอย่างที่ข้าพเจ้าเข้าใจคำว่า 'การแสดง' 92 00:06:35,668 --> 00:06:41,241 ข้าพเจ้าค้นหาในพจนานุกรมและหนังสืออ้าอิงที่ข้าพเจ้าจะหาได้ แต่ไม่มีผลที่ดีกว่าใด 93 00:06:41,241 --> 00:06:45,676 เจ้าอาจนิยามคำว่า 'สีฟ้า' ให้คนตาบอดได้ 94 00:06:45,676 --> 00:06:55,150 สุดท้ายข้าพเจ้าจึงบอกว่า 'ลินคอล์น, เจ้าไม่มีทางเป็นทนายความได้ ถ้าเจ้าไม่เข้าใจว่าคำว่า 'แสดง' คืออะไร 95 00:06:55,150 --> 00:07:00,467 ข้าพเจ้าจึงหนีจากเมืองสปริงฟีลด์, กลับไปที่บ้านของบิดา, แล้วอยู่ที่นั่น 96 00:07:00,467 --> 00:07:04,345 กระทั่งข้าพเจ้าสามารถบอกทฤษฎีบทใดๆ ในหนังสือทั้ง 6 เล่มของยูคลิดได้" 97 00:07:04,345 --> 00:07:06,806 (นี่หมายถึงหนังสือ 6 เล่มที่พูดถึงเรขาคณิตบนระนาบ) 98 00:07:06,806 --> 00:07:11,868 " -- ข้าพเจ้าจึงเข้าใจคำว่า 'แสดง' และกลับเรียนกฏหมายต่อได้" 99 00:07:11,868 --> 00:07:17,348 ประธานาธิบดีอเมริกาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลคนหนึ่ง, ตอนที่เขาจะเป็นทนายความผู้ยิ่งใหญ่, 100 00:07:17,348 --> 00:07:24,128 เขายังต้องเข้าใจ -- สามารถพิสูจน์ทฤษฎีบทใดๆ ในหนังสือทั้ง 6 เล่มของ "Euclid's Elements" 101 00:07:24,128 --> 00:07:30,885 ได้เอง. แล้ว, เมื่อเขายังอยู่ในไวท์เฮ้าส์ เขาก็ยังทำการ "จูน" สมอง 102 00:07:30,885 --> 00:07:32,954 เพื่อเป็นประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ 103 00:07:33,447 --> 00:07:36,922 และ, สิ่งที่เราจะทำในรายการวิดีโอเรื่องเรขาคณิตก็เป็นไปตามนั้น 104 00:07:36,922 --> 00:07:42,806 สิ่งที่เราจะศึกษา -- เราจะคิดว่าเราจะพิสูจน์สิ่งต่างๆ "อย่างรัดกุม" ได้อย่างไร? 105 00:07:42,868 --> 00:07:49,624 เราจะ -- ในยุคใหม่ -- ศึกษาสิ่งที่ยูคลิดศึกษาเมื่อ 2,300 ปีที่แล้ว 106 00:07:49,624 --> 00:07:59,812 เพื่อฝึกผูกโยงเหตุผลของประโยคต่างๆ และแน่ใจว่าเวลาเราพูดอะไรสักอย่าง 107 00:07:59,812 --> 00:08:01,972 เราสามารถพิสูจน์สิ่งที่เราพูดได้จริง 108 00:08:01,972 --> 00:08:06,388 นี่คือคณิตศาสตร์ "จริง" พื้นฐานที่สุดที่คุณจะทำ 109 00:08:06,388 --> 00:08:08,525 เลขคณิตเป็นแค่การคำนวณ 110 00:08:08,525 --> 00:08:12,820 แต่ตอนนี้, ในเรขาคณิต (เราจะทำเรขาคณิตของยูคลิด) 111 00:08:12,820 --> 00:08:17,000 นี่คือสิงที่คณิตศาสตร์เป็นจริงๆ 112 00:08:17,000 --> 00:08:21,388 การตั้งสมมติฐานแล้วสรุปสิ่งต่างๆ จากสมมุติฐานเหล่านั้น