วันนี้ผมอยากจะเล่าเรื่องประสบการณ์ เกี่ยวกับการศึกษาให้ฟัง มันอาจจะต่างจากที่หลาย ๆ คนคาดหวัง แต่ก่อนผมก็รู้สึกเหมือนคนทั่ว ๆ ไปว่า การศึกษาคือสิ่งที่จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น การศึกษาคือสิ่งที่จะทำให้เราก้าวไปสู่ ความสำเร็จในชีวิตได้ ผมเคยรู้สึกอย่างนั้นและก็เคยพยายาม ที่จะต่อสู้เพื่อที่จะประสบผลสำเร็จ โดยการที่พยายามเรียนให้มากที่สุด แต่สิ่งที่ผมเห็นกลับตรงกันข้าม นักเรียนรุ่นเดียวกับผม ที่เรียนชั้นประถมมาด้วยกัน หกสิบกว่าคน คนที่เรียนเก่งที่สุดตอนนี้คือ เป็นข้าราชการคนหนึ่งที่มีแต่หนี้สิน หลาย ๆ คนในห้องผมเนี่ย พ่อแม่ต้องขายควาย ทั้งฝูง เพื่อส่งลูกเรียน บางคนต้องขายที่นา เพื่อส่งลูกเรียน แล้วเป็นหนี้ และพอจบออกมา คนเหล่านี้ แม้จะได้งานแต่เค้าก็ไม่มีปัญญา ที่จะซื้อที่นาคืนให้พ่อแม่ได้ เค้าคือลูกจ้างราคาถูก ที่จะต้อง หาเลี้ยงชีวิตด้วยความยากลำบากต่อไป มันทำให้ผมรู้สึกว่า การศึกษาสำหรับคนจน เหมือนกับการพนัน เหมือนมากและตอนนี้ ผมก็เริ่มเห็นคนจำนวนมาก ที่ต้องต่อสู้ กระเสือกกระสนทำงานมากกว่าสิบปี เพื่อส่งลูกเรียน เขาสละเวลาของชีวิต มากกว่าสิบปี เพื่อส่งลูกเรียน พอจบออกมาลูกก็หางานทำไม่ได้ หรือหางานทำได้ ก็เป็นได้แค่แรงงานราคาถูก ในมุมมองของคนจน รู้สึกว่าการศึกษาเนี่ย ทำร้ายเรามากทีเดียว เราเรียนเยอะมาก แต่ สิ่งที่เรานำมาใช้ในชีวิตกลับไม่ใช่สิ่งที่ เราเรียน ทำไมเราต้องสูญเสียเวลาอันมีค่า ของชีวิตเกือบยี่สิบปี ใช้เงินเป็นล้าน เพื่อที่จะเรียนสิ่งที่เราจะไม่ได้ใช้ ผมจำได้ว่า ผมเกลียดคณิตศาสตร์มาก แต่ผมก้มหน้าก้มตาเรียน ซาย คอส แทน เรียนพายอาร์ กำลังสอง แล้ววันนี้ผมยัง ไม่เห็นใครเลยในชีวิตที่ถอดสแควรูทในชีวิต (เสียงปรบมือ) มีคนจำนวนมากรุ่นผม เรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ป.1 จนถึงปริญญาตรี รุ่นผม หกสิบคน ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษสักคน มีแต่ผมพอพูดได้งู ๆ ปลา ๆ จะให้เขาพูดได้ไง ในเมื่อครูสอนยังพูดไม่ได้ แล้วเราเรียนทำไมอ่ะ เราเสียเวลาอันมีค่าของ ชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย ชีวิตของคนมีค่ามาก เวลาทุกนาทีมันยิ่งใหญ่มากแต่เรากลับทำ ให้มันสูญเปล่าไปอย่างไร้ประโยชน์มาก พอผมมีลูกขึ้นมาผมเริ่มคิดถึงเรื่อง การศึกษามากขึ้นว่า จริง ๆ แล้วการศึกษา มันคืออะไร ผมเห็นสองด้าน ผมเห็นสองอย่าง ที่การศึกษานำออกจากชีวิตของเรา อย่างแรก คือความรัก ความรักเกิดจากความใกล้ชิด ความผูกพัน การร่วมทุกข์ร่วมสุข แต่ พอเราไปเข้าโรงเรียน ความรักหายไป เพราะว่าความผูกพันมันหายไปใช่ไหม จำได้ไหม วันที่เศร้าโศกที่สุดในชีวิตก็คือ วันที่พ่อแม่ไปส่งลูกไปโรงเรียน วันแรกครับ เป็นอย่างนี้แหละครับ ทำไมเราต้องเริ่มต้นชีวิตของเด็กคนหนึ่ง ด้วยความเศร้า ในเมื่อโลกนี้มันสนุกมาก มันทำให้อะไรสนุกสนานได้หลายอย่าง แต่เราทำไมต้องบังคับให้ลูกเศร้าตั้งแต่แรก เราทำไมต้องฝึกให้เด็กเครียดและกลุ้ม ต้องเรียนในสิ่งที่เขาไม่อยากเรียน ผมจำได้ว่าตอนเป็นเด็ก คอมมิวนิสต์กำลัง ยึดครอง เขมร ลาว และเวียดนาม ข่าวที่กระพือ ออกมาในหมู่บ้านก็คือ ถ้าเราเป็นคอมมิวนิสต์ เขาจะจับเด็กไปเข้าค่ายล้างสมอง แล้วเอา พ่อแม่ไปลากไถแทนควายทำงานหนัก แล้วให้ พ่อแม่กินข้าววันละ หนึ่งกระป๋อง ผมกลัวมาก แอบไปนั่งร้องไห้คนเดียวอยู่บ่อยมากเลย คิดถึงเรื่องนี้ทีไรร้องไห้ทุกที เพราะอะไร เพราะผมรักพ่อแม่มาก ผมไม่อยากจะถูกพรากจาก พ่อแม่ไป แต่วันนี้เหตุการณ์ที่ผมกลัวที่สุด กลับเป็นเรื่องปกติในชีวิตของคนทุกคน อันนี้คือสิ่งที่ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมสิ่งที่ ผมเคยกลัวมันถึงเป็นเรื่องปกติ ทำไมเราต้อง พรากลูกออกจากพ่อ แม่ ความรักไม่ใช่สัญชาตญาณอย่างเดียว มันคือมรดกชีวิตที่ถูกพัฒนาและส่งต่อมา ไม่รู้กี่ชั่วโครตจนมาถึงรุ่นเรา แต่พอรุ่นเรา เราไม่ได้ส่งต่อมรดก ชีวิตอันล้ำค่านี้ไว้ให้ลูก โดยการเรา ตัดขาดลูกออกจากพ่อแม่ เพื่อไม่ให้มีความ ความผูกพันกัน เพื่อให้ทุกคนไม่มีความเกี่ยวข้องกัน แล้วเราจะโดดเดี่ยวที่สุด เหงาที่สุด อันนี้คือสิ่งแรกที่ผมเห็นว่ามันหายไป จากชีวิต โดยการศึกษาทำมันหายไป อันที่สอง คือ จินตนาการ จิตนาการคือ สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคน มันจะเกิดขึ้นได้ง่ายที่สุดในช่วงที่อายุ ไม่เกินสิบปี ช่วงนี้เป็นช่วงที่สมอง กำลังว่างเปล่า เด็ก ๆ ก็จะเริ่มจินตนาการ การเล่นกับทรายการเล่นกับดิน ดึงใบไม้มาเล่น เอากิ่งไม้มาทำเป็นนั่นเป็นนี่ นั่นคือ การพัฒนาจินตนาการที่ยิ่งใหญ่มาก พอโตขึ้น คนจะจินตนาการได้น้อยลง เพราะคนเราอัดข้อมูล ไปในเต็มสมองเกินไป ฉะนั้นเราจะ จิตนาการไม่ได้ เราคิดทำได้แค่ลอกเลียนหรือ ก๊อปปี้ความคิดของคนอื่น ดูอย่างเมืองไทย เวลาเราจะพัฒนาอะไรสักอย่าง พัฒนาการเลือกตั้ง พัฒนาประชาธิปไตย พัฒนานั่น พัฒนานี่ ข้าราชการและนักการเมือง ต้องไปดูงานต่างประเทศ ไปทำไม (เสียงปรบมือ) ไปลอกเลียนครับ ไปลอกเลียนเค้ามา เพราะตัวเองคิดไม่เป็น เพราะเราไม่ได้ สร้างสรรค์จินตนาการให้มีชีวิตต่อไป เด็กจะจินตนาการได้ในช่วงที่อายุไม่เกินสิบปี ฉะนั้นช่วงนี้ไม่ควรจะให้เด็กเรียนหนังสือ เด็กจะต้องสนุก จะต้องเล่น จะต้องสัมผัส กับความสุข สัมผัสกับอิสรภาพ สัมผัสกับจินตนาการที่เค้าสามารถ ที่จะทำอะไรก็ได้ นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด แต่พอเราส่งลูกเข้าโรงเรียนอายุสามปี อนุบาล บังคับให้เรียนพิเศษ เรียนนั่นเรียนนี่ กระเป๋านี่หนักกว่ากระเป๋าผู้ใหญ่อีก เราบังคับให้เด็กเครียดและกลุ้ม ตั้งแต่อายุยังน้อย เค้าเริ่มร่วงโรย โดยที่ยังไม่ได้บาน ทำไมเราทำร้ายเด็กขนาดนั้น เรียนมาก ๆ แล้วก็เก่งขึ้นไหมครับ เก่งขึ้นไหม เราดูสิเมืองไทยมีมหาวิทยาลัยเต็มบ้าน มีนักเรียนจบมหาศาล แค่น้ำท่วมกรุงเทพ กลายเป็นปัญหาใหญ่ น้ำท่วมมันเป็นเรื่อง ธรรมดามาไม่รู้กี่ชั่วโครต แต่วันนี้ น้ำท่วมกลายเป็นปัญหา แล้วน้ำท่วมคนไม่มี น้ำกิน ต้องซื้อน้ำขวดมาดื่ม นี่คือวิกฤต ทางความคิด นี่คือวิกฤตทางการศึกษา ที่เราไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาได้ เราเรียน ไปทำไม เรียนเพื่อที่จะให้เรื่องธรรมดา กลายเป็นปัญหา (เสียงปรบมือ) เวลาเด็กจินตนาการไม่ได้ มันจะเครียด และกลุ้มและก็เบลอ โตขึ้นก็คุ้นเคย กับความเครียด ความกลุ้ม ชีวิตก็เป็น แบบนี้แหละ เกิดขึ้นมาก็ทำงานหาเงินใช้เงิน หาเงินใช้เงิน มีแค่นี้แหละ ไม่มีอะไรมากไป กว่านี้หรอก คนก็ไม่คิดเพราะวัตถุประสงค์ หลักของโรงเรียนในปัจจุบันนี้คือ สอนอยู่สามอย่าง ฝึกให้คนเชื่อฟัง ทำตาม และห้ามคิดต่าง มีแค่นี้ครับ (เสียงปรบมือ) ฝึกยังไง ทุกคนต้องแต่งตัวเหมือนกัน ตัดผมเหมือนกัน ทำข้อสอบก็ต้องคำตอบเดียวกัน ห้ามคิดนะครับ มีข้อให้เลือกแค่ 4 ข้อ ก ข ค และ ง คิดไม่ได้ ห้ามคิด (เสียงปรบมือ) พอจบออกมาเราก็เลยคิดไม่เป็น เราก็เลยได้แต่เชื่อฟังและทำตาม มันก็เลยเป็นปัญหาสังคม จบปริญญามา มีความรู้มากแต่ตกงาน มีความรู้ตกงาน ได้ยังไง หมายความว่าสิ่งที่เราเรียนมา มันไร้สาระมาก ไม่มีประโยชน์มาก ใช่ไหม มองดูสิ่งที่เราเรียนสิ ทุกอย่างไกลจาก ตัวเราทั้งหมด เรียนโลก ดวงจันทร์ ประธานาธิบดีของประเทศนั้น ประเทศนี้ เรียนเรื่องหินแกรนิต หินลิกไนต์ หินนั่น หินนี่ แต่ตัวเองไม่เคยเรียนเลยอ่ะ เรียนจบมาก่อไฟ หุงข้าวไม่เป็นไม่รู้ว่า ผักอะไรมันกินได้ เวลาป่วยมาบอกว่า ต้องไปหาหมอนะ หมองานล้นมือแทบจะใจขาดแล้ว ร่างกายเรามันเจ็บป่วยทำไมเราไม่เรียนรู้ ที่จะดูแลตัวเอง ทำไมการศึกษาไม่สอนเรา สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรา เราไม่เรียนรู้เลย เราไปเรียนรู้กัมตภาพรังสี ยูเรเนียม แต่ผงชูรสเรากินทุกวัน มีใครรู้ไหม มันคืออะไร ใช่ไหม (เสียงปรบมือ) อันนี้แหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ระบบการศึกษาสร้างความเสียหาย ให้กับชีวิตคนมหาศาลมาก คนจำนวนมากต้อง สูญเสียโอกาสทั้งชีวิตไป อย่างน่าเสียดาย แล้วก็มันทำให้ผมคิดถึงลูกมาก ลูกผมที่กำลัง จะเกิดมา ผมไม่อยากจะให้ลูกเป็นเหมือนคนอื่น เพราะผมมองเห็นคนเข้าโรงเรียน เดินเข้าโรงเรียน ผมรู้สึกเหมือนเด็กๆกำลัง เดินเข้าโรงงาน เพื่อที่จะถูกแปรรูปออกมาเป็น ผลผลิตทางอุตสาหกรรม คือ ผลิตออกมาให้มี มาตรฐานเดียวกันคือเป็นภาพที่ดีในระบบธุรกิจ ฉะนั้น พอมีลูกขึ้นมาผมจึงคิดถึงว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์จะต้องเรียนคือ ความสามารถในการพึ่งตนเอง อย่างน้อย ๆ ปัจจัย 4 คือเรื่องอาหาร เรื่องที่อยู่อาศัย ข้าวของเครื่องใช้ และการรักษาโรค นี่คือรากเหง้าของชีวิตที่ทุกคนจะต้องเรียน ถ้ารากฐานดีเนี่ย เราจะไม่กลัว เราจะมั่นใจ เราจะมีชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างภาคภูมิใจ แต่การศึกษาตัดรากเราออกทั้งหมดเลย ไม่มีใครได้เรียนปัจจัยสี่เลย ฉะนั้นเราจึง กลัวมาก ทุกครั้งที่จบมหาวิทยาลัย คนจึงรู้สึกว่าไม่ได้เรียนอะไรเลย เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย ใช่ไหมและเรา จะรู้สึกกลัวเคว้งคว้างมาก ฉะนั้นเวลา เรารู้สึกไม่มั่นคง รู้สึกกลัวเนี่ย มันจะ บอกว่าถ้าคุณต้องการความมั่นคง คุณต้อง มีเงิน ฉะนั้นถ้าคุณต้องการเงิน คุณต้อง ทำงานหนัก นั่นคือการใช้ชีวิตทั้งชีวิต เพื่อทำงาน ฉะนั้นพอผมมีลูกขึ้นมา ผมก็เลยคิดถึงการศึกษาทางเลือก พอดีเมืองไทย มีกฎหมายให้ทำโฮมสคูลได้ เราก็เลยมาทำ โฮมสคูลกัน ซึ่งขั้นตอนก็ไม่ได้ยาก ก็ไป ติดต่อที่การศึกษาเขต แล้วเค้าก็จะให้เรา มาทำหลักสูตร เราก็มาเขียนหลักสูตรแล้ว ก็ส่งเค้า ถ้าเค้าอนุมัติแล้วเราก็มาสอนเอง หลักสูตรเขียนให้กระทรวงศึกษาพอใจ ยังไงก็ได้ เขียนไปเถอะครับ (เสียงปรบมือ) แต่เวลาสอนเราสอนต่างกัน อย่างผมสอนเด็ก สอนลูกเนี่ย ให้ลูกปลูกผัก ปลูกผักแปลงเดียว เรียนทั้ง คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เรียนทั้งการอาชีพและเทคโนโลยี จบครับ เราสอนลูกวันนึงไม่ถึง 2 ชั่วโมง ที่นั่งสอนจริง ๆ คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ เท่านั้นเอง ที่เหลือ มันอยู่ในชีวิตประจำวัน ทำไมเราต้องสอน หลาย ๆ อย่างเด็กมันเรียนรู้ได้เอง ลูกผมอายุ 9 ปี ออกเรือนแล้วนะครับ สร้างบ้านอยู่เองได้แล้ว 9 ปี (เสียงปรบมือ) ผมจำได้ ตั้งแต่เกิดมา ซื้อของเล่นให้ลูก ไม่ถึง 10 ครั้ง เขาไม่ค่อยได้ต้องการของเล่น เพราะเขาหาของเล่นในสวนได้ ถ้าเขาอยากได้อะไรเขาจะหาเงินเอง เค้าเคยทำขนมขายเพื่อหาเงินซื้อเลโก้ เคยทำไฟฉายจากแบตเตอรี่ถ่านโทรศัพท์เก่า ขายอันละ 150 เพื่อหาเงินซื้อเลโก้ อันนี้ คือสิ่งที่ลูกทำ ซึ่งพ่อแม่ แทบจะไม่ได้จ่ายเงินให้ลูกเลย ผมรู้สึกว่ามันง่ายมาก แล้วเราก็เห็นว่าลูกอายุ 11 ปี ปีนี้ เค้าเริ่ม เรียนรู้ด้วยตัวเองสูงมาก เค้าเริ่ม ออกแบบบ้านเองได้ เริ่มทำอะไรต่าง ๆ เองได้ ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่ามันน่าสนใจมาก เราก็เลยสอนในเรื่องของปัจจัยสี่เป็นหลัก ให้ลูกพึ่งตนเองได้ ถ้าลูกพึ่งตนเองได้ พ่อแม่ตายโดยไม่ต้องห่วง ยังไงเค้าก็อยู่ได้ (เสียงปรบมือ) เรามีเพื่อนเยอะมากครับ มีตัวอย่างหนึ่ง ที่น่าสนใจคือน้องต้นกล้า ต้นกล้าอายุ 13 ปี ปีนี้ ตอนเค้าอายุ 12 ปี เค้าก็ทำโฮมสกูล มาตั้งแต่แรก งานหลักของเขา วิชาหลักของเขา คือการเลี้ยงเป็ด พ่อทำนา ลูกเลี้ยงเป็ด เลี้ยงเป็ดเป็นวิชาที่มีทุกวิชาอยู่ในนั้น สองปีที่แล้ว เขาไปเที่ยว อเมริกากับลูกผม โดยไม่ได้ขอเงินพ่อแม้แต่บาทเดียว หกหมื่นกว่าบาท ค่าเดินทาง ค่าอะไรต่าง ๆ เก็บจากไข่เป็ด (เสียงปรบมือ) ฉะนั้นการศึกษาไม่ควรจะเป็นเรื่องยาก ไม่ควรจะเป็นภาระ การศึกษาจะต้องง่ายและสนุก ไม่ใช่เครียดและกลุ้ม การศึกษาไม่ควรจะเป็นภาระให้ทั้งพ่อ แม่ และตัวเอง ไม่ควรจะเป็นภาระให้รัฐบาล เด็กเรียนอะไรมันต้อง ใช้อันนั้นเลี้ยงชีพให้ได้ด้วย นั่นคือ การศึกษาที่จะทำให้เกิดความยั่งยืน มีชีวิตอยู่ได้อย่างภาคภูมิใจ การศึกษาในปัจจุบัน เราต้องพึ่งพิงอะไรทุกอย่างทั้งหมดเลย ฉะนั้นปัจจุบันนี้ ถ้าเรามีสิทธิที่จะออกแบบการศึกษาเอง ผมว่าเราจะเกิดมหัศจรรย์ทางความคิด เกิดความหลากหลาย เกิดความมั่นคงยั่งยืนทางความคิดอย่างน่าทึ่ง แต่ปัจจุบันนี้การศึกษาถูกรวมศูนย์ อยู่ในกระทรวงศึกษาอย่างเดียว พยายามที่จะให้คนคิดเหมือนกัน การคิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน นั่นคือการก้าวไปสู่ความล่มสลาย ความแตกต่าง คือความมั่นคง ความแตกต่างคือความยั่งยืน ความแตกต่างคือความสวยงามครับ ฉะนั้นการศึกษาควรจะออกนอก จากการครอบงำ ของกระทรวงศึกษาหรือรัฐบาล ควรจะเป็นสิทธิของชุมชน (เสียงปรบมือ) ชุมชนต้องออกแบบการศึกษาเอง เพื่อตอบสนองสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ว่า จะมาออกแบบให้เค้าไปเป็นทาสของระบบ อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ผมจึงอยากชักชวน ให้พวกเราเริ่มคิดใหม่ว่า วันนี้ เรายังจะทำร้ายลูกเราอีกต่อไปเหรอ หรือเราจะหาทางเลือกให้ลูกเรา ขอบคุณมากครับ