ขอบคุณมากครับ
เป็นเรื่องจริงที่ผมเกิดในวงดนตรี
ผมหมายความอย่างนั้นจริง ๆ
ตอนที่ผมเกิด
พี่ชายทั้ง 4 คนของผมเริ่มเล่นดนตรีแล้ว
และพวกเขากำลังหามือเบส
(เสียงหัวเราะ)
จะได้ครบวงพอดี
ผมเกิดมาเพื่อตำแหน่งนั้น
เมื่อผมมองย้อนกลับไป
จากตอนนี้ ที่มีคนเรียกผมว่า "คุณครู"
เมื่อมองย้อนไป เพื่อดูว่าผมถูกสอนมาอย่างไร
ผมถึงเข้าใจว่า จริงๆ แล้วผมไม่ได้ถูก "สอน"
นี่เป็นเหตุผลที่ผมถึงบอกว่า ดนตรีคือภาษา
เพราะว่าถ้าคุณลองคิดถึงภาษาแรกของคุณ
สำหรับผมและคนส่วนใหญ่ในที่นี้คงบอกว่าภาษาอังกฤษ
ผมเลยขอใช้ภาษาอังกฤษเป็นตัวอย่าง
อยากให้ลองคิดดูว่าคุณรู้ภาษาได้อย่างไร
คุณก็จะเข้าใจว่าคุณไม่ได้ถูกสอน
คนอื่น ๆ แค่คุยกับคุณ
ตรงนี้แหละที่มันน่าสนใจ
เพราะพวกเขาปล่อยให้คุณคุยด้วย
แต่ถ้าผมยกตัวอย่างดนตรี
ส่วนใหญ่แล้ว พวกมือใหม่
จะไม่ได้รับอนุญาตให้เล่นในวง ร่วมกับคนที่เก่งแล้ว
คุณต้องเริ่มจากการเป็นมือใหม่
และต้องอยู่ตรงนั้นสัก ปี สองปี
จนเมื่อคุณเล่นได้ดีขึ้น จนไปถึงระดับกลาง ๆ
และเล่นจนถึงขั้นสูง หลังจากขั้นสูงแล้ว
คุณยังต้องออกไปเล่นเก็บประสบการณ์อีก
แต่กับภาษาแล้ว
ถ้าพูดตามภาษาของดนตรี แม้ว่าคุณจะเป็นเด็กทารก
คุณสามารถ "แจม" กับมืออาชีพได้
ได้ตลอดเวลา
มันถึงขนาดว่า คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคุณเป็นมือใหม่
ไม่มีใครมาบอกคุณว่า
"ฉันจะไม่พูดกับเธอจนกว่าเธอจะพูดรู้เรื่อง"
"รอให้โตกว่านี้แล้วฉันจะพูดด้วย"
(เสียงหัวเราะ)
สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น
ไม่มีใครจะมาบอกว่า คุณต้องพูดอะไร
คุณไม่ต้องนั่งที่มุมห้องแล้วก็ซ้อม
แม้ว่าคุณพูดผิด ก็ไม่มีใครมาแก้ให้
ลองคิดดู เมื่อคุณอายุ 2 - 3 ขวบและคุณพูดผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
ไม่มีใครมาว่าคุณ
ถ้าคุณพูดผิดหลายครั้งเข้า
แทนที่จะถูกแก้ พ่อแม่ก็เข้าใจคุณ
(เสียงหัวเราะ)
และเขาก็เริ่มที่จะพูดผิดแบบคุณด้วย !
สิ่งสำคัญก็คือ คุณยังคงมีอิสระ
ในวิธีการพูดของคุณ
และคุณยังไม่ต้องเดินตามระเบียบวิธีของดนตรี
ในช่วงเวลาเหล่านี้ คุณมีเวลาที่จะหาเสียงของคุณ
พูดในแบบของคุณ ทำให้สำเนียงของคุณไม่หายไป
ไม่มีใครมาเอามันทิ้งไปได้
ผมได้เรียนรู้แบบนี้ตอนผมยังเด็ก
ผมเรียนภาษาอังกฤษและเรียนดนตรี
ในเวลาเดียวกัน และด้วยวิธีเดียวกัน
ผมมักเล่าให้คนอื่นฟังว่า "ผมเริ่มตอน 2 - 3 ขวบ"
ผมพูดไปแบบนั้น
เพราะว่ามันฟังดูน่าเชื่อถือมากกว่า
แต่จริง ๆ แล้วเราเริ่มพูดภาษาอังกฤษเมื่อไหร่ ?
เรารอจนอายุ 2 หรือ 3 ขวบหรือเปล่า ?
ไม่
ผมว่า เราเริ่มกันตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดด้วยซ้ำ
เริ่มตั้งแต่ที่คุณได้ยินเสียง คุณก็เริ่มเรียนแล้ว
สำหรับผม วิธีการที่พี่ผมใช้มันเยี่ยมและฉลาดมาก ๆ
ผมมีพี่น้อง 5 คน ผมเป็นคนเล็กสุด
เรกจี พี่ชายคนโต
เขาห่างกับผมแค่ 8 ปี
ทำไมเขาฉลาดขนาดนี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
นั่นควรจะเป็น TED Talk ตัวจริง
เขาคิดวิธีการอันแยบยลได้ยังไง
โดยที่ไม่ต้องคอยสอนพวกน้อง ๆ เล่นดนตรี
เค้าไม่ได้เริ่มด้วยการเอากีตาร์เบสให้ผม
เปล่าเลย
สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือเล่นดนตรีรอบ ๆ ผม
ตั้งแต่ผมยังเล็ก ๆ ตั้งแต่ผมจำความได้
ผมจำได้ตอนที่เราอยู่ที่ฮาวาย
พี่ ๆ ผมจะตั้งเครื่องดนตรี ผมจำได้ถีงเก้าอี้พลาสติก
หลาย ๆ ครั้งเราจะตั้งวงกันที่สนามหน้าบ้าน
ที่ ๆ ผมจะเห็นเก้าอี้พลาสติก
และมีกีตาร์ของเล่นรูปมิกกี้เมาส์
วางอยู่บนเก้าอี้
ไม่มีใครบอกผม ว่านั้นเป็นของผม
มันเหมือนกับที่ ไม่มีใครมาบอกคุณว่า
คุณต้องเริ่มพูดเมื่อไหร่
คุณรู้ว่าคุณจะต้องทำอะไร
เหมือนกับที่ผมรู้ว่า เก้าอี้ตัวนั้นเป็นของผม
ผมรู้ว่าเครื่องดนตรีนั้นเป็นของผม
มันมีสายพลาสติก
คุณแค่ผูกสายเข้ากับตัวและเริ่มเล่นเพลงได้เลย
แต่เอาเข้าจริง ๆ
การเริ่มของคุณไม่ได้เริ่มต้นจากการดีดสาย
ในตอนนั้น เมื่อผมโตพอที่จะถือเครื่องดนตรี
พี่ ๆ หาอะไรมาให้ถือ ถือเพื่อให้โยกไปกับมัน
เพื่อเตรียมผมให้พร้อมสำหรับปีต่อ ๆ ไป
มันไม่ใช่เรื่องของการเล่นเครื่องดนตรี
มันเป็นความผิดพลาด ของครูดนตรีหลาย ๆ คน
ที่พวกเรามักจะสอนเด็ก ๆ
ให้เล่นเครื่องดนตรี ก่อนที่จะเข้าใจดนตรี
คุณจะไม่สอนเด็กว่าสะกดยังไง
การสอนเด็กให้สะกดคำว่า "นม"
ก่อนที่เด็ก ๆ จะได้ดื่มนมก่อนสัก 2-3 ปี
คุณว่ามันเข้าท่าหรือเปล่า ?
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เราทำแบบนั้นกับดนตรี
เรากลับสอนเด็กถึงกฎเกณฑ์และเครื่องดนตรีก่อน
แต่ตอนผม 2 ขวบ พี่ ๆ เอาเครื่องดนตรีเด็กเล่นให้ผม
ตอนนั้นผมพร้อมแล้วสำหรับดนตรี
เพราะผมเชื่อว่า เราเกิดมาพร้อมดนตรี
เพียงแค่ฟังเสียงร้องของผู้คน ฟังเสียงของเด็ก ๆ
ไม่มีเสียงดนตรีไหนบริสุทธิ์เท่านี้อีกแล้ว
พวกพี่ ๆ ของผมรู้ว่าผมเกิดมากับดนตรี
แต่ว่าพวกเขาต้องการให้ผมเป็นมือเบส
ดังนั้น พอผมโตได้ที่ เขาก็เอาของเล่นใส่มือผม
และเขาก็เล่นเพลง
ผมก็กระโดดและดีดไปตามจังหวะ
แต่ที่เจ๋งมาก คือ มันไม่ใช่เรื่องของเครื่องดนตรี
ผมกำลังเรียนรู้ที่จะเล่นดนตรี ไม่ใช่เครื่องดนตรี
และผมก็ทำต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
ขอย้ำ ที่ผมรู้ ผมเข้าใจคือความหมายต่าง ๆ
ตอนที่พี่ชายผมเปิดไฮแฮท เมื่อจบจังหวะที่ 4 ของท่อน
หรือตอนที่ผมเรียนรู้ว่าท่อนนี้ต่างกับท่อนนั้นยังไง
มันเป็นวิธีเดียวกับที่เด็กทารกรู้จัก
เสียงของแม่ที่สูง
เทียบกับเสียงของพ่อที่ต่ำกว่า
คุณรู้จักสิ่งเหล่านี้
แม้ว่าคุณจะไม่ได้เข้าใจความหมายของคำ
คุณเรียนรู้ผ่านสิ่งเหล่านี้
กว่าที่เด็กทารกจะพูดเป็นคำ ๆ
เขารู้เรื่องภาษาไปเยอะแล้ว
ผมก็เรียนรู้เรื่องดนตรีในลักษณะเดียวกัน
ตอนที่ผมเริ่มเล่นเครื่องดนตรี
ผมมีดนตรีอยู่เต็มเปี่ยม
ตอนที่ผมย่างเข้า 3 ขวบ
เรกจีเอาสายกีตาร์ 2 สายจากกีตาร์ของเขา
เขาเอาสายเสียงสูงออก 2 สาย
และนั้นกลายเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกของผม
จากนั้นเรกจีจึงเริ่มสอนผม
ที่จะวางมือในบางตำแหน่ง เพื่อที่จะเล่นโน๊ต
ในเพลงที่ผมคุ้นเคย
ผมไม่ได้เพิ่งเริ่มเล่นจากตรงนั้น
ผมมีดนตรีมาก่อน
ถึงตรงนี้ ผมแค่ใส่ดนตรีเข้าไปในเครื่องดนตรี
เมื่อมองย้อนกลับไป
ผมถึงเข้าใจว่า ผมเรียนรู้ที่จะพูดได้อย่างไร
ไม่ใช่เรียนรู้ที่จะใช้เครื่องดนตรีก่อน
ใครจะมาสนใจว่าคุณพูดผ่านเครื่องมืออะไร
มันสำคัญตรงสิ่งที่คุณจะพูด
ผมมีดนตรีอยู่ในเสียงของผมเสมอ
ผมมีสิ่งที่ต้องการจะพูดอยู่เสมอ
และผมเรียนรู้ที่จะถ่ายทอดผ่านเครื่องดนตรี
ถ้าคุณคิดถึงสิ่งเหล่านี้
ไม่ถูกบังคับให้ฝึกซ้อม
ไม่ถูกบอกว่าต้องพูดอะไร
คือผมขอกลับมาพูดถึงภาษา
เวลาที่ครูสอนคำศัพท์ใหม่
ครูจะสอนผ่านประโยคตามสถานการณ์ที่ใช้
ครูดนตรีจะบอกให้คุณไปฝึกซ้อม
การซ้อมก็ดีแต่มันเป็นกระบวนการที่ช้า กว่าการเรียนจากสถานการณ์
และพวกเราก็รู้เรื่องนี้ดีในการเรียนภาษา
ที่เล่ามาเป็นเส้นทางการเรียนรู้ของผม
เมื่อผมโตขึ้น ประมาณ 5 ขวบ
พวกเรา 5 คนก็เริ่มออกทัวร์กันจริง ๆ
พวกเราโชคดีที่ได้มีโอกาสออกทัวร์
เป็นวงเปิดให้กับนักร้องเพลงโซล ชื่อดัง
ชื่อ เคอติส เมย์ฟิลด์
ถ้าผม 5 ขวบตอนนั้น พี่ชายคนโตสุดของผมก็ 13 ขวบเท่านั้น
เมื่อคิดถึงตอนนั้น
ตอนอายุเท่านั้นพวกเราก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีแล้ว
แล้วทำไมจะทำไม่ได้กับดนตรีล่ะ
ตั้งแต่นั้นมาผมก็มองดนตรีในแบบเดียวกับภาษา
เพราะผมเรียนดนตรีแบบเดียวกัน
และเรียนไปพร้อม ๆ กับภาษา
ส่วนดีที่สุดคือ
ผมยังคงรักษาสิ่งที่เกิดมาพร้อมกับเด็ก ๆ
คืออิสรภาพ
พวกเราหลาย ๆ คนถูกสอนจนไม่มีเสียงของตัวเอง
อย่างตอนที่เราเริ่มบทเรียนแรก
เรามักไปหาครู
และครูน้อยคนที่จะรู้ว่า
ทำไมเราถึงมาเรียนดนตรี
หลาย ๆ ครั้งที่เด็กสมมุติว่าตัวเองกำลังเล่นกีตาร์
ซึ่งตรงนั้นไม่มีผิดหรือถูก
ไม่มีเล่นโน๊ตถูกหรือผิด ไม่เกี่ยวกับเครื่องดนตรี
เด็ก ๆ เล่นเพราะมันรู้สึกดี
มันเหมือนกับที่คุณร้องเพลงตอนอาบน้ำ
หรือคุณร้องเพลงตอนขับรถไปทำงาน
คุณไม่ได้ร้องเพราะคุณร้องได้ถูกโน๊ต
หรือร้องเพราะคุณรู้จักสเกลนั้นดี
แต่คุณร้องเพราะคุณรู้สึกดี
ผมได้คุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเล่าว่า
"ฉันคือ เอลลา ฟิทซ์เจอรัลด์ ตอนฉันอาบน้ำ"
(เสียงหัวเราะ)
แน่นอนเธอพูดถูก
แต่ทำไมมันเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเริ่มมีคนฟัง
อิสรภาพนั้นเริ่มหายไป เมื่อเราโตขึ้น เมื่อเรารู้มากขึ้น
และเราจำเป็นต้องหาวิธีรักษาอิสภาพนั้นไว้
มันเป็นไปได้
มันไม่ได้หายไปอย่างถาวร
เด็กที่เล่นกีตาร์สมมุติ จะเล่นด้วยร้อยยิ้ม
พอเริ่มบทเรียนแรก รอยยิ้มก็หายไป
หลาย ๆ ครั้งคุณต้องทำงานหนัก
ตลอดชีวิตนักดนตรี เพื่อจะนำรอยยิ้มกลับมา
ในฐานะครู เราสามารถรักษารอยยิ้มนั้นไว้ ถ้าเราเข้าใจ
เข้าใจดนตรีแบบเดียวกับภาษา
รักษาอิสรภาพของผู้เรียน
พอผมเริ่มโตขึ้นมาหน่อย
ผมกับพี่พี่ เริ่มออกทัวร์มากขึ้น
แม่ผมถามคำถาม ที่ผมไม่เคยเข้าใจมันอย่างแท้จริง
จนกระทั่งผมอายุมากขึ้น และมีลูก
คำถามคือ
"โลกต้องการอะไร
จากนักดนตรีที่ดีอีกสักคน"
อยากให้ลองคิดดู
ผมคงตอบว่า ดนตรี
แต่ลองแทนที่ด้วยอาชีพของคุณ
โลกต้องการอะไรจากคุณ
ผมเพิ่งเข้าใจ ตอนที่ผมอายุมากขึ้น
ว่าดนตรีไม่ใช่แค่ภาษา ดนตรีเป็นวิถีชีวิต
มันเป็นวิถีชีวิตของผม
ผมไม่ได้หมายถึง วิถีชีวิตนักดนตรีแบบที่หลายคนเป็น
ลองดู ฮีโร่ทางดนตรีหลายคนในอดีต
คุณจะพบว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างมากทางดนตรี
แต่กลับล้มเหลวอย่างมากกับชีวิต
ผมสามารถเอ่ยชื่อได้ แต่คงไม่ดีกว่า
ถ้าเราคิดถึงฮีโร่ของเรา หลาย ๆ คนเป็นแบบนั้น
ผมคิดว่า ตอนนั้นพ่อแม่ผมคงเตรียมพวกเราให้พร้อม
ณ ตอนนั้นพวกเราคงไม่รู้
แต่เธอคงเห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้น
"โลกต้องการอะไร
จากนักดนตรีที่ดีอีกสักคน"
เราฝึกซ้อมกันอย่างหนัก
เราเปลี่ยนบ้านเป็นห้องซ้อมดนตรี
เพื่อที่นักดนตรีแถวบ้าน
นักดนตรีในจังหวัดจะมาเล่นด้วย
เราฝึกซ้อม
พ่อแม่ผมยอมใช้เงินที่ไม่ค่อยจะมี
ไปกับเครื่องดนตรีใหม่ ๆ
ช่วงคริสต์มาส ซานตาคลอสจะเอาของรุ่นล่าสุดมาให้
นั่นหมายความว่าอะไร
เพื่อว่าเราจะทำเงินได้อย่างงั้นหรือ?
เพื่อที่เราจะได้เล่นบนเวทีด้วยความภาคภูมิใจหรือ?
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ว่ามันมากกว่านั้น
ดนตรีคือวิถีชีวิตของผม
และตอนนี้ผมอยู่ในแวดวงการสอนดนตรี
ผมสามารถแชร์กับคุณในฐานะของครู
ผมได้เข้าใจว่า มีหลายอย่างที่เราเรียนรู้ได้จากดนตรี
มาปรับใช้กับชีวิต
จะเป็นนักดนตรีที่ดี คุณต้องเป็นนักฟังที่ดี
มันไม่สำคัญว่า
ผมจะเป็นมือเบสหรือเครื่องดนตรีอื่นที่เก่งเพียงใด
มันไม่สำคัญว่าผมเก่งแค่ไหน
เราสามารถเอานักดนตรีที่เก่งที่สุดของโลก 5 คนขึ้นมาบนเวที
แต่ถ้านักดนตรีเหล่านั้นเก่งแบบตัวใครตัวมัน
เล่นออกมาก็ไม่น่าฟัง
แต่ถ้าเราฟังคนอื่นและเล่นไปด้วยกัน
โดยที่ แต่ละคนไม่ต้องเก่งมากก็ได้
เสียงที่ออกมาก็จะดีกว่ามาก
เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ผมถูกเชิญไปที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด ในแคลิฟอร์เนีย
ร่วมกับทีมนักดนตรี
เพื่อแนะนำนักศึกษาปี 1 ที่มาใหม่
เราได้ใช้ดนตรีเพื่อให้พวกเขา
ได้คิดถึงว่า ใน 4 ปีข้างหน้าชีวิตพวกเขาจะเป็นเช่นไร
มันสนุกที่จะใช้ดนตรีเป็นช่องทาง
ที่ทำให้ผมพูดได้ทุกเรื่อง และกระทบใจ
ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การเหยียดผิว
ความเท่าและไม่เท่าเทียม ศาสนา
ผมสามารถสื่อผ่านดนตรี
โดยที่ผมยังมีความปลอดภัยในชีวิต
ตอนนั้นเราเลือกคนฟังมา 1 คน
เป็นคนที่ไม่เคยเล่นเครื่องดนตรีมาก่อน
เราได้ผู้หญิง
เราขอให้เธอขึ้นเวที เอาเบสให้เธอสะพาย
แล้วก็ให้วงดนตรีเริ่มเล่น
พอวงเริ่มปุ๊บ
เธอก็เริ่มทำแบบนี้
(เสียงหัวเราะ)
แล้วผมก็บอกว่า "นั่นไงล่ะ ดนตรี"
เครื่องดนตรีถ้ามันวางอยู่เฉย ๆ ในร้าน
มันไม่มีเสียงใด ๆ ออกมาหรอก
แต่ถ้าคุณอยากให้เกิดเสียงดนตรี
คุณต้องเอาให้คนเล่น
และจังหวะจากการโยกหัวของคุณ
คุณต้องส่งผ่านไปยังเครื่องดนตรีของคุณ
ผมแค่ให้เธอเอามือข้างซ้ายจับไปที่คอของเบส
เพราะทุกคนรู้ว่าจะจับเครื่องดนตรีอย่างไร
ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย
กดแล้วให้มือขวาเต้นรำไปบนสาย
เธอก็เริ่มกระโดดไปตามโน๊ต วงก็เริ่มเล่นรอบ ๆ เธอ
เพียงครู่เดียวเธอก็กลายเป็นมือเบส
ยิ่งกว่านั้น เธอคือนักดนตรี
นักเต้นไม่เคยถามก่อนที่จะเต้น
นักร้องไม่จำเป็นต้องถามว่าวงเล่นคีย์ไหนอยู่
แต่นักดนตรีกลับมีคำถามมากมาย
นั่นสอนให้ผมรู้ว่า "ว้าว"
เพราะว่าพวกเราเก่ง เธอเลยไม่ต้องรู้อะไรก็ได้
(เสียงหัวเราะ)
หากใครสักคนเดินเข้ามาในห้องและเห็นวงดนตรีเล่น
โดยมีมือใหม่ร่วมบนเวที
เขาจะไม่รู้ว่าใครเป็นมือใหม่
นั่นทำให้ผมร้อง "้ว้าว !
ถ้าผมใช้ความสามารถไปในทางที่ถูก
มันจะช่วยให้คนอื่นเก่งขึ้นอย่างรวดเร็ว"
และที่เจ๋งกว่านั้นคือ
เธอได้เอาเบสกีตาร์ตัวนั้นกลับบ้านด้วย
(เสียงหัวเราะ)
ผมพบเธอเร็ว ๆ นี้ เธอยังคงเป็นมือเบสอยู่
มันยอดเยี่ยมมาก
การฟังเป็นหัวใจสำคัญของดนตรีที่เราสามารถเอามาใช้ในชีวิต
ทำงานร่วมกัน
เราเก่งด้วยการที่ช่วยให้คนอื่นให้เก่งขึ้น
เมื่อคนขอให้คุณขึ้นเวที
อย่าเลี่ยงออกมาด้วยท่าทีเหมือนคุณถ่อมตัว
ขึ้นไปยืนบนนั้น
ถ้าเขายกคุณขึ้นไป แสดงว่าพวกเขาเห็นว่าคุณสูงส่งแค่ไหน
ยืนบนนั้นแล้วดึงพวกเขาขึ้นไป
พวกเขาจะเติบโตได้เร็วกว่าที่คุณลงมาข้างล่าง
เราสามารถช่วยคนอื่นได้เพราะเราเก่ง
แต่ในทางดนตรี ผมจะเก่งได้ก็ต่อเมื่อคนอื่น ๆ บอกว่าผมเก่ง
คนอื่น ๆ บอกว่า "นั่นไง เขาได้รางวัลแกรมมี่"
แต่ผมไม่สามารถชนะได้หากไม่มีพวกคุณ
อีกสิ่งหนึ่งที่แม่ผมสอนพวกเราเสมอ
คือ "พวกเธอประสบความสำเร็จแล้ว
แค่โลกยังไม่รู้จักต่างหาก"
ตอนแม่สอนผมก็ยังไม่เข้าใจ
แต่ตอนนี้ผมเข้าใจดีแล้ว
ก่อนหมดเวลา ผมอยากให้คุณคิดถึงเรื่องนี้
ถ้าผมเล่นโน๊ต 2 ตัว เอาว่า C
-อยากให้คุณลองใช้จิตนาการของคุณดู-
ถ้าผมเล่น C และ C# ที่อยู่ติดกัน
เสียงที่ได้มันก็จะขัด ๆ
"ผิด" "ไม่ได้เรื่อง"
แต่ถ้าผมเล่น C ขึ้นไป อีกอ็อกเทฟ
เล่น C# และ C อีกครั้ง
เพียงเท่านี้ เราจะได้เสียงที่ไพเราะมาก
โน๊ต 2 ตัวเหมือนเดิม
C ตัวนั้นจะกลายเป็น C เมเจอร์ 7 ที่เข้ากับ C# ได้ดี
ซึ่งเป็นโน๊ตสำคัญของคอร์ดที่ให้เสียงเพราะมาก
ทั้ง ๆ ที่เป็นโน๊ตตัวเดิม โน๊ต 2 ตัวเหมือนกัน
แต่ทำไมให้เสียงต่างกันได้
อันหนึ่งเสียงแย่ แต่อีกอันเสียงเพราะได้?
ลองเอาเรื่องนี้มาใช้กับชีวิต
เวลาที่คุณเห็นอะไรแย่ ๆ หรือเลวร้ายในชีวิต
บางทีมุมที่คุณมองอาจจะผิดอ็อกเทฟ
บางทีเราแค่เปลี่ยนมุมองของเรา
จริง ๆ แล้วถ้าคุณเห็นอะไรที่มันผิด
คุณควรจะระลึกได้ว่า คุณกำลังมองอยู่ผิดมุม
และหาทางที่จะเปลี่ยนมุมมอง
หรือศัพท์ดนตรีก็คือเปลี่ยนอ็อกเทฟ
ประเทศที่สร้างระเบิดเพื่อที่จะทำร้ายกัน
ปลูกฝังความกลัว ฆ่าผู้คนเพื่อพิสูจน์จุดยืน
ประเทศที่รัฐบาลสวดอวยพรแล้วก็ทิ้งระเบิด
มันเกิดขึ้นจากการสั่งการ จากบนสู่ล่าง
การมีรัฐบาลจากข้างล่างจะเป็นคำตอบ
มันทำให้ผมเข้าใจว่าทางออกจะมาจากล่างขึ้นบน
จะมีใครบ้างที่กำลังสร้างระเบิดที่ทำให้คนหลงรัก
มันคงจะเป็นระเบิดกามเทพ
ผมเชื่อว่าเรามีกันอยู่แล้ว
มันคือดนตรี
และแต่ละประเทศมีรูปแบบของตัวเอง
และใช้ได้ดี เพราะมันพาให้ผู้คนมาร่วมกัน
ไม่ต้องรู้จักก็สามารถมีได้
มันเป็นภาษา เป็นวิถีชีวิต
และมันสามารถช่วยโลกได้
ผมชื่อ วิกเตอร์ วูเท่น ผมเป็นนักดนตรี
ผมหวังว่าคุณจะร่วมกับผมในสนามรบนั้น
(เสียงหัวเราะ)
ขอบคุณครับ
(เสียงปรบมือ)