1 00:00:07,000 --> 00:00:10,340 "สรรพสิ่งมีความน่าพิศวงของมัน แม้แต่ความมืดและความเงียบ" 2 00:00:10,340 --> 00:00:14,040 "สรรพสิ่งมีความน่าพิศวงของมัน แม้แต่ความมืดและความเงียบ" เฮเลน เคลเลอร์ 3 00:00:15,300 --> 00:00:18,360 อนาคตจะเป็นแบบไหน 4 00:00:19,300 --> 00:00:22,200 จักรวาลจะมีจุดจบอย่างไร 5 00:00:23,260 --> 00:00:25,740 เราอาจจะไม่มีวันเข้าใจเลยก็ได้ 6 00:00:26,820 --> 00:00:30,560 แต่วิทยาศาสตร์ได้เริ่มวาดภาพที่สุดแสนจะบรรยายในอนาคต ว่าจะออกเป็นเช่นไร 7 00:00:31,900 --> 00:00:34,620 เราจะออกเดินทางไปถึงจุดจบของเวลา 8 00:00:35,400 --> 00:00:38,680 เราจะเดินทางผ่านเวลาแบบทวีคูณ เพิ่มความเร็วเป็นสองเท่าทุก ๆ 5 วินาที 9 00:00:39,400 --> 00:00:44,580 ภาพในอนาคตจะพัฒนาไปตามหลักฐานและทฤษฎีที่เรามี และก็มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนแล้ว 10 00:00:44,800 --> 00:00:46,520 จักรวาลแค่เพิ่งเริ่มต้น.. 11 00:00:46,520 --> 00:00:48,740 [ยุคแอนโทรโพซีน] 12 00:00:48,740 --> 00:01:00,820 ยุคของโฮโลซีนก็จบลงแล้ว สิ่งที่เราทำตอนนี้และอีกหลายปีข้างหน้า จะส่งผลอย่างรุนแรงในไม่กี่พันปีข้างหน้า 13 00:01:04,180 --> 00:01:12,020 สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ในปัจจุบันและรู้จัก กำลังเปลี่ยนไป และเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว 14 00:01:13,260 --> 00:01:17,380 ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ตลอดไปบนโลกใบนี้ ทุก ๆ อย่าง เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ 15 00:01:18,180 --> 00:01:20,720 โลกกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงกับบางสิ่งเหล่านี้ 16 00:01:20,720 --> 00:01:22,181 และคุณไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อโลกเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง 17 00:01:22,181 --> 00:01:24,360 [การสลับของสนามแม่เหล็กโลก] และคุณไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อโลกเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง 18 00:01:24,360 --> 00:01:26,200 โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ 19 00:01:26,702 --> 00:01:30,496 [การกลับมาของ ดาวหาง เฮล-บอปป์] 20 00:01:31,880 --> 00:01:32,880 [ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนือง] 21 00:01:32,880 --> 00:01:37,300 สิ่งต่าง ๆ บนโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดคงเดิม [ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนือง] 22 00:01:37,300 --> 00:01:39,460 ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป [การพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อยขนาด 30 เมตร] 23 00:01:39,516 --> 00:01:41,157 [ดาวแอนทาเรสกลายเป็นซูเปอร์โนวา] 24 00:01:42,639 --> 00:01:44,570 [ทะเลทรายซาฮาร่า กลายเป็นแผ่นดินเขตร้อน] 25 00:01:46,653 --> 00:01:48,484 [กลุ่มดาวเริ่มเปลี่ยนตำแหน่ง] 26 00:01:50,699 --> 00:01:51,969 [ยานวอยเอจเจอร์ 1 ผ่านดาวฤกษ์ใกล้เคียง] 27 00:01:53,969 --> 00:01:55,666 [จุดสิ้นสุดของยุคน้ำแข็งขั้วโลก] 28 00:01:57,085 --> 00:02:00,169 [การปะทุของภูเขาไฟยักษ์] 29 00:02:05,545 --> 00:02:07,803 [เกาะฮาวายใหม่ปรากฏขึ้น] 30 00:02:08,185 --> 00:02:09,185 [เกาะใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ] 31 00:02:14,004 --> 00:02:15,164 [รอยเท้าอะพอลโลได้จางหายไป] 32 00:02:17,527 --> 00:02:18,697 [ดาวบีเทลจุสกลายเป็นซูเปอร์โนวา] 33 00:02:21,535 --> 00:02:24,435 [อนุสรณ์สถานทั้งหมดถูกกัดเซาะ] 34 00:02:29,721 --> 00:02:31,691 [การระเบิดของรังสีแกมมา] 35 00:02:32,702 --> 00:02:35,278 [ดวงจันทร์รอบดาวอังคาร กลายเป็นวงแหวน] 36 00:02:37,911 --> 00:02:39,226 [วงแหวนของดาวเสาร์หายไป] 37 00:02:41,670 --> 00:02:43,604 [การละลายของทวีปแอนตาร์กติกา] 38 00:02:44,876 --> 00:02:46,346 [การพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อยครั้งใหญ่] 39 00:02:50,862 --> 00:02:56,407 [มหาทวีปใหม่] 40 00:02:57,820 --> 00:02:58,880 [ดวงอาทิตย์สว่างขึ้น] 41 00:02:58,880 --> 00:02:59,876 เมื่อเชื้อเพลิงเริ่มหมดลง [ดวงอาทิตย์สว่างขึ้น] 42 00:02:59,876 --> 00:03:01,086 เมื่อเชื้อเพลิงเริ่มหมดลง [การสังเคราะห์ด้วยแสงเริ่มหยุดลง] 43 00:03:01,088 --> 00:03:02,709 ดวงอาทิตย์ไม่เพียงแค่หายไปเฉย ๆ [การสังเคราะห์ด้วยแสงเริ่มหยุดลง] 44 00:03:02,712 --> 00:03:03,761 ดวงอาทิตย์ไม่เพียงแค่หายไปเฉย ๆ [พืชทุกชนิดตายหมด] 45 00:03:03,761 --> 00:03:05,080 [พืชทุกชนิดตายหมด] 46 00:03:05,080 --> 00:03:06,080 [น้ำในมหาสมุทรระเหยหายไป] 47 00:03:06,080 --> 00:03:12,340 แกนกลางจะยุบตัวลง และความร้อนที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้พื้นผิวชั้นนอกเกิดการขยายตัว 48 00:03:12,340 --> 00:03:13,235 [ทุกชีวิตตายหมด] 49 00:03:13,235 --> 00:03:16,811 [ดวงอาทิตย์ขยายตัว] 50 00:03:16,811 --> 00:03:18,763 [ดวงอาทิตย์กลายเป็นดาวยักษ์แดง] 51 00:03:18,763 --> 00:03:21,092 [โลกถูกทำลายโดยดวงอาทิตย์ที่กำลังจะตาย] 52 00:03:21,092 --> 00:03:22,380 [ดวงอาทิตย์กลายเป็นดาวแคระขาว] 53 00:03:22,380 --> 00:03:24,745 และดวงอาทิตย์… ก็ดับลง… [ดวงอาทิตย์กลายเป็นดาวแคระขาว] 54 00:03:24,745 --> 00:03:30,115 และค่อย ๆ เย็นตัวลงอย่างช้า ๆ ในอุณหภูมิเยือกเย็นของห้วงอวกาศ 55 00:03:40,021 --> 00:03:44,541 ชะตากรรมของดวงอาทิตย์ก็เหมือนกับดาวดวงอื่น ๆ 56 00:03:44,541 --> 00:03:51,460 วันหนึ่ง สุดท้ายพวกมันก็ต้องดับลง และจักรวาลก็จะตกอยู่ในความมืดมิดตลอดกาล… 57 00:03:54,280 --> 00:03:58,340 ในที่สุดเชื้อเพลิงของดาวทุกดวงก็จะหมดลง [ดวงดาวเริ่มดับลง] 58 00:03:58,347 --> 00:04:06,077 อุณหภูมิของจักรวาลลดลง ดาวบนฟ้าจะค่อย ๆ หายไป . . ทีละดวง . . . 59 00:04:08,160 --> 00:04:11,680 และจะไม่มีดาวฤกษ์เกิดใหม่อีก 60 00:04:13,280 --> 00:04:18,019 และจักรวาลจะไม่จบลงด้วยการระเบิด แต่ด้วย… ความเงียบสงัด 61 00:04:19,885 --> 00:04:21,265 [ดาวแคระแดงดวงสุดท้ายตาย] 62 00:04:21,279 --> 00:04:24,800 และไม่ใช่ในไฟ... แต่ในความเยือกเย็น... [ดาวแคระแดงดวงสุดท้ายตาย] 63 00:04:29,541 --> 00:04:30,800 [ยุคเสื่อมโทรม] 64 00:04:30,800 --> 00:04:37,560 เมื่อดาวฤกษ์ดวงสุดท้ายดับลง ยุคของแสงสว่างจากดวงดาว ก็มาถึงจุดจบ 65 00:04:40,760 --> 00:04:47,840 จักรวาลกลายเป็นสุสาน ที่เต็มไปด้วยซากของดาวที่ตายแล้ว 66 00:04:51,040 --> 00:04:56,740 ดวงอาทิตย์ของเรากลายเป็นดาวแคระขาว ที่ร้อนและหนาแน่น เป็นซากที่หดตัวของดาวฤกษ์ 67 00:05:01,760 --> 00:05:05,920 เมื่อไม่มีเชื้อเพลิงเหลือให้เผาไหม้แล้ว ดาวแคระขาวจะเปล่งแค่แสงสลัว ๆ 68 00:05:05,920 --> 00:05:11,200 นั้นมาจากแหล่งความร้อนที่ยังเหลืออยู่ในที่เตาที่มอดแล้ว 69 00:05:15,700 --> 00:05:18,080 ถ้ามองมันจากบนโลกในตอนนี้แล้ว 70 00:05:18,080 --> 00:05:23,860 แสงที่เปล่งออกมา นั้นเทียบเท่ากับแสง ของพระจันทร์เต็มดวง ในคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง 71 00:05:29,180 --> 00:05:36,940 แสงที่ริบหรี่จากดาวแคระขาว จะเป็นเพียงแสงเดียวที่ส่องสว่างในความมืดมิดและว่างเปล่า 72 00:05:36,940 --> 00:05:40,960 ท่ามกลางซากของดาวฤกษ์ และหลุมดำ 73 00:05:50,720 --> 00:05:56,400 ในบางมุม มันราวกับกับ จักรวาลผี ที่มีแต่ซากดาวฤกษ์ ดาวซอมบี้ และพวกนี้จะพาเราไปสู่อนาคตต่อไป 74 00:06:07,620 --> 00:06:11,200 พอเวลาผ่านไป แรงโน้มถ่วงก็ผลักดาวที่ตายแล้วออกไปจากดาราจักรที่เคยอยู่ 75 00:06:11,200 --> 00:06:13,220 ไปสู่ห้วงอวกาศ . . ที่ว่างเปล่าและเยือกเย็น . . . 76 00:06:18,880 --> 00:06:22,960 มีโอกาส ที่ดาวแคระน้ำตาลสองดวงชนกัน และสร้างดาวฤกษ์ดวงใหม่โดยบังเอิญ 77 00:06:28,320 --> 00:06:31,651 การชนกันของดาวนิวตรอน จะขจัดความมืด ด้วยแสงซูเปอร์โนวาที่สว่างจ้า 78 00:06:31,651 --> 00:06:33,458 การชนกันของดาวนิวตรอน จะขจัดความมืด ด้วยแสงซูเปอร์โนวาที่สว่างจ้า [การชนกันของดาวนิวตรอน] 79 00:06:33,458 --> 00:06:35,488 [การชนกันของดาวนิวตรอน] 80 00:06:51,072 --> 00:06:52,240 [ยุคเสื่อมโทรม] 81 00:06:52,240 --> 00:06:58,020 รูปแบบชีวิตใด ๆ ก็ตามที่ยังอยู่รอด อาจใช้ดาวแคระขาวเป็นที่อยู่อาศัย 82 00:07:06,880 --> 00:07:11,620 พอนานไป แม้แต่ดาวแคระห์ขาวเองก็ค่อย ๆ สลัวลงและดับไปในที่สุด… 83 00:07:12,657 --> 00:07:13,540 [ดาวฤกษ์กลายเป็นดาวแคระดำ] 84 00:07:13,540 --> 00:07:17,620 ดาวแคระดำจะเป็นชะตากรรมสุดท้าย ของดาวกลุ่มสุดท้าย [ดาวฤกษ์กลายเป็นดาวแคระดำ] 85 00:07:17,620 --> 00:07:23,500 เป็นดาวแคระขาวที่มีอุณหภูมิต่ำมาก จนแทบจะไม่แผ่ความร้อนหรือเปล่งแสงออกมาเลย 86 00:07:27,580 --> 00:07:33,440 ดาวแคระดำนั้นมืดมิด หนาแน่น เหมือนลูกบอลของสสารที่กำลังเสื่อม 87 00:07:34,560 --> 00:07:37,280 เป็นเพียงแค่เศษซากของดวงดาว 88 00:07:38,400 --> 00:07:42,080 อะตอมถูกบีบอัดอย่างรุนแรง 89 00:07:42,080 --> 00:07:46,080 ทำให้ดาวแคระดำหนาแน่นกว่า ดวงอาทิตย์เป็นล้านเท่า 90 00:07:54,440 --> 00:07:57,600 ดาวฤกษ์ใช้เวลานานมาก กว่าจะมาถึงจุดนี้ 91 00:07:57,600 --> 00:08:02,240 เราเชื่อว่า ยังไม่มีดาวแคระดำในจักรวาลตอนนี้ 92 00:08:11,760 --> 00:08:17,040 วัตถุใดที่ไม่สามารถหนีออกจากดาราจักรได้ จะถูกดูดเข้าไปสู่หลุมดำที่ใจกลาง 93 00:08:17,040 --> 00:08:21,154 [หลุมดำดูดกลืนทุกสสารในอวกาศ] 94 00:08:26,350 --> 00:08:31,280 หลุมดำเงียบ ๆ ก็จะลุกเป็นไฟโชติช่วง (จากการดูดกลืนสสาร) 95 00:08:48,414 --> 00:08:49,714 [ยุคเสื่อมโทรม] 96 00:08:52,360 --> 00:08:59,560 พลังงานการหมุนของหลุมดำจะกลายเป็นแหล่งพลังงาน สุดท้ายที่ใช้ได้สำหรับอารยธรรมใด ๆ ที่ไม่ธรรมดาในอนาคต 97 00:09:05,300 --> 00:09:09,300 เรามีวิถีชีวิตที่ขึ้นอยู่กับพลังงานที่มีให้ใช้ในตอนนี้ 98 00:09:10,560 --> 00:09:15,680 คุณสามารถจินตนาการถึงการมีชีวิต บนระบบความมีสติ ที่ทำให้เราก้าวไปอย่างแตกต่าง และนั่น 99 00:09:15,680 --> 00:09:19,740 ทำให้สามารถยืดอายุออกไปได้ อย่างน้อยก็มากกว่าที่คุณจะจินตนาการได้ 100 00:09:21,600 --> 00:09:23,320 คุณอาจจะมีระบบของสิ่งมีชีวิต 101 00:09:23,320 --> 00:09:27,680 ที่มีความคิดทุก ๆ 10 ล้านล้านปี ก็จะดูเป็นเรื่องปกติไปเลย 102 00:09:30,880 --> 00:09:34,660 แม้ชีวิตของเราจะตายไปหมดแล้ว ก็ลองจินตนาการดูว่า 103 00:09:35,360 --> 00:09:37,920 ช่วงเวลาหนึ่งในอนาคตอันไกลโพ้น 104 00:09:37,920 --> 00:09:43,000 มีความผันผวนเกิดขึ้น และทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาขึ้นอีกครั้งสักช่วงเวลาหนึ่ง 105 00:09:44,480 --> 00:09:48,480 ดังนั้นคุณอาจจะมีช่วงเวลาของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา 106 00:09:54,186 --> 00:09:56,900 [การขยายตัวของเอกภพ] 107 00:09:56,900 --> 00:10:04,640 เมื่อการขยายตัวของเอกภพเร็วขึ้น วัตถุก็เริ่มแยกสสารออกจากกันเร็วยิ่งกว่าแสง 108 00:10:06,880 --> 00:10:13,440 พอถึงจุดนี้ ดาราจักรและดวงดาวกำลังถ่อยห่างกันอย่างรวดเร็วจนแสงเองยังส่องกันไม่ถึง 109 00:10:15,200 --> 00:10:22,000 และความลับของจักรวาลก็ได้ถูกปิดตายไปตลอดกาล 110 00:10:25,280 --> 00:10:33,320 ในทฤษฎีปัจจุบันคาดว่า อะตอมมันเองจะเริ่มสลายไป และทำลายสสารที่เหลืออยู่ในจักรวาลทั้งหมด 111 00:10:33,320 --> 00:10:34,740 [การสลายตัวของโปรตอน] 112 00:10:34,740 --> 00:10:40,020 โปรตอน หนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานของอะตอม สิ่งที่สร้างตัวเราขึ้นมา [การสลายตัวของโปรตอน] 113 00:10:40,080 --> 00:10:42,080 นั้นสามารถที่จะแตกสลายไปเฉย ๆ 114 00:10:44,320 --> 00:10:47,600 วัตถุใด ๆ ที่ไม่ได้ถูกหลุมดำดูดเข้าไป 115 00:10:47,600 --> 00:10:51,600 ก็จะสลายไปเองจากการแตกสลายของโปรตอน 116 00:10:58,560 --> 00:11:06,660 ทฤษฎีการสลายตัวของโปรตอน ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ และดังนั้นถ้าเกิดการค้นพบใหม่ขึ้นมาในบทอนาคตนี้อาจจะดูแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง 117 00:11:18,240 --> 00:11:20,520 สสารที่เหลืออยู่ในดาวแคระดำนี้ เป็นสสารสุดท้ายในเอกภพ 118 00:11:20,520 --> 00:11:22,920 และสสารสุดท้ายที่อยู่ในเอกภพนี้ 119 00:11:23,360 --> 00:11:29,840 ในที่สุดก็จะระเหยไป และแผ่ออกไปในความว่างเปล่าด้วยการแผ่รังสี 120 00:11:29,840 --> 00:11:33,600 ไม่หลงเหลืออะไรไว้อีกเลย 121 00:11:34,658 --> 00:11:42,320 [ยุคของหลุมดำ] 122 00:11:42,320 --> 00:11:47,360 ในเมื่อดาวแคระดำก็หายไปหมดแล้ว ก็คงไม่มีอะตอมสักอันหรือสสารหลงเหลืออีกแล้ว 123 00:11:52,080 --> 00:11:58,880 ทั้งหมดที่จะยังคงอยู่ในจักรวาลที่เคยเต็มไปด้วยสสาร จะเป็นอนุภาคของแสงและหลุมดำ 124 00:12:06,880 --> 00:12:10,800 ยุคของหลุมดำได้เริ่มขึ้น 125 00:12:12,200 --> 00:12:18,160 ไม่มีดาวเคราะห์ ไม่มีดวงดาว ไม่มีสถานที่สำหรับสิ่งมีชีวิต 126 00:12:20,760 --> 00:12:26,560 ถึงกระนั้น เวลาก็แค่เพิ่งจะเริ่มเดิน 127 00:12:29,300 --> 00:12:32,660 ในช่วงเวลาที่เป็นอยู่ของมนุษย์ จักรวาลแค่กำลังกำเนิดขึ้น 128 00:12:36,780 --> 00:12:42,780 เย็น มืด และว่างเปล่า นี่คือสิ่งที่จักรวาลใช้เวลาเกือบทั้งหมดอยู่ช่วงนี้ 129 00:12:47,940 --> 00:12:56,240 จักรวาลให้ชีวิตเราแค่เพียงช่วงหนึ่ง ช่วงที่พักของเวลา เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและจบลงอย่างเยือกเย็น 130 00:12:57,200 --> 00:13:02,080 เส้นทางของเวลา ได้สร้างหน้าต่างที่สดใส ในช่วงวัยรุ่นของจักรวาล 131 00:13:02,084 --> 00:13:04,364 ในช่วงของสิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นไปได้ 132 00:13:08,340 --> 00:13:12,340 แต่หน้าต่างเวลานั้นไม่ได้เปิดไว้นานนัก 133 00:13:15,340 --> 00:13:23,600 เป็นแค่เศษส่วนหนึ่งของช่วงอายุจักรวาล ที่วัดจากจุดเริ่มต้นไปยัง การระเหยของหลุมดำสุดท้าย 134 00:13:23,610 --> 00:13:27,560 ชีวิต ที่เรารับรู้ได้ มีความเป็นไปได้เพียงแค่ 135 00:13:27,560 --> 00:13:29,263 หนึ่งในพันส่วน 136 00:13:29,263 --> 00:13:29,733 หนึ่งในพันส่วน ของพันล้าน 137 00:13:29,733 --> 00:13:30,133 หนึ่งในพันส่วน ของพันล้านพันล้าน 138 00:13:30,133 --> 00:13:30,943 หนึ่งในพันส่วน ของพันล้านพันล้านพันล้าน 139 00:13:30,943 --> 00:13:31,393 หนึ่งในพันส่วน ของพันล้านพันล้านพันล้านพันล้าน 140 00:13:31,393 --> 00:13:31,833 หนึ่งในพันส่วน ของพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้าน 141 00:13:31,833 --> 00:13:32,523 หนึ่งในพันส่วน ของพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้าน 142 00:13:32,523 --> 00:13:32,893 หนึ่งในพันส่วน ของพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้าน 143 00:13:32,893 --> 00:13:33,623 หนึ่งในพันส่วน ของพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้าน 144 00:13:33,623 --> 00:13:35,103 หนึ่งในพันส่วน ของพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้าน 145 00:13:35,103 --> 00:13:38,133 หนึ่งในพันส่วน ของพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้านพันล้าน ของเปอร์เซ็นต์ 146 00:13:45,023 --> 00:13:48,183 หลุมดำกลายเป็นโครงสร้างหลักของจักรวาลจักรวาล 147 00:13:52,817 --> 00:13:57,597 ดาราจักรกลายเป็นหลุมดำมวลยิ่งยวดอยู่ตรงกลาง กับมีหลุมดำขนาดเล็กกว่าโคจรอยู่รอบ ๆ 148 00:14:01,843 --> 00:14:06,353 ดาราจักรซอมบี้ที่เต็มไปด้วยหลุมดำ ขยายขนาดขึ้นเรื่อย ๆ 149 00:14:10,351 --> 00:14:14,921 เหล่าหลุมดำกลืนกินกันเอง และมีขนาดใหญ่ขึ้น และอาจจะถูกหลุมดำมวลยิ่งยวดกลืนกินอีกที ทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้นไปอีก 150 00:14:14,921 --> 00:14:18,380 จักรวาลจะยังตื่นเต้น เคลื่อนที่ต่อไป 151 00:14:18,380 --> 00:14:24,360 มันแบบว่า ช่วงเวลาที่กำลังพูดถึงอยู่ตอนนี้อยู่ในระดับหลายล้านล้านปี แทนที่จะแค่หลักพันหรือสิบล้านปี 152 00:14:29,416 --> 00:14:30,460 [การรวมกันของหลุมดำ] 153 00:14:30,460 --> 00:14:35,960 ในช่วงเวลาระดับนี้ การรวมกันของหลุมดำคือเหตุการณ์หลัก 154 00:14:38,920 --> 00:14:45,440 บางหลุมมีขนาดมโหฬาร มวลหลักล้านล้านเท่าของดวงอาทิตย์ก็เป็นไปได้เช่นกัน 155 00:14:49,560 --> 00:14:55,300 เมื่อหลุมดำรวมกัน ก็จะส่งคลื่นแรงโน้มถ่วงสั่นสะเทือนไปทั่วจักรวาล 156 00:14:56,400 --> 00:15:00,580 หลุมดำสามารถสั่นสะเทือนปริภูมิ-เวลาคล้ายกับการตีกลอง 157 00:15:09,120 --> 00:15:12,160 และมีเอกลักษณ์ในเพลงเป็นของตัวเอง 158 00:15:18,110 --> 00:15:21,420 ลองนึกภาพหลุมดำสองหลุม ได้ใช้ชีวิตร่วมกันมานาน 159 00:15:22,378 --> 00:15:28,148 ในช่วงท้ายชีวิตของหลุมดำทั้งสองหลุม โคจรรอบกัน ด้วยความเร็วหลายพันกิโลเมตรในเสี้ยววินาที 160 00:15:32,381 --> 00:15:38,951 ขณะที่โคจรรอบกัน ก็ได้หลงเหลือเสียงเพลงในอวกาศไว้ นั่นก็คือคลื่นบนปริภูมิ-เวลา 161 00:15:53,400 --> 00:15:59,160 อวกาศถูกหดและยืดออกไปจากหลุมดำสองหลุมที่โคจรรอบกันในจักรวาล 162 00:16:03,080 --> 00:16:07,360 นั่นก็คือคลื่นแรงโน้มถ่วง และนี่ก็คือเสียงจริง ๆ ของอวกาศกำลังสั่นไหว 163 00:16:07,680 --> 00:16:16,460 และคลื่นจากหลุมดำสองหลุมนี้จะเดินทางออกไปด้วยความเร็วแสง จนกระทั่งค่อย ๆ เบาลงและรวมตัวกันเป็นหนึ่ง หลุมดำที่หมุนอย่างเงียบ ๆ 164 00:16:21,381 --> 00:16:23,421 ถ้าคุณเข้าไปยืนใกล้มากพอแล้วละก็ 165 00:16:23,421 --> 00:16:27,421 หูคุณคงจะดังก้องไปกับการยืดและหดตัวของอวกาศ 166 00:16:27,421 --> 00:16:29,681 คุณจะได้ยินเสียงจริง ๆ 167 00:16:39,396 --> 00:16:43,396 ลองนึกภาพหลุมดำที่มีมวลน้อย กำลังถูกดูดกลืน โดยหลุมดำที่มีมวลมาก 168 00:16:43,396 --> 00:16:49,416 เสียงที่คุณได้ยินเป็นเสียงจากหลุมดำที่เบากว่า และส่งเสียงในอวกาศทุกครั้งที่มันเข้าใกล้ขึ้น 169 00:16:58,392 --> 00:17:01,472 ยิ่งเข้าใกล้มากขึ้น ก็ยิ่งเร็วขึ้น และดังขึ้นเรื่อย ๆ 170 00:17:22,895 --> 00:17:25,935 นักวิทยาศาสตร์เคยคิดว่า หลุมดำไม่มีวันตาย 171 00:17:25,935 --> 00:17:28,425 แต่แม้สุดท้ายหลุมดำก็ต้องตาย 172 00:17:29,402 --> 00:17:35,912 ตอนนี้เรากำลังพูดถึงสเกลเวลาที่มีความยาวจนไม่สามารถจินตนาการได้ ราวล้านล้านล้านล้านปีในอนาคต 173 00:17:35,912 --> 00:17:40,149 ในเวลานานขนาดนี้ แม้แต่หลุมดำก็ยังระเหยหายไป 174 00:17:43,146 --> 00:17:44,478 [การแผ่รังสีฮอว์กิง] 175 00:17:52,385 --> 00:17:57,425 ตามทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมแล้ว อวกาศนั้นเต็มไปด้วยอนุภาคเสมือน 176 00:17:57,425 --> 00:18:02,485 ทั้งอนุภาคและปฏิอนุภาค เกิดขึ้นเป็นคู่อยู่เรื่อย ๆ 177 00:18:02,485 --> 00:18:07,995 แยกจากกัน เข้าหากันอีก แล้วก็ทำลายล้างกัน 178 00:18:13,412 --> 00:18:15,572 พอมีหลุมดำเข้ามาด้วย 179 00:18:15,572 --> 00:18:20,672 หนึ่งในอนุภาคเสมือนคู่นี้อาจจะโดนหลุมดำดูดเข้าไป 180 00:18:20,672 --> 00:18:25,402 ปล่อยให้อีกอนุภาคนึงไม่มีคู่ให้ทำลายล้างกัน 181 00:18:27,409 --> 00:18:33,419 อนุภาคที่ถูกเข้าไปก็ถูกปล่อยออกมาเป็นรังสีจากหลุมดำ 182 00:18:36,425 --> 00:18:41,415 และดังนั้น หลุมดำไม่ได้อยู่ตลอดไป 183 00:18:41,415 --> 00:18:43,412 [การระเหยของหลุมดำ] 184 00:18:43,412 --> 00:18:50,692 หลุมดำระเหยด้วยอัตราเร่งขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งระเบิดออกอย่างรุนแรง 185 00:18:51,371 --> 00:18:52,371 [หลุมดำเริ่มตาย] 186 00:18:57,180 --> 00:19:06,432 ทฤษฎีควอนตัมอนญาตให้อนุภาคและรังสีหนีออกมาจากคุกขั้นสูงสุดนี้ได้ ก็คือหลุมดำ 187 00:19:07,980 --> 00:19:13,380 หลุมดำเริ่มระเหยหายไป ลบล้างโครงสร้างขนาดใหญ่ของจักรวาล 188 00:19:15,740 --> 00:19:18,720 ขณะที่หลุมดำตายลง ก็จุดแสงจ้าในความมืดจุดหนึ่ง หนึ่งต่อหนึ่ง 189 00:20:01,120 --> 00:20:08,720 ขณะที่หลุมดำเริ่มตายลงอย่างช้า ๆ จักรวาลก็ขยายตัวต่อไป ด้วยแรงที่เรายังไม่สามารถเข้าใจได้ [พลังงานมืดทำให้จักรวาลขยายตัว] 190 00:20:12,660 --> 00:20:17,440 นี่คือขอบเขตความรู้ของมนุษย์ ขอบเขตแห่งการสำรวจและการค้นพบ 191 00:20:18,020 --> 00:20:22,560 นักปรัชญาและกวี เคยถามไว้ว่า "โลกจะจบลงด้วยไฟหรือน้ำแข็ง" 192 00:20:23,415 --> 00:20:26,445 ในตอนนี้เราก็ให้คำตอบได้แล้ว 193 00:20:28,403 --> 00:20:34,443 หลักฐานล่าสุดบ่งชี้ว่าจักรวาลนั้นไม่ได้ขยายตัวช้าลง แต่ขยายตัวเร็วขึ้นจนควบคุมไม่ได้ 194 00:20:35,411 --> 00:20:41,451 จักรวาลที่เราคิด จะตายลงด้วยความเยือกแข็ง ภายในเวลาหลายล้านล้านปีจากนี้ 195 00:20:45,400 --> 00:20:47,900 ความว่างเปล่าของอวกาศนั้นมีพลังงานอยู่ 196 00:20:47,900 --> 00:20:51,380 ในทุก ๆ ลูกบาศก์เซนติเมตรของอวกาศ จะมีหรือไม่ก็ตาม แต่จะมีสิ่งหนึ่งอยู่เสมอ 197 00:20:51,380 --> 00:20:54,193 จะมีหรือไม่ ก็จะมีอนุภาค สสาร รังสี อะไรก็เถอะ 198 00:20:54,200 --> 00:20:57,800 คือยังมีพลังงาน แม้ในอวกาศเองก็ตาม 199 00:21:00,420 --> 00:21:04,420 และพลังงานนี้ ตามที่ไอน์สไตน์บอก สิ่งนี้ออกแรงผลักดันจักรวาลออกไป 200 00:21:07,400 --> 00:21:12,450 แล้วสิ่งแปลก ๆ ที่กำลังเร่งจักรวาลอยู่คืออะไร? เราเรียกมันว่า "พลังงานมืด" 201 00:21:14,617 --> 00:21:18,407 และพลังงานมืดครอบงำจักรวาลส่วนใหญ่ 202 00:21:18,407 --> 00:21:23,417 ราว 3/4 ส่วนของสสาร-พลังงานในจักรวาลนั้นประกอบไปด้วยพลังงานมืด 203 00:21:23,417 --> 00:21:25,477 และเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร 204 00:21:29,897 --> 00:21:35,187 ในขณะที่จักรวาลขยายตัว พลังงานมืด ไม่เหมือนสสารหรือรังสี ไม่หายไปไหนเลย 205 00:21:36,682 --> 00:21:41,462 นี่ทำให้เกิดผลกระทบกับจักรวาลว่าจะเป็นยังไงในอนาคต 206 00:21:43,384 --> 00:21:45,914 แล้ว อนาคตของจักรวาลคืออะไรล่ะ 207 00:21:47,654 --> 00:21:50,834 ก็ถ้าพลังงานมืดยังคงครอบงำอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ 208 00:21:52,414 --> 00:21:54,350 จักรวาลจะขยายตัวไปตลอดกาล 209 00:22:00,411 --> 00:22:06,211 เร็วขึ้น เร็วขึ้น และรวดเร็วยิ่งขึ้นตามกาลเวลา มันคือจักรวาลที่ขยายหนีออกไป 210 00:22:08,404 --> 00:22:15,974 70% ของพลังงานของจักรวาลพักอยู่ในอวกาศที่ว่างเปล่า และเรา… ไม่เข้าใจ… ว่าทำไม… 211 00:22:17,407 --> 00:22:19,447 แต่เราก็รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น 212 00:22:21,178 --> 00:22:26,968 ถ้าพลังงานยังคงอยู่แบบนั้น จักรวาลจะเยือกเย็น มืดมิด และว่างเปล่า 213 00:22:30,104 --> 00:22:32,444 นั่นก็คืออนาคตที่มันอาจจะเป็น 214 00:22:33,391 --> 00:22:37,391 เราไม่เข้าใจ เพราะเรายังไม่เข้าใจธรรมชาติของพลังงานมืด 215 00:22:37,391 --> 00:22:41,491 จนวันหนึ่งเรารู้ เราก็คงจะไม่รู้อนาคต เราไม่เข้าใจแม้กระทั่งต้นกำเนิดของเราเอง 216 00:22:41,500 --> 00:22:45,400 และนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงอยากรู้ และเรียนรู้เรื่องนี้ 217 00:22:47,940 --> 00:22:54,040 การค้นพบพลังงานมืด สามารถเปลี่ยนมุมมองในอนาคตของเราได้อย่างน่าทึ่ง 218 00:22:56,340 --> 00:23:02,880 ถ้าพลังงานมืดอ่อนแรงลงตามเวลา จักรวาลจะยุบตัวภายใต้แรงโน้มถ่วง เรียกว่า "บิ๊กครันช์" 219 00:23:05,220 --> 00:23:10,280 ถ้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จักรวาลจะแตกตัวออกจากกัน เรียกว่า "บิ๊กริป" 220 00:23:10,280 --> 00:23:13,180 [ยุคของหลุมดำ] 221 00:23:13,180 --> 00:23:21,980 นักฟิสิกส์เริ่มครุ่นคิดเอาแนวคิดที่ว่า จักรวาลนั้นยังมีอีกหลายจักรวาลนอกจากจักรวาลของเรา ซึ่งแต่ละจักรวาลมีกฎฟิสิกส์ที่ไม่เหมือนกัน 222 00:23:25,780 --> 00:23:33,760 บางส่วนอาจจะเหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิต ที่เหลือจะยุบตัวลง หรือแยกออกจากกัน 223 00:23:36,120 --> 00:23:41,060 นอกจากนี้ยังสามารถแปลกประหลาดไปได้อีกเกินจินตนาการของเรา 224 00:23:47,000 --> 00:23:52,300 ปริศนาใหม่นี้อาจจะอยู่ที่ไหนสักที่ รอการค้นพบต่อไป 225 00:23:52,440 --> 00:23:57,980 การคาดเดาดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ ยิ่งว่าเย็น ยิ่งกว่าจักรวาลที่ว่างเปล่า 226 00:24:03,160 --> 00:24:07,980 แต่แล้ว ก็แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องถามว่า "จุดจบสามารถนำไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่ได้ไหม?" 227 00:24:10,400 --> 00:24:17,420 ก็มีอยู่หลายไอเดีย ด้วยเหตุนั้น อะไรคือจุดจบของจักรวาล ในบางทีอาจจะสามารถทำให้เกิดจุดเริ่มต้นใหม่ขึ้นมาได้ 228 00:24:24,100 --> 00:24:30,240 การคาดเดานี้อาจจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะหลบหนีจากจักรวาลของเรา ก่อนที่เอนโทรปี จะลบทุกสิ่ง 229 00:24:32,540 --> 00:24:38,660 เราสามารถสร้าง การจำลองจักรวาล ด้วยพลังงานที่มากพอ และสร้างจักรวาลเหมือน ๆ กันกับเรา 230 00:24:43,420 --> 00:24:46,840 เราได้ศึกษากับตัวเลขคณิตศาสตร์ สูตรต่าง ๆ ตัวเลขนี้เหมือนจะบอกเราว่า 231 00:24:46,847 --> 00:24:53,187 ถ้าคุณมีเครื่องเร่งอนุภาคที่สามารถสร้างพลังงานมหาศาลได้จุด ๆ หนึ่ง 232 00:24:53,187 --> 00:24:57,187 บางทีคุณสามารถเปิดประตูไปสู่ "จักรวาลทารก" ได้ 233 00:25:02,919 --> 00:25:10,209 เผชิญหน้ากับความตายของทุกสิ่ง บางที สิ่งนี้เท่านั้นที่เราสามารถหนีออกไปได้ 234 00:25:11,922 --> 00:25:16,672 และนี่ก็ทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่น่าสนใจเช่นกัน จากการคาดเดาล้วน ๆ นั่นล่ะนะ 235 00:25:16,672 --> 00:25:20,972 บางทีจักรวาลไหนก็ตามที่มีสิ่งชีวิตทรงภูมิปัญญาอาศัยอยู่ 236 00:25:20,980 --> 00:25:25,960 ได้สร้างจักรวาลทารกขึ้นมา สร้างเรือช่วยชีวิต และขยายไปยังจักรวาลเด็ก ๆ พวกนี้ 237 00:25:25,960 --> 00:25:29,900 [การระเหยของหลุมดำหลุมสุดท้าย] 238 00:25:29,900 --> 00:25:34,680 ดังนั้นการวิวัฒนาการจึงเกิดขึ้นในหมู่ เอกภพอื่น ๆ ในพหุภพนั้น 239 00:25:34,680 --> 00:25:37,440 การเอาชีวิตรอดในที่ที่เหมาะสมจึงเกิดขึ้น 240 00:25:38,892 --> 00:25:44,012 ดังนั้นพวกจักรวาลที่ไม่มีสิ่งชีวิตทรงภูมิปัญญาก็คือจักรวาลที่ไม่สมบูรณ์ เป็นจักรวาลที่ไม่มีลูก 241 00:25:44,020 --> 00:25:47,962 แต่จักรวาลเหล่านั้นที่มีอุณหภูมิที่พอเหมาะ มีดาวเหมือนกับเรา ๆ 242 00:25:47,962 --> 00:25:52,760 อาจจะสร้างอาณาจักรที่สามารถเปิดจักรวาลทารกและพวกเขาอาจจะขยายตัวออกไป 243 00:26:00,040 --> 00:26:05,680 ถ้าไม่มีทางหนีจากจักรวาลแล้ว เอนโทรปีจะคืบคลานเข้ามาเรื่อย ๆ ทำลายหลุมดำมวลยิ่งยวดหลุมสุดท้าย 244 00:26:09,620 --> 00:26:16,940 หลังจากหลุมสุดท้ายได้ระเบิดและตายลง หลุมดำนี้จะส่องแสงออกไปยังจักรวาลเป็นครั้งสุดท้าย 245 00:27:24,400 --> 00:27:30,900 หลังจากเวลาที่ผ่านไปนานจนไม่รู้ว่านานขนาดไหน แม้แต่หลุมดำยังระเหยออกไปจนหมด 246 00:27:30,903 --> 00:27:36,251 สุดท้าย จักรวาลก็จะเหลือความว่างเปล่ากับทะเลที่เต็มไปด้วยโฟตอน 247 00:27:36,251 --> 00:27:43,291 ค่อย ๆ เข้าสู่อุณหภูมิเดียวกัน ไปกับการขยายตัวของจักรวาล ที่กำลังเย็นตัวลงไปสู่ศูนย์องศาสมบูรณ์ 248 00:27:57,380 --> 00:28:03,906 ครั้งสุดท้ายที่เหลืออยู่ของดาวดวงสุดท้าย ในที่สุดก็สลายตัวไปจนไม่เหลืออะไร 249 00:28:03,906 --> 00:28:07,150 และทุกสิ่งได้เข้าสู่อุณหภูมิเดียวกันแล้ว 250 00:28:07,150 --> 00:28:11,450 เรื่องราวของจักรวาล . . . ก็ได้มาถึงจุดจบเสียที . . . 251 00:28:12,380 --> 00:28:14,920 "เวลากลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย" 252 00:28:14,920 --> 00:28:21,400 เป็นครั้งแรกที่ชีวิตของจักรวาลนั้น จะคงอยู่ไปตลอดกาล และไม่เปลี่ยนไปอีกแล้ว 253 00:28:21,440 --> 00:28:27,920 ความไร้ระเบียบก็ได้สิ้นสุดลง เพราะจักรวาลไม่สามารถมีความไร้ระเบียบได้อีก 254 00:28:28,640 --> 00:28:30,440 ไม่มีอะไรเกิดขึ้น . . . 255 00:28:30,440 --> 00:28:33,050 และจะคงอยู่แบบนั้น . . . 256 00:28:33,050 --> 00:28:35,340 . . . ตลอดไป . . . 257 00:28:38,730 --> 00:28:44,200 สรรพสิ่งมีความน่าพิศวงของมัน แม้แต่ความมืดและความเงียบ และฉันเรียนรู้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ก็พึงพอใจในจุดนั้น 258 00:28:44,200 --> 00:28:45,590 เฮเลน เคลเลอร์ 259 00:28:47,693 --> 00:28:52,640 สร้างขึ้นโดย เมโลดี้ชีฟ 260 00:28:53,479 --> 00:28:56,069 สนับสนุนโดย โปรโตคอล แล็ป 261 00:29:17,821 --> 00:29:20,941 คำบรรยายโดย Lovkiy, Sharpnel Sharonel และอีกหลายคนบน Youtube ซึ่งไม่ได้เอ่ยชื่อ