1 00:00:00,000 --> 00:00:00,710 ... 2 00:00:00,710 --> 00:00:05,000 ผมบอกหลายครั้งแล้วว่า U ตัวใหญ่นั้นคือ 3 00:00:05,000 --> 00:00:07,754 พลังงานภายในของระบบ 4 00:00:07,754 --> 00:00:10,220 และมันคือพลังงานทุกอย่างที่ถูกโยนเข้าไปในระบบ 5 00:00:10,220 --> 00:00:12,490 ได้แก่ พลังงานจลน์ของโมเลกุล 6 00:00:12,490 --> 00:00:15,700 พลังงานศักย์ ในกรณีที่โมเลกุลสั่น 7 00:00:15,700 --> 00:00:19,660 พลังงานในพันธะเคมี 8 00:00:19,660 --> 00:00:22,060 พลังงานศักย์ของอิเลกตรอนที่พยายามจะเคลื่อนที่ 9 00:00:22,060 --> 00:00:22,590 ไปที่ใดที่หนึ่ง 10 00:00:22,590 --> 00:00:25,200 แต่เพื่อความสะดวก โดยเฉพาะพวกเราที่ 11 00:00:25,200 --> 00:00:29,130 กำลังศึกษาพื้นฐานของเคมี ฟิสิกส์ และ อุณหพลศาสตร์ 12 00:00:29,130 --> 00:00:32,229 เราจะอนุมานว่าเรากำลังพูดถึงระบบ 13 00:00:32,229 --> 00:00:33,570 ซึ่งประกอบด้วยแก๊สอุดมคติ 14 00:00:33,570 --> 00:00:38,500 และยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นแก๊สอุดมคติซึ่งมีอะตอมเดียว 15 00:00:38,500 --> 00:00:43,390 ดังนั้นทุกอย่างในระบบของเราเป็นเพียงอะตอมเดี่ยวๆ 16 00:00:43,390 --> 00:00:46,200 และในกรณีนี้ มีพลังงานเพียงอย่างเดียวในระบบ 17 00:00:46,200 --> 00:00:49,310 คือพลังงานจลน์ของอนุภาคเหล่านี้ 18 00:00:49,310 --> 00:00:51,080 และสิ่งที่ผมต้องการจะทำในวิดีโอนี้ มันจะ 19 00:00:51,080 --> 00:00:53,780 ค่อนข้างเป็นการคำนวณ แต่ผมคิดว่ามันจะตอบโจทย์สำหรับ 20 00:00:53,780 --> 00:00:57,880 พวกคุณที่สนใจในเรื่องนี้ คือการเชื่อมปริมาณของ 21 00:00:57,880 --> 00:01:01,010 พลังงานภายในระบบ กับความดัน 22 00:01:01,010 --> 00:01:02,850 ปริมาตร และอุณหภูมิของระบบ 23 00:01:02,850 --> 00:01:06,060 ดังนั้น เราต้องการที่จะหาความสัมพันธ์ระหว่างความดัน ปริมาตร หรือ อุณหภูมิ 24 00:01:06,060 --> 00:01:07,190 กับพลังงานภายใน 25 00:01:07,190 --> 00:01:10,730 สังเกตทุกๆวิดีโอที่ผ่านมา ผมได้บอกว่า 26 00:01:10,730 --> 00:01:12,420 การเปลี่ยนแปลงของพลังงานภายในคืออะไร 27 00:01:12,420 --> 00:01:15,810 และเราได้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างมันกับพลังงานความร้อนซึ่งถูกเติมหรือดึง 28 00:01:15,810 --> 00:01:18,600 ออกจากระบบ หรืองานที่กระทำต่อระบบ 29 00:01:18,600 --> 00:01:19,760 หรือถูกกระทำโดยระบบ 30 00:01:19,760 --> 00:01:22,490 แต่ตอนนี้ ก่อนที่เราจะสนใจเรื่องงานหรือความร้อน 31 00:01:22,490 --> 00:01:24,445 เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามีพลังงานภายในเท่าไหร่ 32 00:01:24,445 --> 00:01:25,680 ภายในระบบ 33 00:01:25,680 --> 00:01:28,770 เพื่อตอบคำถาม เรามาทดลองทางความคิดกันดีกว่า 34 00:01:28,770 --> 00:01:29,800 เพื่อตอบคำถาม เรามาทดลองทางความคิดกันดีกว่า 35 00:01:29,800 --> 00:01:33,740 ผมจะทำให้กรณีนี้ซับซ้อนน้อยลงสักหน่อย 36 00:01:33,740 --> 00:01:38,130 แต่ผมคิดว่ามันจะใช้ได้และมีเหตุผลเพียงพอสำหรับคุณ 37 00:01:38,130 --> 00:01:42,210 สมมติว่า เดี๋ยวผมวาดดีกว่า เรามีลูกบาศก์ลูกหนึ่ง 38 00:01:42,210 --> 00:01:44,810 และบางอย่างบอกผมว่าผมอาจเคยทำ 39 00:01:44,810 --> 00:01:47,230 การพิสูจน์แบบกึ่งๆนี้ไปแล้วไปเพลย์ลิสต์ของวิชาฟิสิกส์ 40 00:01:47,230 --> 00:01:50,090 แต่ผมไม่ได้เชื่อมสิ่งนี้เข้ากับพลังงานภายใน 41 00:01:50,090 --> 00:01:51,930 ดังนั้นผมจะทำมันที่นี่ 42 00:01:51,930 --> 00:01:56,160 สมมติว่าระบบของผมคือลูกบาศก์นี้ 43 00:01:56,160 --> 00:01:58,180 และสมมติว่าขนาดของลูกบาศก์ 44 00:01:58,180 --> 00:02:00,110 คือ x ในทุกๆทิศทาง 45 00:02:00,110 --> 00:02:04,010 ดังนั้น มันสูง x, กว้าง x, และลึก x 46 00:02:04,010 --> 00:02:07,510 และปริมาตรของมันคือ x ยกกำลังสาม 47 00:02:07,510 --> 00:02:09,389 และสมมติว่ามีอนุภาค N อนุภาค 48 00:02:09,389 --> 00:02:12,600 ในระบบของผม N ตัวใหญ่ 49 00:02:12,600 --> 00:02:15,480 ผมอาจเขียนว่า n โมลก็ได้ แต่เราจะ 50 00:02:15,480 --> 00:02:16,260 ทำให้มันค่อนข้างตรงไปตรงมา 51 00:02:16,260 --> 00:02:17,500 ผมมีอนุภาค N อนุภาค 52 00:02:17,510 --> 00:02:20,260 ... 53 00:02:20,260 --> 00:02:23,810 มันก็ทำตัว อย่างที่มันต้องการ 54 00:02:23,810 --> 00:02:26,030 ตอนนี้ ผมจะสมมติครั้งใหญ่ 55 00:02:26,030 --> 00:02:27,100 เพื่อให้ทุกอย่างง่ายขึ้น 56 00:02:27,100 --> 00:02:28,610 แต่ผมคิดว่ามันสมเหตุสมผล 57 00:02:28,610 --> 00:02:31,210 ในระบบปกติ ทุกอนุภาค และเราเคยทำสิ่งนี้แล้ว 58 00:02:31,210 --> 00:02:34,410 จะกระดอนในทุกทิศทุกทาง 59 00:02:34,410 --> 00:02:36,330 จะกระดอนในทุกทิศทุกทาง 60 00:02:36,330 --> 00:02:38,950 และสิ่งที่ทำให้เกิดแรงดัน คือ 61 00:02:38,950 --> 00:02:41,420 เมื่อมันกระดอนกระทบด้านต่างๆของลูกบาศก์ 62 00:02:41,420 --> 00:02:43,750 และเมื่อมันชนกันเอง 63 00:02:43,750 --> 00:02:45,360 ในทุกทิศทาง 64 00:02:45,360 --> 00:02:48,170 เพื่อให้การคำนวณไม่ซับซ้อน 65 00:02:48,170 --> 00:02:51,000 และเพื่อให้ไม่ใช้เวลามากจนเกินไป 66 00:02:51,000 --> 00:02:53,120 ผมจะสร้างสมมติฐานอย่างหนึ่ง 67 00:02:53,120 --> 00:02:55,340 ผมจะสมมติว่า หนึ่งในสามของ 68 00:02:55,340 --> 00:03:00,210 อนุภาคทั้งหมดเคลื่อนที่ 69 00:03:00,210 --> 00:03:01,730 ขนานกับแกนแต่ละอัน 70 00:03:01,730 --> 00:03:07,660 ดังนั้น หนึ่งในสามของอนุภาคทั้งหมดเคลื่อนที่ในทิศทางนี้ 71 00:03:07,660 --> 00:03:09,710 ผมจะพูดว่า ทางซ้าย-ขวา 72 00:03:09,710 --> 00:03:13,440 อีกหนึ่งในสามเคลื่อนที่ขึ้น-ลง 73 00:03:13,440 --> 00:03:17,300 ... 74 00:03:17,300 --> 00:03:21,970 และหนึ่งในสามที่เหลือเคลื่อนที่หน้า-หลัง 75 00:03:21,970 --> 00:03:24,520 เรารู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจริง 76 00:03:24,520 --> 00:03:26,350 แต่มันทำให้การคำนวณง่ายขึ้น 77 00:03:26,350 --> 00:03:29,640 และถึงแม้คุณใช้กลศาสตร์เชิงสถิติ 78 00:03:29,640 --> 00:03:32,370 กับทุกๆอนุภาคที่เคลื่อนที่ในทุกทิศทาง 79 00:03:32,370 --> 00:03:34,350 คุณก็จะได้ผลที่เหมือนกัน 80 00:03:34,350 --> 00:03:35,820 แม้จะเป็นเช่นนั้น ผมยังต้องบอกว่านี่เป็น 81 00:03:35,820 --> 00:03:36,590 การลดทอนความซับซ้อนเป็นอย่างมาก 82 00:03:36,590 --> 00:03:39,840 มีโอกาสน้อยนิดมากที่จะมี 83 00:03:39,840 --> 00:03:43,120 ระบบที่เป็นเช่นนี้จริงๆ 84 00:03:43,120 --> 00:03:44,860 หลังจากนี้ เราจะพูดถึงเอนโทรปีและเหตุผล 85 00:03:44,860 --> 00:03:46,400 ว่าทำไมมันถึงมีความเป็นไปได้น้อยมาก 86 00:03:46,400 --> 00:03:48,200 แต่นี่จะเป็นระบบที่เราจะศึกษา 87 00:03:48,200 --> 00:03:49,720 และระบบนี้จะก่อให้เกิดความดัน 88 00:03:49,720 --> 00:03:51,420 และมันทำให้การคำนวณของเราเข้าใจง่ายขึ้น 89 00:03:51,420 --> 00:03:53,770 พูดไปทั้งหมดแล้ว เราเริ่มศึกษาระบบนี้เลยดีกว่า 90 00:03:53,770 --> 00:03:57,070 เริ่มด้วยการมองจากด้านข้าง 91 00:03:57,070 --> 00:03:59,010 ด้านข้าง ตรงนี้ 92 00:03:59,010 --> 00:04:01,770 ... 93 00:04:01,770 --> 00:04:03,800 และเราจะสนใจเพียงอนุภาคเดียว 94 00:04:03,800 --> 00:04:05,280 ผมว่าผมน่าจะใช้สีเขียว 95 00:04:05,280 --> 00:04:07,670 เอาเป็นว่าผมมีอนุภาคหนึ่งอนุภาค 96 00:04:07,670 --> 00:04:12,660 มันมีมวล m และความเร็ว v 97 00:04:12,660 --> 00:04:17,500 ... 98 00:04:17,500 --> 00:04:21,890 และนี่คือหนึ่งใน N อนุภาคในระบบของเรา 99 00:04:21,890 --> 00:04:25,190 แต่ที่เราสนใจคือ อนุภาคนี้ 100 00:04:25,190 --> 00:04:28,010 สร้างความดันบนผนังด้านนี้เท่าไหร่ 101 00:04:28,010 --> 00:04:30,530 ... 102 00:04:30,530 --> 00:04:34,180 เรารู้พื้นที่ของผนังด้านนี้ใช่มั้ย 103 00:04:34,180 --> 00:04:37,260 ผนังนี้มีพึ้นที่ x คูณ x 104 00:04:37,260 --> 00:04:40,740 คือพิ้นที่เท่ากับ x กำลังสอง 105 00:04:40,740 --> 00:04:43,910 อนุภาคนี้กระทำแรงขนาดเท่าไหร่ 106 00:04:43,910 --> 00:04:44,880 คิดอย่างนี้ดีกว่า 107 00:04:44,880 --> 00:04:47,960 มันเคลื่อนที่ไปด้านหน้า หรือซ้าย-ขวาอย่างนี้ 108 00:04:47,960 --> 00:04:51,240 และแรงจะเกิดเมื่อมันเปลี่ยนโมเมนตัม 109 00:04:51,240 --> 00:04:53,420 ผมจะทบทวนเรื่องจลนศาสตร์เล็กน้อย 110 00:04:53,420 --> 00:04:59,800 เรารู้ว่าแรงเท่ากับมวลคูณความเร่ง 111 00:04:59,800 --> 00:05:02,700 เรารู้ว่าความเร่งสามารถเขียนได้ในรูปของ 112 00:05:02,700 --> 00:05:10,630 การเปลี่ยนแปลงของความเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงของเวลา 113 00:05:10,630 --> 00:05:12,940 และ แน่นอน เรารู้ว่ามันสามารถเขียนได้อีกแบบหนึ่ง 114 00:05:12,940 --> 00:05:15,800 มวลเป็นค่าคงที่และไม่เปลี่ยนแปลง 115 00:05:15,800 --> 00:05:18,500 สำหรับฟิสิกส์ระดับที่เรากำลังศึกษา ดังนั้น มันคือ เดลต้า 116 00:05:18,500 --> 00:05:20,140 เราสามารถใส่มันในการเปลี่ยนแปลง 117 00:05:20,140 --> 00:05:23,820 ดังนั้น มันจึงเป็น เดลต้า mv หารด้วยการเปลี่ยนแปลงของเวลา 118 00:05:23,820 --> 00:05:26,730 และนี่ก็คือการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัม ใช่มั้ย 119 00:05:26,730 --> 00:05:30,890 ดังนั้นนี่คือการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมหารด้วยการเปลี่ยนแปลงของเวลา 120 00:05:30,890 --> 00:05:33,030 และนี่เป็นอีกวิธีการเขียนแรง 121 00:05:33,030 --> 00:05:34,560 แล้วอะไรคือการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัม 122 00:05:34,560 --> 00:05:35,980 ของอนุภาคนี้ 123 00:05:35,980 --> 00:05:37,800 มันจะชนกำแพงนี้ 124 00:05:37,800 --> 00:05:41,180 ในทิศทางนี้ และตอนนี้ มันมีโมเมนตัม 125 00:05:41,180 --> 00:05:43,250 โมเมนตัมของมันมีค่าเท่ากับ mv 126 00:05:43,250 --> 00:05:45,420 และมันจะชนกำแพง แล้วก็ 127 00:05:45,420 --> 00:05:47,130 สะท้อนตรงกลับมา 128 00:05:47,130 --> 00:05:49,530 แล้วโมเมนตัมของมันจะเป็นเท่าไหร่ 129 00:05:49,530 --> 00:05:50,990 มันมีมวลเท่าเดิม 130 00:05:50,990 --> 00:05:52,220 และความเร็วเท่าเดิม 131 00:05:52,220 --> 00:05:54,190 เราจะอนุมานว่ามันเป็นการชนที่ยืดหยุ่นอย่างสมบูรณ์ 132 00:05:54,190 --> 00:05:56,270 ไม่มีพลังงานสูญเสียไปเป็นความร้อนหรืออย่างอื่น 133 00:05:56,270 --> 00:05:57,980 แต่ความเร็วมีทิศตรงกันข้าม 134 00:05:57,980 --> 00:06:01,640 ดังนั้น โมเมนตัมใหม่จะเป็น ลบ mv 135 00:06:01,640 --> 00:06:04,380 เพราะความเร็วเปลี่ยนทิศทาง 136 00:06:04,380 --> 00:06:08,590 ถ้าผมเดินทางมาด้วยโมเมนตัมเท่ากับ mv และผมกระดอนกลับ 137 00:06:08,590 --> 00:06:10,950 ด้วยโมเมนตัมเท่ากับ ลบ mv 138 00:06:10,950 --> 00:06:12,890 การเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมของผมเท่ากับเท่าไหร่ 139 00:06:12,890 --> 00:06:17,720 การเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมของผม หลังจากการกระดอน มีค่าเท่ากับ 140 00:06:17,720 --> 00:06:19,220 ความต่างระหว่างค่าสองค่านี้ 141 00:06:19,220 --> 00:06:20,470 เท่ากับ 2mv 142 00:06:20,470 --> 00:06:22,830 ... 143 00:06:22,830 --> 00:06:24,230 แต่นั่นไม่ได้ตอบคำถามเรื่องแรง 144 00:06:24,230 --> 00:06:26,860 เราต้องการรู้อัตราความเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมต่อหน่วยเวลา 145 00:06:26,860 --> 00:06:32,390 ... 146 00:06:32,390 --> 00:06:33,840 แล้วมันเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน 147 00:06:33,840 --> 00:06:35,410 ความถี่เป็นเท่าไหร่ 148 00:06:35,410 --> 00:06:39,040 มันจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เรามาที่จุดนี้ 149 00:06:39,040 --> 00:06:40,020 เราจะชนกำแพงนี้ 150 00:06:40,020 --> 00:06:41,670 แล้วอนุภาคก็จะต้องเดินทางมาตรงนี้ กระดอน 151 00:06:41,670 --> 00:06:43,080 กลับจากกำแพงนั้น และกลับมา 152 00:06:43,080 --> 00:06:45,370 ตรงนี้อีกครั้ง และชนอีกครั้ง 153 00:06:45,370 --> 00:06:47,600 และนั่นคือความถี่ที่มันจะเกิดขึ้น 154 00:06:47,600 --> 00:06:51,280 แล้วเราต้องรอนานแค่ไหนระหว่าง 155 00:06:51,280 --> 00:06:52,450 การชนแต่ละครั้ง 156 00:06:52,450 --> 00:06:55,040 อนุภาคต้องเดินทางกลับเป็นระยะทาง x 157 00:06:55,040 --> 00:06:56,300 แล้วมันจึงจะชน 158 00:06:56,300 --> 00:06:58,790 มันจะต้องเดินทางเป็นระยะทาง x ไปทางซ้าย 159 00:06:58,790 --> 00:07:00,090 ระยะทางนี้คือ x 160 00:07:00,090 --> 00:07:02,890 ผมจะเขียนโดยใช้สีอื่น 161 00:07:02,890 --> 00:07:04,720 ระยะทางตรงนี้คือ x 162 00:07:04,720 --> 00:07:07,310 มันจะต้องเดินทางเป็นระยะ x เพื่อเดินทางย้อนกลับ 163 00:07:07,310 --> 00:07:08,800 แล้วมันจะต้องเดินทางย้อนอีกเป็นระยะ x 164 00:07:08,800 --> 00:07:11,740 ดังนั้นมันจะต้องเดินทางทั้งหมดเป็นระยะทาง 2x 165 00:07:11,740 --> 00:07:15,060 แล้วมันจะใช้เวลาเท่าไหร่ในการเดินทางระยะ 2x 166 00:07:15,060 --> 00:07:19,100 เวลา หรือเดลต้า T มีค่าเท่ากับ... เรารู้ว่าจะหายังไง 167 00:07:19,100 --> 00:07:22,710 ระยะทางเท่ากับอัตราคูณเวลา 168 00:07:22,710 --> 00:07:29,390 ถ้าเราหารระยะทางด้วยอัตรา เราจะได้ 169 00:07:29,390 --> 00:07:30,630 เวลาที่เราใช้ 170 00:07:30,630 --> 00:07:33,900 นี่เป็นแค่สูตรการเคลื่อนที่พื้นฐาน 171 00:07:33,900 --> 00:07:35,500 เดลต้า T ของเรา ระยะทางที่เราต้อง 172 00:07:35,500 --> 00:07:36,830 เดินทางคือ ไปและกลับ 173 00:07:36,830 --> 00:07:41,040 ดังนั้นมันคือ 2x หารด้วย... อัตราของเราคืออะไรนะ 174 00:07:41,040 --> 00:07:42,720 อัตราของเราคือความเร็ว 175 00:07:42,720 --> 00:07:43,970 จึงหารด้วย v 176 00:07:43,970 --> 00:07:47,810 ... 177 00:07:47,810 --> 00:07:48,260 เสร็จแล้ว 178 00:07:48,260 --> 00:07:51,440 และนี่คือเดลต้า T 179 00:07:51,440 --> 00:08:03,680 และการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมต่อเวลาเท่ากับ 180 00:08:03,680 --> 00:08:04,620 สองเท่าของโมเมนตัมตกกระทบ 181 00:08:04,620 --> 00:08:07,500 เนื่องจากเรากระดอนกลับด้วยขนาดเท่าเดิม 182 00:08:07,500 --> 00:08:08,430 แต่เป็นโมเมนตัมค่าติดลบ 183 00:08:08,430 --> 00:08:09,475 นั่นคือการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมของเรา 184 00:08:09,475 --> 00:08:12,890 แล้วการเปลี่ยนแปลงของเวลาคือค่าตรงนี้ 185 00:08:12,890 --> 00:08:15,380 มันคือระยะทางทั้งหมดที่เราต้องเดินทางระหว่าง 186 00:08:15,380 --> 00:08:18,800 การชนกับกำแพงนี้ หารด้วยความเร็วของเรา 187 00:08:18,800 --> 00:08:27,920 ดังนั้นมันคือ 2x หารด้วย v ซึ่งเท่ากับ 2mv คูณกับ 188 00:08:27,920 --> 00:08:30,780 ส่วนกลับของค่านี้ 189 00:08:30,780 --> 00:08:32,755 คือ v หารด้วย 2x 190 00:08:32,755 --> 00:08:34,010 และมันเท่ากับเท่าไหร่ 191 00:08:34,010 --> 00:08:35,710 สองตัดกัน 192 00:08:35,710 --> 00:08:41,710 มันจึงเท่ากับ mv ยกกำลังสอง หารด้วย x 193 00:08:41,710 --> 00:08:42,260 น่าสนใจ 194 00:08:42,260 --> 00:08:45,250 เรามาถึงจุดที่น่าสนใจแล้ว 195 00:08:45,250 --> 00:08:47,590 แต่ถ้ามันดูไม่ค่อยน่าสนใจ 196 00:08:47,590 --> 00:08:48,260 ทนกับผมต่ออีกสักนิด 197 00:08:48,260 --> 00:08:52,520 และนี่คือแรงที่กระทำโดยอนุภาคหนึ่งอนุภาค อันนี้ 198 00:08:52,520 --> 00:08:56,730 แรงจากหนึ่งอนุภาคบนกำแพงนี้ 199 00:08:56,730 --> 00:09:02,330 ... 200 00:09:02,330 --> 00:09:03,840 แล้วพื้นที่คืออะไร 201 00:09:03,840 --> 00:09:05,090 เราสนใจความดัน 202 00:09:05,090 --> 00:09:12,200 ... 203 00:09:12,200 --> 00:09:14,610 เราเขียนไว้ตรงนี้ 204 00:09:14,610 --> 00:09:16,890 ความดันเท่ากับแรงต่อพื้นที่ 205 00:09:16,890 --> 00:09:21,360 ... 206 00:09:21,360 --> 00:09:24,160 และนี่คือแรงของอนุภาคนั้น 207 00:09:24,160 --> 00:09:28,570 และมันคือ mv กำลังสอง หารด้วย x หารด้วย 208 00:09:28,570 --> 00:09:29,840 พื้นที่ของกำแพง 209 00:09:29,840 --> 00:09:31,730 แล้วพื้นที่กำแพงเป็นเท่าไหร่ 210 00:09:31,730 --> 00:09:35,200 พื้นที่ของกำแพงตรงนี้ แต่ละด้านเท่ากับ x 211 00:09:35,200 --> 00:09:37,610 แล้วถ้าเราวาดกำแพงตรงนั้น มันคือ x คูณ x 212 00:09:37,610 --> 00:09:39,360 มันคือ x กำลังสอง 213 00:09:39,360 --> 00:09:43,390 แล้วหารด้วยพื้นที่ของกำแพง คือ x กำลังสอง 214 00:09:43,390 --> 00:09:44,250 มันเท่ากับเท่าไหร่ 215 00:09:44,250 --> 00:09:52,370 มันเท่ากับ mv กำลังสอง หารด้วย x กำลังสาม 216 00:09:52,370 --> 00:09:54,790 คุณพูดได้ว่า มันคือการคูณด้วย หนึ่งส่วน x กำลังสอง 217 00:09:54,790 --> 00:09:55,760 ส่วนนี้จึงเป็น x กำลังสาม 218 00:09:55,760 --> 00:09:57,530 มันก็แค่การคิดเลขเศษส่วน 219 00:09:57,530 --> 00:09:59,120 ตอนนี้เราพบสิ่งที่น่าสนใจแล้ว 220 00:09:59,120 --> 00:10:07,160 ความดันที่เกิดจากอนุภาคนี้ เราจะเรียกว่า 221 00:10:07,160 --> 00:10:14,220 จากอนุภาคอันนี้ มีค่าเท่ากับ mv 222 00:10:14,220 --> 00:10:16,750 ยกกำลังสอง หารด้วย x กำลังสาม 223 00:10:16,750 --> 00:10:18,650 แล้ว x กำลังสามคืออะไร 224 00:10:18,650 --> 00:10:20,960 มันคือปริมาตรของภาชนะของเรา 225 00:10:20,960 --> 00:10:22,210 หารด้วยปริมาตร 226 00:10:22,210 --> 00:10:27,120 ผมจะเขียนแทนด้วยตัว V ใหญ่ 227 00:10:27,120 --> 00:10:29,130 ลองมาดูว่าเราสามารถเชื่อมสิ่งนี้กับสิ่งอื่น 228 00:10:29,130 --> 00:10:29,630 ที่น่าสนใจได้หรือไม่ 229 00:10:29,630 --> 00:10:32,820 มันแปลว่าความดันที่เกิดจาก 230 00:10:32,820 --> 00:10:36,220 อนุภาคนี้ ที่จริง ให้ผมเลื่อนไปอีกขั้นหนึ่ง 231 00:10:36,220 --> 00:10:39,280 นี่คือหนึ่งอนุภาคบนกำแพงนี้ใช่มั้ย 232 00:10:39,280 --> 00:10:40,900 นี่มาจากหนึ่งอนุภาคบนกำแพงนี้ 233 00:10:40,900 --> 00:10:45,890 ทีนี้ จากอนุภาคทั้งหมด เรามี N อนุภาคในลูกบาศก์ 234 00:10:45,890 --> 00:10:47,860 เป็นเศษส่วนเท่าไหร่ที่จะ 235 00:10:47,860 --> 00:10:49,170 กระดอนจากกำแพงนี้ 236 00:10:49,170 --> 00:10:50,730 คือที่จะทำอย่างเดียวกัน 237 00:10:50,730 --> 00:10:52,950 กับอนุภาคนี้ 238 00:10:52,950 --> 00:10:53,820 ผมเพิ่งพูดไป 239 00:10:53,820 --> 00:10:55,380 หนึ่งในสามจะเคลื่อนที่ในทิศทางนี้ 240 00:10:55,380 --> 00:10:56,820 หนึ่งในสามจะเคลื่อนที่ขึ้น-ลง 241 00:10:56,820 --> 00:10:58,930 และอีกหนึ่งในสามจะเคลื่อนที่เข้า-ออก 242 00:10:58,930 --> 00:11:02,420 และถ้าเรามีทั้งหมด N อนุภาค N/3 จะ 243 00:11:02,420 --> 00:11:06,195 ทำอย่างเดียวกันกับที่อนุภาคนี้ทำ 244 00:11:06,195 --> 00:11:08,740 ... 245 00:11:08,740 --> 00:11:10,350 นี่คือความดันจากหนึ่งอนุภาค 246 00:11:10,350 --> 00:11:12,850 ถ้าผมต้องการความดันจากอนุภาคทั้งหมดบน 247 00:11:12,850 --> 00:11:15,960 กำแพงนั้น ความดันรวมบนกำแพงนั้นจะมาจาก 248 00:11:15,960 --> 00:11:18,000 อนุภาคจำนวน N/3 อนุภาค 249 00:11:18,000 --> 00:11:19,990 อนุภาคที่เหลือไม่ได้กระดอนจากกำแพงนั้น 250 00:11:19,990 --> 00:11:21,700 เราจึงไม่ต้องกังวลกับมัน 251 00:11:21,700 --> 00:11:26,620 ดังนั้น ถ้าเราต้องการความดันรวมบนกำแพงนั้น 252 00:11:26,620 --> 00:11:29,150 ผมจะเขียนว่า ความดัน ห้อยด้วย บนกำแพง 253 00:11:29,150 --> 00:11:31,060 ความดันรวมบนกำแพงจะเป็นความดันจาก 254 00:11:31,060 --> 00:11:37,400 หนึ่งอนุภาค คือ mv กำลังสอง หารด้วยปริมาตร คูณกับ 255 00:11:37,400 --> 00:11:40,950 จำนวนอนุภาคทั้งหมดที่ชนกำแพงนี้ 256 00:11:40,950 --> 00:11:44,750 จำนวนอนุภาคทั้งหมดนั้นคือ N/3 257 00:11:44,750 --> 00:11:47,270 เพราะเพียงค่า 1/3 จะเคลื่อนที่ในทิศทางนั้น 258 00:11:47,270 --> 00:11:50,800 และความดันรวมบนกำแพงนั้นเท่ากับ mv กำลังสอง 259 00:11:50,800 --> 00:11:52,790 หารด้วยปริมาตรของภาชนะของเรา คูณกับ 260 00:11:52,790 --> 00:11:54,115 จำนวนอนุภาคทั้งหมด หาร 3 261 00:11:54,115 --> 00:11:57,610 มาดูกันว่าเราจะเปลี่ยนรูปสิ่งนี้ได้สักนิดหรือเปล่า 262 00:11:57,610 --> 00:12:02,420 ถ้าเราคูณทั้งสองด้านด้วย มาดูกันว่าเราทำอะไรได้บ้าง 263 00:12:02,420 --> 00:12:14,390 ถ้าเราคูณทั้งสองด้านด้วย 3v เราได้ pv คูณสาม เท่ากับ 264 00:12:14,390 --> 00:12:21,730 mv กำลังสอง คูณ N ซึ่ง N คือจำนวนอนุภาค 265 00:12:21,730 --> 00:12:24,580 ลองหารทั้งสองด้านด้วย N 266 00:12:24,580 --> 00:12:34,270 เราจะได้ 3pv อันที่จริง ทิ้ง N ไว้ตรงนี้ดีกว่า 267 00:12:34,270 --> 00:12:41,240 หารทั้งสองด้านของสมการนี้ด้วย 2 268 00:12:41,240 --> 00:12:43,520 แล้วเราได้... เราได้อะไร 269 00:12:43,520 --> 00:12:49,320 เราได้ 3/2 pv เท่ากับ... นี่คือส่วนที่น่าสนใจ 270 00:12:49,320 --> 00:12:54,780 มันเท่ากับ N จำนวนของอนุภาคที่เรามี คูณ mv 271 00:12:54,780 --> 00:12:57,920 กำลังสอง หาร 2 272 00:12:57,920 --> 00:12:59,610 จำไว้ ผมเพิ่งหารสมการนี้ ตรงนี้ 273 00:12:59,610 --> 00:13:00,650 ด้วย 2 แล้วได้สิ่งนี้ 274 00:13:00,650 --> 00:13:02,280 แล้วผมก็ทำมันด้วยเหตุผลจำเพาะ 275 00:13:02,280 --> 00:13:05,260 mv กำลังสอง หาร 2 คืออะไร 276 00:13:05,260 --> 00:13:09,910 mv กำลังสอง หาร 2 คือพลังงานจลน์ของ 277 00:13:09,910 --> 00:13:11,140 อนุภาคเล็กๆนั้น ที่เราสนใจมาตั้งแต่แรก 278 00:13:11,140 --> 00:13:12,900 นั่นคือสูตรสำหรับพลังงานจลน์ 279 00:13:12,900 --> 00:13:20,070 พลังงานจลน์เท่ากับ mv กำลังสอง หาร 2 280 00:13:20,070 --> 00:13:21,950 นี่คือพลังงานจลน์ของอนุภาคหนึ่งอนุภาค 281 00:13:21,950 --> 00:13:28,570 ... 282 00:13:28,570 --> 00:13:30,890 ตอนนี้ เราจะคูณมันด้วยจำนวน 283 00:13:30,890 --> 00:13:33,280 อนุภาคที่เรามี คือคูณ N 284 00:13:33,280 --> 00:13:35,890 N คูณพลังงานจลน์ของหนึ่งอนุภาคจะเป็น 285 00:13:35,890 --> 00:13:37,490 พลังงานจลน์ของอนุภาคทั้งหมด 286 00:13:37,490 --> 00:13:39,430 และ แน่นอน เราสร้างสมมติฐานไว้อีกอย่างหนึ่ง 287 00:13:39,430 --> 00:13:41,160 ผมควรบอกว่าผมอนุมานว่าอนุภาคทั้งหมด 288 00:13:41,160 --> 00:13:43,510 เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเดียวกัน และมีมวลเท่ากัน 289 00:13:43,510 --> 00:13:45,880 ในสถานการณ์จริง อนุภาคต่างๆอาจมี 290 00:13:45,880 --> 00:13:47,060 ความเร็วที่ต่างกันมาก 291 00:13:47,060 --> 00:13:48,980 แต่มันเป็นหนึ่งในสมมติฐานที่เราสร้างเพื่อลดความซับซ้อน 292 00:13:48,980 --> 00:13:50,850 ฉะนั้น เราเพิ่งอนุมานว่ามันมีค่าเหล่านั้น 293 00:13:50,850 --> 00:13:53,890 ถ้าผมคูณ N กับอันนี้ 294 00:13:53,890 --> 00:13:56,285 นี่คือพลังงานจลน์ของระบบ 295 00:13:56,285 --> 00:14:01,700 ... 296 00:14:01,700 --> 00:14:03,140 เกือบเสร็จแล้ว 297 00:14:03,140 --> 00:14:04,480 ที่จริง เราทำเสร็จแล้ว 298 00:14:04,480 --> 00:14:08,610 เราเพิ่งพบว่าพลังงานจลน์ของระบบ 299 00:14:08,610 --> 00:14:12,730 เท่ากับ 3/2 คุณความดัน คูณปริมาตร 300 00:14:12,730 --> 00:14:13,650 ของระบบ 301 00:14:13,650 --> 00:14:16,270 ทีนี้ อะไรคือพลังงานจลน์ของระบบ 302 00:14:16,270 --> 00:14:17,320 มันคือพลังงานภายใน 303 00:14:17,320 --> 00:14:19,290 เนื่องจากเราพูดว่าพลังงานทั้งหมดในระบบ เนื่องจากมันคือ 304 00:14:19,290 --> 00:14:22,900 แก๊สอุดมคติซึ่งมีอะตอมเดี่ยว พลังงานทั้งหมดใน 305 00:14:22,900 --> 00:14:25,770 ระบบคือพลังงานจลน์ 306 00:14:25,770 --> 00:14:30,980 เราเลยพูดได้ว่าพลังงานภายในของระบบเท่ากับ 307 00:14:30,980 --> 00:14:33,370 นั่นก็คือพลังงานจลน์ทั้งหมดของระบบ 308 00:14:33,370 --> 00:14:38,020 มันเท่ากับ 3/2 เท่าของความดันรวม คูณกับ 309 00:14:38,020 --> 00:14:38,620 ความดันรวม 310 00:14:38,620 --> 00:14:41,070 คุณอาจบอกว่า เฮ่ แซล คุณเพิ่งหา 311 00:14:41,070 --> 00:14:42,130 ความดันบนด้านนี้ 312 00:14:42,130 --> 00:14:43,960 แล้วความดันบนด้านนั้น และด้านนั้น 313 00:14:43,960 --> 00:14:45,730 และด้านนั้น หรือ บนทุกๆด้านของลูกบาศก์หละ 314 00:14:45,730 --> 00:14:46,850 ความดันบนทุกๆด้านของ 315 00:14:46,850 --> 00:14:48,250 ลูกบาศก์มีค่าเท่ากัน 316 00:14:48,250 --> 00:14:50,530 ดังนั้น สิ่งเดียวที่เราต้องทำคือหาในรูปของความดันบน 317 00:14:50,530 --> 00:14:52,420 ด้านด้านหนึ่ง และนั่นก็คือความดันของ 318 00:14:52,420 --> 00:14:54,480 ระบบ 319 00:14:54,480 --> 00:14:55,590 แล้วเราจะทำอะไรกับมันได้อีก 320 00:14:55,590 --> 00:15:00,700 เรารู้ว่า pv เท่ากับ nRT จากกฎของแก๊ส 321 00:15:00,700 --> 00:15:06,475 pv เท่ากับ nRT เมื่อนี่คือจำนวนโมลของแก๊ส 322 00:15:06,475 --> 00:15:08,410 และนี่คือค่าคงที่ของแก๊ส 323 00:15:08,410 --> 00:15:10,240 นี่คืออุณหภูมิในหน่วยเคลวิน 324 00:15:10,240 --> 00:15:12,880 ถ้าเราแทนค่าเข้าไป เราจะพูดได้ว่า 325 00:15:12,880 --> 00:15:17,140 พลังงานภายในสามารถเขียนได้เป็น 3/2 เท่า 326 00:15:17,140 --> 00:15:20,500 ของจำนวนโมลที่เรามี คูณค่าคงที่ของแก๊ส คูณ 327 00:15:20,500 --> 00:15:22,290 กับอุณหภูมิ 328 00:15:22,290 --> 00:15:24,560 ผมเขียนอธิบายมาเยอะ แล้วมันค่อนข้างจะเป็นการคำนวณ 329 00:15:24,560 --> 00:15:27,780 แต่ผลเหล่านี้น่าสนใจ 330 00:15:27,780 --> 00:15:30,140 เพราะตอนนี้ คุณได้พบความสัมพันธ์โดยตรง 331 00:15:30,140 --> 00:15:32,860 ถ้าคุณรู้ความดันและปริมาตร คุณก็รู้ 332 00:15:32,860 --> 00:15:37,530 ค่าจริงของพลังงานภายใน หรือพลังงานจลน์ทั้งหมด 333 00:15:37,530 --> 00:15:38,660 ของระบบ 334 00:15:38,660 --> 00:15:41,350 หรือถ้าคุณรู้อุณหภูมิและจำนวน 335 00:15:41,350 --> 00:15:44,320 โมเลกุลที่คุณมี คุณก็รู้พลังงานภายใน 336 00:15:44,320 --> 00:15:45,630 ของระบบ 337 00:15:45,630 --> 00:15:48,520 มีความรู้สองอย่างที่ผมอยากให้คุณได้ไป 338 00:15:48,520 --> 00:15:52,070 ถ้าอุณหภูมิไม่เปลี่ยนในสถานการณ์อุดมคติของเรา 339 00:15:52,070 --> 00:15:56,930 ถ้า เดลต้า T เท่ากับ 0 ถ้ามันไม่เปลี่ยน 340 00:15:56,930 --> 00:15:58,680 จำนวนของอนุภาคก็จะไม่เปลี่ยน 341 00:15:58,680 --> 00:16:04,750 แล้วพลังงานภายในก็จะไม่เปลี่ยนเช่นเดียวกัน 342 00:16:04,750 --> 00:16:07,030 ดังนั้น ถ้าเราพูดว่ามีการเปลี่ยนแปลงของพลังงานภายใน 343 00:16:07,030 --> 00:16:10,790 และผมจะใช้มันในการพิสูจน์ในอนาคต เราพูดได้ว่า 344 00:16:10,790 --> 00:16:16,360 มันเท่ากับ 3/2 คูณ nR คูณ... สิ่งเดียว 345 00:16:16,360 --> 00:16:18,850 ที่เปลี่ยนได้ ไม่ใช่จำนวนโมเลกุลหรือ 346 00:16:18,850 --> 00:16:21,350 ค่าคงที่ของแก๊ส... คูณการเปลี่ยนแปลงของ T 347 00:16:21,350 --> 00:16:27,000 มันเขียนได้อีกแบบในรูป 3/2 คูณการเปลี่ยนแปลงของ pv 348 00:16:27,000 --> 00:16:28,450 เราไม่รู้ว่าค่าทั้งสองนี้เป็นค่าคงที่หรือไม่ 349 00:16:28,450 --> 00:16:30,520 เราจึงพูดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของผลคูณ 350 00:16:30,520 --> 00:16:32,780 อย่างไรก็ตาม นี่ค่อนไปทางการคำนวณ 351 00:16:32,780 --> 00:16:34,050 และผมขอโทษ 352 00:16:34,050 --> 00:16:36,840 แต่ผมหวังว่ามันจะทำให้คุณเข้าใจมากขึ้นว่า 353 00:16:36,840 --> 00:16:39,300 นี่เป็นเพียงแค่ผลรวมของพลังงานจลน์ทั้งหมด 354 00:16:39,300 --> 00:16:42,420 เราเชื่อมมันกับตัวแปรต่างๆของสภาวะในระบบ 355 00:16:42,420 --> 00:16:44,590 เช่น ความดัน ปริมาตร และอุณหภูมิ 356 00:16:44,590 --> 00:16:47,640 และตอนนี้ เนื่องจากผมได้ทำวิดีโอเกี่ยวกับมันแล้ว เราสามารถ 357 00:16:47,640 --> 00:16:50,990 ใช้ผลนี้ในการพิสูจน์ครั้งต่อๆไป 358 00:16:50,990 --> 00:16:53,220 หรืออย่างน้อย คุณจะไม่บนมากเกินไปถ้าผมใช้มัน 359 00:16:53,220 --> 00:16:55,150 อย่างไรก็ตาม เจอกันในวิดีโอต่อไป