0:00:00.000,0:00:04.000 ดังที่คริสได้บอกคุณไปแล้วนะครับ ผมศึกษาสมองมนุษย์ 0:00:04.000,0:00:06.000 การทำงานและโครงสร้างของสมองมนุษย์ 0:00:06.000,0:00:10.000 และผมอยากให้คุณลองคิดสักครู่ว่ามันเกี่ยวกับอะไร 0:00:10.000,0:00:14.000 นี่คือก้อนเยลลี่ ก้อนเยลลี่ที่มีมวล 3 ปอนด์ 0:00:14.000,0:00:17.000 คุณสามารถประคองมันไว้ในมือได้ 0:00:17.000,0:00:21.000 และมันสามารถคิดไตร่ตรองถึง[br]ความกว้างใหญ่ของห้วงอวกาศ 0:00:21.000,0:00:23.000 มันคิดไตร่ตรองถึงความหมายของความเป็นอนันต์ 0:00:23.000,0:00:28.000 และมันไตร่ตรองถึงตัวของมันเอง[br]ที่กำลังไต่ตรองความหมายของอนันต์อยู่ 0:00:28.000,0:00:33.000 และคุณสมบัติการคิดวนซ้ำแบบนี้[br]ที่เราเรียกมันว่าความตระหนักรู้ตน 0:00:33.000,0:00:37.000 ที่ผมคิดว่ามันคือเป้าหมายสูงสุดของประสาทวิทยา 0:00:37.000,0:00:39.000 และหวังว่า วันหนึ่งเราจะเข้าใจกลไกของมัน 0:00:40.000,0:00:43.000 เอาล่ะ แล้วเราจะศึกษาอวัยวะลึกลึบนี้ได้อย่างไร ? 0:00:43.000,0:00:47.000 ผมหมายถึง คุณมีถึงหนึ่งแสนล้านเซลล์ประสาท 0:00:47.000,0:00:50.000 เส้นใยเล็กๆของโพรโทพลาสซึมที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน 0:00:50.000,0:00:54.000 และจากกิจกรรมเหล่านี้[br]ก่อให้เกิดความสามารถมากมาย 0:00:54.000,0:00:57.000 ที่เราเรียกว่าธรรมชาติของมนุษย์[br]และสติสัมปชัญญะของมนุษย์ 0:00:57.000,0:00:58.000 มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ? 0:00:58.000,0:01:01.000 มันมีหลายวิธีที่จะใช้เพื่อศึกษา[br]การทำงานของสมองมนุษย์ 0:01:01.000,0:01:04.000 วิธีหนึ่ง ซึ่งเราใช้เป็นหลักเลยก็คือ 0:01:04.000,0:01:09.000 การศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บ[br]ในบริเวณเล็กๆ ของสมอง 0:01:09.000,0:01:11.000 หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม[br]ในบริเวณเล็กๆ ของสมอง 0:01:11.000,0:01:15.000 สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การถดถอยในทุกๆ ด้าน 0:01:15.000,0:01:17.000 ในความสามารถของสมอง 0:01:17.000,0:01:20.000 เหมือนกับกระบวนการรับรู้โดยรวมแย่ลง 0:01:20.000,0:01:23.000 แต่สิ่งที่คุณพบ คือการสูญเสียการทำงาน[br]แบบเฉพาะเจาะจงมากๆ 0:01:23.000,0:01:25.000 ในขณะที่การทำงานด้านอื่นๆ ยังคงปกติดีอยู่ 0:01:25.000,0:01:27.000 และนี่ช่วยให้ความั่นใจแก่คุณในการยืนยัน 0:01:27.000,0:01:31.000 ว่าส่วนนั้นของสมองเกี่ยวข้อง[br]ในกระบวนการทำงานของหน้าที่นั้น 0:01:31.000,0:01:33.000 คุณจึงสามารถเชื่อมโยงหน้าที่เข้ากับโครงสร้าง 0:01:33.000,0:01:36.000 และหาว่าวงจรการทำงานของสมองนั้นทำงานอย่างไร 0:01:36.000,0:01:38.000 เพื่อก่อให้เกิดหน้าที่เฉพาะอันนั้น 0:01:38.000,0:01:40.000 ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่เราพยายามทำ 0:01:40.000,0:01:43.000 ให้ผมแสดงให้ดูถึง 3 ตัวอย่างที่โดดเด่น 0:01:43.000,0:01:47.000 อันที่จริง ผมจะกล่าวถึง 3 ตัวอย่าง [br]ตัวอย่างละ 6 นาที ในการบรรยายครั้งนี้ 0:01:47.000,0:01:51.000 ตัวอย่างแรก เป็นโรคแปลกประหลาด [br]ชื่อ กลุ่มอาการ คัพกราส์ (Capgras syndrome) 0:01:51.000,0:01:53.000 ถ้าคุณดูที่สไลด์แรก 0:01:53.000,0:01:58.000 นั่นคือสมองกลีบขมับ กลีบหน้า กลีบข้าง 0:01:58.000,0:02:00.000 กลีบเหล่านั้นประกอบกันเป็นสมอง 0:02:00.000,0:02:04.000 และที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวของสมองกลีบขมับ 0:02:04.000,0:02:06.000 ที่คุณมองมันไม่เห็นจากมุมนี้ 0:02:06.000,0:02:08.000 มันจะมีโครงสร้างเล็กๆ[br]ที่เรียกว่า ฟิวซิฟอร์มไจรัส (fusiform gyrus) 0:02:08.000,0:02:11.000 และมันถูกเรียกว่าสมองส่วนที่ใช้จดจำใบหน้า 0:02:11.000,0:02:14.000 เนื่องจากถ้ามันเสียหาย[br]คุณจะไม่สามารถจำใบหน้าผู้คนได้ 0:02:14.000,0:02:16.000 คุณยังคงจำพวกเขาได้จากน้ำเสียง 0:02:16.000,0:02:18.000 และพูดว่า "อ้อใช่ นั่นโจ" 0:02:18.000,0:02:21.000 แต่คุณไม่สามารถมองใบหน้าพวกเขา[br]แล้วจำได้ว่าเป็นใคร 0:02:21.000,0:02:23.000 คุณจะไม่สามารถแม้แต่จะจำตัวเองในกระจกได้ 0:02:23.000,0:02:26.000 ผมหมายถึง คุณคงรู้ได้เพราะถ้าคุณกระพริบตา[br]เงาสะท้อนคุณก็กระพริบด้วย 0:02:26.000,0:02:28.000 และคุณก็รู้ว่ามันเป็นกระจก 0:02:28.000,0:02:31.000 แต่คุณจะจำไม่ได้ว่าคนในกระจกเป็นตัวคุณเอง 0:02:31.000,0:02:35.000 โอเค ตอนนี้โรคนี้เป็นที่รู้จักกันดี [br]ว่ามีสาเหตุมาจากฟิวซิฟอร์มไจรัสถูกทำลาย 0:02:35.000,0:02:38.000 แต่มันยังมีกลุ่มอาการหายากอีกแบบหนึ่ง [br]ที่จริงแล้วพบยากมาก 0:02:38.000,0:02:42.000 มีแพทย์น้อยคนที่เคยได้ยินชื่อมัน [br]แม้แต่นักประสาทวิทยาเองก็ไม่เคยได้ยิน 0:02:42.000,0:02:44.000 มันถูกเรียกว่า อาการประสาทหลอนคัพกราส์ 0:02:44.000,0:02:47.000 นั่นคือ คนไข้ผู้ซึ่งในแง่อื่นๆแล้วปกติดีทุกอย่าง 0:02:47.000,0:02:50.000 ได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะ ฟื้นจากโคม่า 0:02:50.000,0:02:53.000 เป็นปกติดีทุกอย่าง[br]ยกเว้นตอนทีเขาเจอแม่ของเขา 0:02:53.000,0:02:56.000 และพูดว่า "ผู้หญิงคนนี้เหมือนแม่ของฉันเปี๊ยบ 0:02:56.000,0:02:58.000 แต่เธอเป็นตัวปลอม 0:02:58.000,0:03:00.000 เธอเป็นผู้หญิงคนอื่นที่แสร้งทำเป็นแม่ของฉัน" 0:03:00.000,0:03:02.000 ทีนี้ ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ? 0:03:02.000,0:03:05.000 ทำไมบางคน [br]--และคนคนนี้ก็เป็นผู้มีสัมปชัญญะครบถ้วน 0:03:05.000,0:03:07.000 และฉลาดในแง่อื่นๆ ทั้งหมด[br]แต่เมื่อเขาเห็นแม่ของเขา 0:03:07.000,0:03:10.000 อาการประสาทหลอนก็จะเริ่มขึ้น[br]และบอกว่านั่นไม่ใช่แม่ของเขา 0:03:10.000,0:03:12.000 คำอธิบายทั่วไปของเรื่องนี้ 0:03:12.000,0:03:14.000 ซึ่งคุณจะหาได้ในหนังสือจิตวิทยาทุกเล่ม 0:03:14.000,0:03:18.000 คือมุมมองแบบฟรอยด์ นั่นคือ นายหมอนี่ 0:03:18.000,0:03:20.000 อ้อ และคำอธิบายนี้ก็ใช้กับผู้หญิงได้ด้วยนะครับ 0:03:20.000,0:03:22.000 แต่ผมแค่ยกตัวอย่างว่าเป็นผู้ชาย 0:03:22.000,0:03:25.000 เมื่อคุณเป็นเด็กน้อย เป็นทารก 0:03:25.000,0:03:27.000 คุณมีความรู้สึกดึงดูดทางเพศต่อแม่ของคุณ 0:03:27.000,0:03:29.000 นี่มีชื่อเรียกว่า ปมเอดิเพิส [br](Oedipus complex) ของฟรอยด์ 0:03:29.000,0:03:31.000 ผมไม่ได้บอกว่าผมเชื่อนะครับ 0:03:31.000,0:03:33.000 แต่นี่คือมุมมองแบบมาตรฐานในแบบของฟรอยด์ 0:03:33.000,0:03:36.000 และเมื่อคุณโตขึ้น สมองชั้นนอกพัฒนาขึ้น 0:03:36.000,0:03:40.000 และยับยั้งความปราถนาทางเพศ[br]ต่อแม่ของคุณที่ซ่อนอยู่ 0:03:40.000,0:03:44.000 ขอบคุณพระเจ้า ไม่อย่างนั้น[br]คุณคงเกิดอารมณ์ทางเพศเมื่อเห็น[br]แม่ของตัวเองกันหมดแน่ๆ 0:03:44.000,0:03:46.000 และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ 0:03:46.000,0:03:48.000 การบาดเจ็บที่ศรีษะ ทำลายสมองชั้นนอก 0:03:48.000,0:03:52.000 เปิดโอกาสให้ความปรารถนาทางเพศ[br]ที่ซ่อนเร้นอยู่ถูกปลดปล่อย 0:03:52.000,0:03:55.000 ปะทุขึ้นสู่ภายนอก อย่างทันทีทันใดโดยอธิบายไม่ได้ 0:03:55.000,0:03:58.000 และคุณรู้สึกถูกกระตุ้นทางเพศโดยแม่ของคุณ 0:03:58.000,0:04:00.000 และคุณจะคิดว่า "พระเจ้า ถ้านี่เป็นแม่ของฉัน 0:04:00.000,0:04:02.000 ทำไมฉันถึงมีอารมณ์ทางเพศได้หล่ะ? 0:04:02.000,0:04:04.000 เธอต้องเป็นผู้หญิงคนอื่น เธอต้องเป็นตัวปลอม" 0:04:04.000,0:04:08.000 มันเป็นการตีความแบบเดียวที่สมเหตุผล[br]กับการบาดเจ็บของสมอง 0:04:08.000,0:04:11.000 มันไม่เคยฟังดูสมเหตุผลเลยสำหรับผม [br]ข้อโต้แย้งนี้ 0:04:11.000,0:04:14.000 เข้าใจคิดจริงๆ เช่นเดียวกับข้อโต้แย้งอื่นๆของฟรอยด์ 0:04:14.000,0:04:16.000 (เสียงหัวเราะ) 0:04:16.000,0:04:21.000 แต่มันไม่ค่อยมีเหตุผล [br]เพราะผมเคยเห็นอาการหลอนแบบเดียวกัน 0:04:21.000,0:04:23.000 คนไข้คนหนึ่ง มีอาการหลอนแบบเดียวกัน [br]กับหมาพุดเดิ้ลของเขา 0:04:23.000,0:04:24.000 (เสียงหัวเราะ) 0:04:24.000,0:04:29.000 เขาบอกว่า "หมอ, นี่มันไม่ใช่ฟิฟี่ มันดูเหมือนฟิฟี่เป๊ะ 0:04:29.000,0:04:31.000 แต่นี่มันเป็นหมาตัวอื่น" 0:04:31.000,0:04:33.000 ทีนี้ลองเอาคำอธิบายแบบฟรอยด์มาใช้สิครับ 0:04:33.000,0:04:34.000 (เสียงหัวเราะ) 0:04:34.000,0:04:38.000 คุณจะเริ่มพูดเรื่องความปรารถนาจะสมสู่กับสัตว์[br]ที่ซ้อนเร้นอยู่ในมนุษย์ทุกคน 0:04:38.000,0:04:41.000 หรืออะไรแบบนั้น ซึ่งแน่นอน มันเหลวไหลสิ้นดี 0:04:41.000,0:04:43.000 ทีนี้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ? 0:04:43.000,0:04:45.000 เพื่อที่จะอธิบายความผิดปกติอันน่าฉงนนี้ 0:04:45.000,0:04:49.000 เราศึกษาถึงโครงสร้างและการทำงาน[br]ของเส้นทางสื่อประสาททางสายตาในสมองที่ปกติ 0:04:49.000,0:04:52.000 ปกติแล้ว สัญญาณภาพเข้ามาสู่ลูกตา 0:04:52.000,0:04:54.000 และส่งไปยังส่วนประมวลภาพในสมอง 0:04:54.000,0:04:57.000 อันที่จริงแล้ว มีพื้นที่ 30 ส่วนในสมอง[br]ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภาพ 0:04:57.000,0:05:00.000 หลังจากประมวลผลเสร็จ[br]ข้อความจะถูกส่งไปยังโครงสร้างเล็กๆ 0:05:00.000,0:05:05.000 ที่ชื่อฟิวซิฟอร์มไจรัส ที่ซึ่งคุณรับรู้ใบหน้า 0:05:05.000,0:05:07.000 มันมีเซลล์ประสาทที่ไวต่อภาพใบหน้า 0:05:07.000,0:05:10.000 คุณสามารถเรียกมันได้ว่า[br]เป็นสมองส่วนจดจำใบหน้า 0:05:10.000,0:05:12.000 ผมพูดถึงไปแล้วก่อนหน้านี้ 0:05:12.000,0:05:16.000 ทีนี้ เมื่อบริเวณนั้นเสียหาย[br]คุณจะเสียความสามารถในการจดจำใบหน้า 0:05:16.000,0:05:19.000 แต่จากบริเวณนั้น ข้อความถูกส่งต่อไปยัง 0:05:19.000,0:05:22.000 โครงสร้างที่เรียกว่า อมิกดาลา (amygdala) ในสมองชั้นใน 0:05:22.000,0:05:24.000 ส่วนความรู้สึกในสมอง 0:05:24.000,0:05:26.000 และโครงสร้างนั้น ที่เรียกว่า อมิกดาลา 0:05:26.000,0:05:28.000 จะวัดปริมาณความรู้สึกของสิ่งที่คุณมองเห็น 0:05:28.000,0:05:32.000 มันคือเหยื่อ มันคือผู้ล่า มันคือเพศตรงข้าม 0:05:32.000,0:05:34.000 หรือมันคือสิ่งทั่วๆไปเช่นเศษผ้า 0:05:34.000,0:05:38.000 เศษชอล์ก หรือ ผมไม่อยากจะชี้ไปตรงนั้น แต่ 0:05:38.000,0:05:40.000 หรือรองเท้า หรืออะไรก็ตาม 0:05:40.000,0:05:42.000 ที่ซึ่งคุณสามารถละเลยได้ 0:05:42.000,0:05:45.000 ดังนั้น ถ้าอามิกดาลาถูกกระตุ้น[br]นั่นหมายถึงบางอย่างที่สำคัญ 0:05:45.000,0:05:48.000 ข้อความจะถูกส่งต่อไปยังระบบประสาทอัตโนมัติ 0:05:48.000,0:05:50.000 หัวใจคุณจะเต้นเร็วขึ้น 0:05:50.000,0:05:53.000 คุณเริ่มเหงื่อออก [br]เพื่อเตรียมจะระบายความร้อน 0:05:53.000,0:05:55.000 ที่คุณจะสร้างจากการออกแรงของกล้ามเนื้อ 0:05:55.000,0:05:59.000 และนั่นถือเป็นโชคดี เพราะเราสามารถ[br]วางขั้วไฟฟ้าสองอันไว้ในมือคุณ 0:05:59.000,0:06:03.000 แล้ววัดการเปลี่ยนแปลงความต้านทานไฟฟ้า[br]ของผิวหนังซึ่งเกิดจากเหงื่อ 0:06:03.000,0:06:05.000 ดังนั้นผมจึงสามารถวัดได้ว่า เมื่อคุณมองบางสิ่ง 0:06:05.000,0:06:09.000 คุณตื่นเต้น หรือรู้สึกถูกกระตุ้นหรือเปล่า 0:06:09.000,0:06:11.000 และผมจะบอกในอีกสักครู่ 0:06:11.000,0:06:15.000 แนวคิดของผมคือ เมื่อนายคนนี้มองวัตถุสักชิ้น 0:06:15.000,0:06:19.000 หรือมองวัตถุอะไรก็ตาม[br]มันจะถูกส่งไปยังส่วนประมวลภาพ 0:06:19.000,0:06:22.000 มันจะถูกประมวลโดยฟิวซิฟอร์มไจรัส 0:06:22.000,0:06:25.000 และคุณก็รู้ว่ามันเป็นต้นถั่ว หรือโต๊ะ 0:06:25.000,0:06:27.000 หรือแม่ของคุณ โอเคไหมครับ 0:06:27.000,0:06:30.000 และจากนั้นข้อความก็ถูกส่งต่อไปยังอมิกดาลา 0:06:30.000,0:06:32.000 และไปต่อยังระบบประสาทอัตโนมัติ 0:06:32.000,0:06:37.000 แต่บางที ในกรณีของนายคนนี้ เส้นทางเชื่อมต่อ[br]ระหว่างอมิกดาลากับสมองชั้นใน 0:06:37.000,0:06:40.000 ซึ่งเป็นส่วนควบคุมอารมณ์ของสมอง[br]ถูกตัดขาดโดยอุบัติเหตุ 0:06:40.000,0:06:42.000 ดังนั้น เนื่องจากฟิวซิฟอร์มยังอยู่ดี 0:06:42.000,0:06:45.000 นายคนนี้จึงยังจำแม่ของเขาได้ 0:06:45.000,0:06:47.000 และบอกว่า "อ้อใช่ นี่คือดูเหมือนแม่ของฉัน" 0:06:47.000,0:06:50.000 แต่เนื่องจากเส้นทางสู่ศูนย์ควบคุมอารมณ์ถูกตัดขาด 0:06:50.000,0:06:54.000 เขาจึงคิดว่า "แต่ถ้านี่คือแม่ของฉัน [br]ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลย" 0:06:54.000,0:06:56.000 หรือความรู้สึกสยอง ก็แล้วแต่กรณีนะครับ 0:06:56.000,0:06:57.000 (เสียงหัวเราะ) 0:06:57.000,0:07:03.000 ดังนั้นเขาจึงคิดว่า "แล้วฉันจะอธิบายความรู้สึก[br]ไร้อารมณ์นี้ได้อย่างไร" 0:07:03.000,0:07:05.000 นี่ต้องไม่ใช่แม่ของฉันแน่ๆ 0:07:05.000,0:07:07.000 ต้องเป็นหญิงแปลกหน้าสักคน[br]ปลอมตัวมาเป็นแม่ของฉัน" 0:07:07.000,0:07:09.000 เราทดสอบได้อย่างไร ? 0:07:09.000,0:07:11.000 ที่คุณต้องทำคือ ถ้าคุณให้ใครสักคนในที่นี้[br]ให้เขานั่งหน้าจอ 0:07:11.000,0:07:14.000 และวัดความต้านทานไฟฟ้าของผิวหนัง 0:07:14.000,0:07:16.000 และแสดงภาพต่างๆ บนจอ 0:07:16.000,0:07:19.000 ผมสามารถวัดว่าคุณเหงื่อออก[br]มากน้อยแค่ไหนเมื่อคุณมองเห็นวัตถุ 0:07:19.000,0:07:22.000 เช่น โต๊ะ หรือร่ม แน่นอนว่าคุณจะไม่เหงื่อออก 0:07:22.000,0:07:27.000 แต่ถ้าผมโชว์ภาพเสือ สิงโต หรือภาพวาบหวิว [br]คุณจะเริ่มมีเหงื่อ 0:07:27.000,0:07:30.000 และเชื่อหรือไม่ว่า ถ้าผมแสดงภาพแม่ของคุณ 0:07:30.000,0:07:32.000 ผมหมายถึงในคนปกตินะครับ [br]คุณจะเริ่มเหงื่อออก 0:07:32.000,0:07:34.000 ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเฉพาะกับคนยิวเท่านั้นนะครับ 0:07:34.000,0:07:36.000 (เสียงหัวเราะ) 0:07:36.000,0:07:40.000 ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเอาภาพเหล่านี้[br]แสดงให้ผู้ป่วยรายนี้ดู? 0:07:40.000,0:07:44.000 คุณแสดงให้ผู้ป่วยรายนี้เห็นภาพต่างๆ บนจอ 0:07:44.000,0:07:46.000 และวัดความต้านทานไฟฟ้าบนผิวหนัง 0:07:46.000,0:07:51.000 โต๊ะ เก้าอี้ เศษผ้า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น[br]เช่นเดียวกับในคนปกติ 0:07:51.000,0:07:53.000 แต่เมื่อคุณแสดงให้เขาเห็นภาพของแม่เขา 0:07:53.000,0:07:55.000 ความต้านทานไฟฟ้าที่ผิวเขาก็ยังไม่มีการตอบสนอง 0:07:55.000,0:07:57.000 ไม่มีการตอบสนองด้านอารมณ์ต่อแม่ของเขาเลย 0:07:57.000,0:08:02.000 เพราะเส้นทางเชื่อต่อจากส่วนรับภาพ [br]ไปถึงส่วนควบคุมอารมณ์นั้นถูกตัดขาด 0:08:02.000,0:08:05.000 สายตาของเขายังปกติ เนื่องจากส่วนรับภาพยังปกติ 0:08:05.000,0:08:08.000 อารมณ์ของเขาก็เป็นปกติ เขายังหัวเราะ [br]ร้องไห้ และแสดงอารมณ์อื่นๆ ได้อยู่ 0:08:08.000,0:08:11.000 แต่เส้นทางเชื่อมระหว่างภาพ[br]และอารมณ์นั้นถูกตัด 0:08:11.000,0:08:14.000 และดังนั้นเขาจึงเกิดประสาทหลอน[br]ว่าแม่ของเขานั้นคือตัวปลอม 0:08:14.000,0:08:17.000 นี่คือตัวอย่างของสิ่งที่เราทำ 0:08:17.000,0:08:21.000 คือเอากรณีของคนไข้ที่มีอาการทางจิต[br]ที่แปลกประหลาด ราวกับไม่มีคำอธิบาย 0:08:21.000,0:08:23.000 และบอกว่ามุมมองแบบฟรอยด์นั้นผิด 0:08:23.000,0:08:27.000 และจริงๆแล้ว คุณสามารถหาเหตุผล[br]อธิบายได้อย่างแม่นยำ 0:08:27.000,0:08:29.000 โดยใช้ความรู้ด้านกายวิภาคของสมอง 0:08:29.000,0:08:31.000 อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ถ้าผู้ป่วยรายนี้กลับไป 0:08:31.000,0:08:36.000 และแม่ของเขาโทรหาจากห้องข้างๆ 0:08:36.000,0:08:40.000 และเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นพูด เขาจะพูดว่า "โอ้ แม่ครับ แม่เป็นยังไงบ้าง แม่อยู่ไหน" 0:08:40.000,0:08:42.000 ไม่มีอาการหลอนผ่านทางโทรศัพท์ 0:08:42.000,0:08:44.000 จากนั้นถ้าเธอเข้ามาหาเขาอีกชั่วโมงให้หลัง[br]เขาจะพูดว่า "คุณเป็นใคร 0:08:44.000,0:08:46.000 คุณดูเหมือแม่ผมเลย" 0:08:46.000,0:08:48.000 เหตุผลก็คือมันมีเส้นทางสื่อประสาทอีกเส้นทางหนึ่ง 0:08:48.000,0:08:52.000 จากส่วนรับเสียงไปยังส่วนอารมณ์ 0:08:52.000,0:08:54.000 และเส้นทางนั้นไม่ได้ถูกตัดขาดโดยอุบัติเหตุ 0:08:54.000,0:08:59.000 ดังนั้น นี่จึงอธิบายว่าทำไม[br]เขาจึงจำแม่ของเขาได้ทางโทรศัพท์ 0:08:59.000,0:09:02.000 และเมื่อเขาเห็นเธอตัวเป็นๆ[br]เขาจึงบอกว่านี่คือตัวปลอม 0:09:02.000,0:09:06.000 แล้ววงจรที่ซับซ้อนนี้[br]ถูกสร้างขึ้นอย่างไรในสมองเรา? 0:09:06.000,0:09:09.000 เป็นเรื่องธรรมชาติ พันธุกรรม หรือการเลี้ยงดู? 0:09:09.000,0:09:11.000 และวิธีที่เราแก้ปัญหานี้ 0:09:11.000,0:09:15.000 โดยการศึกษาโรคประหลาดอีกโรค [br]ชื่อ แขนขาลวง (phantom limb) 0:09:15.000,0:09:17.000 และทุกคนรู้ว่าแขนขาลวงคืออะไร 0:09:17.000,0:09:20.000 เมื่อ แขนถูกตัด หรือขาถูกตัดเพราะเนื้อเน่า 0:09:20.000,0:09:22.000 หรือคุณเสียมันไปในสงคราม ตัวอย่างเช่นในสงครามอิรัก 0:09:22.000,0:09:24.000 ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นปัญหาหนัก 0:09:24.000,0:09:28.000 คุณยังคงรู้สึกได้ชัดเจนว่าแขนขานั้นยังอยู่[br]แม้ว่ามันจะหายไปแล้ว 0:09:28.000,0:09:31.000 และมันเรียนกว่า แขนลวง หรือ ขาลวง 0:09:31.000,0:09:33.000 อันที่จริง คุณเกิดอาการ "ลวง" [br]ได้กับทุกส่วนของร่างกาย 0:09:33.000,0:09:36.000 เชื่อหรือไม่ แม้แต่กับอวัยวะภายใน 0:09:36.000,0:09:40.000 ผมเคยมีคนป่วยที่ผ่าตัดมดลูกออกไปแล้ว 0:09:40.000,0:09:45.000 ซึ่งมีอาการ มดลูกลวง รวมถึง [br]ปวดท้องประจำเดือนลวงด้วย 0:09:45.000,0:09:47.000 ในช่วงเวลาที่เหมาะสมของเดือน 0:09:47.000,0:09:49.000 อันที่จริง มีนักเรียนคนหนึ่งถามผมเมื่อวันก่อนว่า 0:09:49.000,0:09:51.000 "แล้วเธอมีอาการ วัยทองลวง (PMS) ด้วยไหม ?" 0:09:51.000,0:09:52.000 (เสียงหัวเราะ) 0:09:52.000,0:09:56.000 เป็นอีกหัวข้อที่พร้อมสำหรับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ [br]แต่เราไม่ได้ศึกษาในแนวทางนั้นนะครับ 0:09:56.000,0:09:59.000 ทีนี้ อีกคำถามหนึ่งก็คือ 0:09:59.000,0:10:02.000 คุณจะเรียนรู้อะไรได้บ้างเกี่ยวกับแขนขาลวง[br]โดยใช้การทดลอง 0:10:02.000,0:10:04.000 สิ่งหนึ่งที่เราพบคือ 0:10:04.000,0:10:06.000 เกือบครึ่งหนึ่งของคนไข้ที่มีอาการแขนขาลวง 0:10:06.000,0:10:08.000 อ้างว่าพวกเขาสามารถเคลื่อนไหวแขนขาลวงนั้นได้ 0:10:08.000,0:10:10.000 เขาใช้มันตบไหล่พี่ชายของเขาได้ 0:10:10.000,0:10:12.000 เขาใช้มันรับโทรศัพท์เมื่อมันดัง หรือใช้มันโบกมือลา 0:10:12.000,0:10:15.000 มันให้ความรู้สึกเหมือนจริงมาก 0:10:15.000,0:10:17.000 คนไข้ไม่ได้ประสาทหลอน 0:10:17.000,0:10:19.000 เขารู้อยู่แก่ใจว่าแขนเขาไม่มีแล้ว 0:10:19.000,0:10:22.000 แต่มันเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนสำหรับคนไข้ 0:10:22.000,0:10:25.000 อย่างไรก็ตาม อีกครึ่งหนึ่งของคนไข้ไม่มีอาการเหล่านี้ 0:10:25.000,0:10:29.000 อาการแขนขาลวง แต่เขาจะพูดว่า [br]"แต่หมอ แขนขาลวงของผมเป็นอัมพาต" 0:10:29.000,0:10:32.000 มันอยู่นิ่งในลักษณะกำแน่นและเจ็บปวดเกินบรรยาย 0:10:32.000,0:10:35.000 ถ้าผมสามารถขยับมันได้ [br]บางทีคามเจ็บปวดอาจบรรเทาลง" 0:10:35.000,0:10:38.000 ทีนี้ ทำไมแขนขาลวงจึงเป็นอัมพาตได้ 0:10:38.000,0:10:40.000 ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกัน 0:10:40.000,0:10:43.000 แต่เมื่อเราดูที่ประวัติคนไข้ เราพบว่า 0:10:43.000,0:10:45.000 คนเหล่านี้ที่มีอาการแขนขาลวงอัมพาตนั้น 0:10:45.000,0:10:49.000 มีแขนจริงที่เป็นอัมพาต[br]เพราะการบาดเจ็บทางเส้นประสาท 0:10:49.000,0:10:52.000 เส้นประสาทจริงๆซึ่งเชื่อมไปยังแขนถูกตัดขาด 0:10:52.000,0:10:54.000 ถูกตัดโดยอุบัติเหตุทางจักรยานยนต์เป็นต้น 0:10:54.000,0:10:57.000 ดังนั้นคนไข้ยังมีแขนซึ่งเจ็บปวด 0:10:57.000,0:11:01.000 อยู่ในที่ห้อยแขนเป็นเวลา 2-3 เดือน [br]หรือเป็นปี แล้วจากนั้น 0:11:01.000,0:11:04.000 ด้วยความพยายามจะช่วยกำจัดความเจ็บปวดที่แขน [br]อันเกิดจากความเข้าใจผิดๆ 0:11:04.000,0:11:06.000 ศัลยแพทย์จึงตัดแขนข้างนั้น 0:11:06.000,0:11:10.000 และจากนั้นคุณก็จะได้แขนลวง[br]ที่ยังคงความเจ็บปวดอยู่ 0:11:10.000,0:11:12.000 และนี่เป็นกรณีป่วยที่รุนแรง 0:11:12.000,0:11:14.000 ผู้ป่วยบางคนเป็นโรคซึมเศร้า 0:11:14.000,0:11:16.000 บางคนคิดฆ่าตัวตาย 0:11:16.000,0:11:18.000 แล้วคุณจะรักษาอาการเหล่านี้ได้อย่างไร 0:11:18.000,0:11:20.000 ทำไมคุณจึงเกิดอาการแขนลวงอัมพาต 0:11:20.000,0:11:24.000 เมื่อผมศึกษาประวัติคนไข้เหล่านี้ [br]ผมพบว่าพวกเขาล้วนมีแขนจริง 0:11:24.000,0:11:27.000 และเส้นประสาทที่เชื่อมต่อแขนนั้นถูกตัดขาด 0:11:27.000,0:11:30.000 และแขนจริงก็กลายเป็นอัมพาต 0:11:30.000,0:11:34.000 และห้อยอยู่ในที่แขวนหลายเดือนก่อนถูกตัด 0:11:34.000,0:11:40.000 และความเจ็บปวดนี้ถูกส่งถ่ายไปยังแขนลวง 0:11:40.000,0:11:42.000 ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น 0:11:42.000,0:11:44.000 เมื่อแขนยังอยู่ แต่เป็นอัมพาต 0:11:44.000,0:11:47.000 สมองจะส่งคำสั่งไปยังแขน [br]สมองส่วนหน้าจะสั่งว่า "ขยับ" 0:11:47.000,0:11:49.000 และได้รับการป้อนกลับทางสายตาบอกว่า "ไม่" 0:11:49.000,0:11:53.000 ขยับ ไม่ ขยับ ไม่ ขยับ ไม่ 0:11:53.000,0:11:56.000 และนี่ถูกบันทึกฝังลงในวงจรของสมอง 0:11:56.000,0:11:59.000 และเราเรียกสิ่งนี้ว่า[br]ความเป็นอัมพาตจากการเรียนรู้ 0:11:59.000,0:12:03.000 สมองเรียนรู้ ตามการเรียนรู้แบบเฮ็บเบี้ยน (Hebbian) 0:12:03.000,0:12:06.000 ว่าเพียงแค่ส่งคำสั่งไปขยับแขน 0:12:06.000,0:12:08.000 จะสร้างความรู้สึกของแขนที่เป็นอัมพาต 0:12:08.000,0:12:10.000 ดังนั้น เมื่อคุณตัดแขนออก 0:12:10.000,0:12:14.000 ความเป็นอัมพาตจากการเรียนรู้นี้[br]จึงถ่ายทอดไปยังภาพพจน์ของร่างกาย 0:12:14.000,0:12:17.000 และไปยังแขนลวง โอเคไหมครับ 0:12:17.000,0:12:19.000 แล้วคุณจะช่วยคนไข้เหล่านี้อย่างไร ? 0:12:19.000,0:12:21.000 คุณจะทำให้อัมพาตจากการเรียนรู้นั้นถูกลืมได้ 0:12:21.000,0:12:25.000 เพื่อที่คุณจะได้ช่วยเขาบรรเทาจากอาการ[br]มือกำแน่นอันเจ็บปวด 0:12:25.000,0:12:27.000 ของแขนลวงได้ 0:12:27.000,0:12:32.000 ดังนั้นเราจึงคิดว่า ถ้าตอนนี้คุณส่งคำสั่งไปยังแขนลวง 0:12:32.000,0:12:36.000 แล้วให้เขาเห็นการป้อนกลับทางสายตาว่า[br]แขนนั้นมันทำตามคำสั่ง 0:12:36.000,0:12:39.000 บางทีคุณอาจจะช่วยบรรเทา[br]ความเจ็บปวดลวง ตะคริวลวงนี้ได้ 0:12:39.000,0:12:41.000 แล้วคุณจะทำอย่างไร [br]ก็ใช้ความจริงเสมือนสิครับ (virtual reality) 0:12:41.000,0:12:43.000 แต่นั้นมันแพงหลายล้านดอลลาร์ 0:12:43.000,0:12:46.000 ดังนั้นผมจึงตัดสินใจทำมัน[br]ในแบบที่ใช้เงินเพียง 3 ดอลลาร์ 0:12:46.000,0:12:48.000 แต่อย่าบอกผู้ให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยผมนะครับ 0:12:48.000,0:12:49.000 (เสียงหัวเราะ) 0:12:49.000,0:12:53.000 สิ่งที่ทำคือคุณสร้างสิ่งทีผมเรียกว่ากล่องกระจก 0:12:53.000,0:12:55.000 คุณมีกล่องกระดาษที่มีกระจกวางไว้ตรงกลาง 0:12:55.000,0:12:59.000 และจากนั้นคุณเอาแขนลวงใส่เข้าไป [br]คนไข้คนแรกของผม เดเร็ก เข้ามา 0:12:59.000,0:13:02.000 แขนเขาถูกตัดไปแล้วเมื่อ 10 ปีก่อน 0:13:02.000,0:13:05.000 เขาได้รับบาดเจ็บที่ศูนย์รวมประสาทบริเวณหัวไหล่[br]ดังนั้นเส้นประสาทจึงถูกตัด 0:13:05.000,0:13:09.000 แขนเขาเป็นอัมพาต ห้อยอยู่ในที่ห้อยแขนเป็นปี[br]และสุดท้ายก็ถูกตัด 0:13:09.000,0:13:11.000 เขาเกิดมีแขนลวด มันเจ็บปวดแสนสาหัส[br]และเขาขยับมันไม่ได้ 0:13:11.000,0:13:13.000 มันเป็นแขนลวงอัมพาต 0:13:13.000,0:13:17.000 เขาเข้ามาและผมให้กระจกแบบนั้นในกล่อง 0:13:17.000,0:13:20.000 ที่ผมเรียกว่ากล่องกระจก 0:13:20.000,0:13:23.000 คนไข้สอดแขนลวงด้านซ้าย 0:13:23.000,0:13:25.000 ที่ซึ่งกำแน่น ไว้ทางซ้ายของกระจก 0:13:25.000,0:13:27.000 และแขนข้างที่ปกติทางด้านขวาของกระจก 0:13:27.000,0:13:31.000 และให้ทำท่าทางเดียวกัน ท่ากำมือ 0:13:31.000,0:13:34.000 และมองดูในกระจก และเขาจะเกิดประสบการณ์อย่างไร 0:13:34.000,0:13:37.000 เขามองเห็นแขนลวงกำลังคืนชีพขึ้นมา 0:13:37.000,0:13:41.000 เพราะเขามองเห็นภาพสะท้อนของแขนที่ปกติในกระจก 0:13:41.000,0:13:43.000 มันจึงเหมือนกับแขนลวงได้กลับมาแล้ว 0:13:43.000,0:13:46.000 "ทีนี้" ผมกล่าว "ทีนี้ลองกระดิก 0:13:46.000,0:13:50.000 นิ้วจริงๆ หรือขยับนิ้วจริงในขณะมองกระจก" 0:13:50.000,0:13:54.000 เขาจะได้เห็นภาพว่านิ้วลวงกำลังขยับใช่ไหม 0:13:54.000,0:13:56.000 นั่นมันชัดเจนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ 0:13:56.000,0:13:59.000 คนไข้กล่าว่า "โอ้พระเจ้า แขนลวงผมขยับได้แล้ว" 0:13:59.000,0:14:01.000 และความเจ็บปวด อาการกำแน่นก็ค่อยยังชั่วขึ้น 0:14:01.000,0:14:04.000 และโปรดจำว่า คนไข้คนแรกที่เข้ามา 0:14:04.000,0:14:05.000 (เสียงปรบมือ) 0:14:05.000,0:14:09.000 ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ) 0:14:09.000,0:14:12.000 คนไข้คนแรกที่เข้ามา และเขามองกระจก 0:14:12.000,0:14:15.000 และผมบอกว่า "ดูภาพสะท้อนของแขนลวงคุณสิ" 0:14:15.000,0:14:17.000 เขาเริ่มหัวเราะคิกคัก แล้วพูดว่า [br]"ผมเห็นแขนลวงผมแล้ว" 0:14:17.000,0:14:19.000 แต่เขาไม่ได้โง่ เขารู้ว่ามันไม่จริง 0:14:19.000,0:14:21.000 เขารู้ว่ามันเป็นภาพสะท้อนในกระจก 0:14:21.000,0:14:23.000 แต่มันเป็นประสบการณ์รับรู้ทางประสาทที่สมจริง 0:14:23.000,0:14:26.000 และผมบอกว่า "ขยับมือจริงและมือลวงของคุณ" 0:14:26.000,0:14:28.000 เขาพูดว่า "ผมขยับแขนลวงไม่ได้หรอก [br]หมอก็รู้ มันเจ็บปวด" 0:14:28.000,0:14:30.000 ผมบอก "ขยับมือข้างปกติของคุณ" 0:14:30.000,0:14:32.000 และเขากล่าวว่า "โอ้พระเจ้า [br]แขนลวงผมขยับได้แล้ว ผมไม่อยากเชื่อเลย" 0:14:32.000,0:14:35.000 และความเจ็บปวดก็ลดลงด้วย 0:14:35.000,0:14:36.000 และจากนั้นผมบอกว่า "ลองหลับตา" 0:14:36.000,0:14:38.000 เขาหลับตาลง 0:14:38.000,0:14:39.000 "และขยับมือข้างที่ปกติของคุณ" 0:14:39.000,0:14:40.000 "ไม่เห็นเกิดอะไรขึ้นเลย มันกำแน่นอีกแล้ว" 0:14:40.000,0:14:42.000 "โอเค ลืมตาได้" 0:14:42.000,0:14:43.000 "โอ้พระเจ้า โอ้พระเจ้า มันขยับได้อีกแล้ว" 0:14:43.000,0:14:45.000 เขากลายเป็นเหมือนเด็กในร้านขนมเลย 0:14:45.000,0:14:50.000 ดังนั้น นี่จึงพิสูจน์ทฤษฎีของผมเรื่อง[br]ความเป็นอัมพาตจากการเรียนรู้ 0:14:50.000,0:14:52.000 และความสำคัญของข้อมูลทางสายตา 0:14:52.000,0:14:54.000 แต่ผมคงไม่ได้รางวัลโนเบล 0:14:54.000,0:14:56.000 สำหรับการทำให้ใครบางคน[br]สามารถขยับแขนขาลวงได้ 0:14:56.000,0:14:57.000 (เสียงหัวเราะ) 0:14:57.000,0:14:58.000 (เสียงปรบมือ) 0:14:58.000,0:15:01.000 มันเป็นความสามารถที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี [br]ถ้าคุณลองคิดดู 0:15:01.000,0:15:02.000 (เสียงหัวเราะ) 0:15:02.000,0:15:06.000 แต่ผมก็เริ่มตระหนักว่า [br]บางที ความเป็นอัมพาตแบบอื่นๆ 0:15:06.000,0:15:11.000 ที่คุณเห็นในประสาทวิทยา เช่น เส้นเลือดในสมองอุดตัน [br]หรืออาการดิโทเนียเฉพาะจุด (focal dystonias) 0:15:11.000,0:15:13.000 บางทีอาจมีปัจจัยอันเกิดจากการเรียนรู้เสริมเข้าไปด้วย 0:15:13.000,0:15:16.000 ซึ่งคุณสามารถเอาชนะมันได้ด้วย[br]อุปกรณ์ง่ายๆ เช่นกระจก 0:15:16.000,0:15:18.000 ผมจึงพูดว่า "เอาล่ะ เดเร็ก" 0:15:18.000,0:15:21.000 คืออย่างแรก เขาคงไม่สามารถแบกกระจกตลอดเวลา[br]เพื่อให้ความเจ็บปวดเขาหายไป 0:15:21.000,0:15:25.000 ผมจึงพูดว่า "เอาล่ะ เดเร็ก เอากระจกนี่กลับบ้าน[br]แล้วลองฝึกดูสักอาทิตย์ สองอาทิตย์ 0:15:25.000,0:15:27.000 บางที หลังจากที่ฝึกไปสักพัก 0:15:27.000,0:15:29.000 คุณจะเลิกใช้กระจกได้ และลืมอาการอัมพาต 0:15:29.000,0:15:31.000 และเริ่มขยับแขนที่เป็นอัมพาตได้ 0:15:31.000,0:15:33.000 และจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของคุณ" 0:15:33.000,0:15:35.000 เขาตอบตกลงและเอากระจกกลับบ้านไป 0:15:35.000,0:15:37.000 "จริงๆ แล้วมันก็แค่สองเหรียญ เอามันกลับบ้านไปเลย" 0:15:37.000,0:15:40.000 เขาจึงเอามันกลับบ้าน [br]และหลังจากนั้นสองอาทิตย์ เขาโทรหาผม 0:15:40.000,0:15:42.000 เขาพูดว่า "หมอ หมอต้องไม่เชื่อผมแน่ๆ" 0:15:42.000,0:15:43.000 ผมถาม "อะไรหรือ" 0:15:43.000,0:15:45.000 เขาบอก "มันหายไปแล้ว" 0:15:45.000,0:15:46.000 ผมถาม "อะไรหาย" 0:15:46.000,0:15:48.000 ผมคิดว่า บางทีกล่องกระจกหายไปแล้ว 0:15:48.000,0:15:49.000 (เสียงหัวเราะ) 0:15:49.000,0:15:52.000 เขาบอกว่า "ไม่ใช่ครับ แขนลวงของผม[br]ที่ผมมีมาตลอด 10 ปีมานี้" 0:15:52.000,0:15:54.000 มันหายไปแล้ว 0:15:54.000,0:15:56.000 ผมกังวลมาก พระเจ้า 0:15:56.000,0:15:58.000 ผมได้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของเขาไปแล้ว 0:15:58.000,0:16:01.000 แล้วเรื่องเกี่ยวกับมนุษยธรรม จรรยาบรรณ และอื่นๆ ล่ะ 0:16:01.000,0:16:03.000 ผมถาม "เดเร็ก นี่ทำให้คุณกังวลหรือเปล่า" 0:16:03.000,0:16:06.000 เขาบอกว่า "ไม่เลย สามวันที่ผ่านมา [br]ผมไม่มีแขนลวงแล้ว" 0:16:06.000,0:16:09.000 และดังนั้น จึงไม่มีความปวดจากข้อศอกลวง [br]ไม่มีอาการกำมือแน่น 0:16:09.000,0:16:12.000 ไม่มีความเจ็บปวดจากต้นแขนลวง [br]ความเจ็บปวดทุกอย่างหายไปหมด 0:16:12.000,0:16:16.000 แต่ปัญหาคือผมรู้สึกถึงนิ้วลวง[br]ที่ห้อยอยู่ตรงหัวไหล่ผม 0:16:16.000,0:16:18.000 และกล่องของคุณก็ลึกไม่พอ" 0:16:18.000,0:16:19.000 (เสียงหัวเราะ) 0:16:19.000,0:16:22.000 "ดังนั้น คุณช่วยออกแบบใหม่ [br]และเอามันผูกไว้กับหน้าผากผมได้ไหม" 0:16:22.000,0:16:25.000 เพื่อที่ผมจะได้ทำแบบนี้ และกำจัดนิ้วลวงออกไป 0:16:25.000,0:16:27.000 เขาคงนึกว่าผมเป็นนักมายากล 0:16:27.000,0:16:28.000 ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น 0:16:28.000,0:16:31.000 นั่นเป็นเพราะสมองนั้น[br]ต้องเจอกับความขัดแย้งของประสาทสัมผัส 0:16:31.000,0:16:34.000 มันได้รับข้อความจากภาพว่าแขนลวงกลับมาแล้ว 0:16:34.000,0:16:36.000 และในทางกลับกัน มันไม่มีตัวรับสัมผัสที่สอดคล้องกัน 0:16:36.000,0:16:40.000 สัญญาณกล้ามเนื่อบอกว่าแขนนั้นไม่มีจริง 0:16:40.000,0:16:42.000 และคำสั่งสู่กล้ามเนื้อบอกว่ามันมีแขน 0:16:42.000,0:16:45.000 และด้วยความขัดแย้งนี้ สมองจึงบอกว่า ช่างหัวมัน 0:16:45.000,0:16:48.000 ไม่มีทั้งแขนปิศาจ ไม่มีทั้งแขนจริงนั่นแหละ 0:16:48.000,0:16:50.000 มันเข้าสู่สถานะการไม่ยอมรับ ลบล้างสัญญาณ 0:16:50.000,0:16:54.000 และเมื่อแขนหายไปแล้ว [br]ของแถมคือความเจ็บปวดก็หายไปด้วย 0:16:54.000,0:16:58.000 เพราะคุณไม่สามารถมีความเจ็บปวด[br]ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศได้ 0:16:58.000,0:17:00.000 และนั่นเป็นของแถม 0:17:00.000,0:17:02.000 เทคนิคนี้ ได้ถูกทดลองกับคนไข้จำนวนมาก 0:17:02.000,0:17:04.000 โดยกลุ่มวิจัยอื่นๆ ในเฮลซิงกิ 0:17:04.000,0:17:07.000 ดังนั้นมันจึงพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นการรักษา[br]ที่จำเป้นสำหรับความเจ็บปวดลวง 0:17:07.000,0:17:09.000 และอันที่จริงแล้ว ผู้คนยังทดลองมัน[br]กับการพักฟืนจากเส้นเลือดในสมองอุดตัน 0:17:09.000,0:17:12.000 อาการเส้นเลือดในสมองอุดตันที่ปกติแล้ว[br]คุณคิดว่าเป็นความบาดเจ็บของเส้นประสาท 0:17:12.000,0:17:14.000 คุณทำอะไรกับมันไม่ได้ 0:17:14.000,0:17:19.000 แต่มันกลายเป็นว่า บางส่วนของอัมพาตจาก[br]เส้นเลือดในสมองอุตันนั้นเกิดจากการเรียนรู้ 0:17:19.000,0:17:22.000 และบางทีส่วนที่ว่านั้นอาจแก้ไขได้[br]โดยการใช้กระจก 0:17:22.000,0:17:24.000 กรณีนี้ก็เช่นกันได้ถูกไปใช้แล้วในการทดลองทางคลินิก 0:17:24.000,0:17:26.000 เพื่อช่วยเหลือคนไข้จำนวนมาก 0:17:26.000,0:17:30.000 โอเค ผมขอเปลี่ยนหัวข้อไปยัง[br]ส่วนที่สามของการบรรยายของผม 0:17:30.000,0:17:34.000 ซึ่งเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์แปลกๆ [br]ที่เรียกว่าซินเนสทีเซีย (synesthesia) 0:17:34.000,0:17:37.000 มันถูกค้นพบโดย ฟรานซิส แกลตัน (Francis Galton) [br]ในศตวรรษ์ที่ 19 0:17:37.000,0:17:39.000 เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ ชาลส์ ดาร์วิน 0:17:39.000,0:17:41.000 เขาชี้ให้เห็นว่าบางคนในกลุ่มประชากร 0:17:41.000,0:17:45.000 ผู้ซึ่งดูปกติในเรื่องอื่นๆ จะมีอาการดังนี้ 0:17:45.000,0:17:48.000 ทุกครั้งที่เขาเห็นตัวเลข มันเป็นสี 0:17:48.000,0:17:52.000 ห้าคือสีน้ำเงิน เจ็ดคือสีเหลือง แปดคือสีตองอ่อน 0:17:52.000,0:17:54.000 เก้าคือสีคราม 0:17:54.000,0:17:57.000 โปรดระลึกว่า คนเหล่านี้[br]เป็นคนปกติดีทุกอย่างในเรื่องอื่นๆ 0:17:57.000,0:18:00.000 หรือ บางครั้งโน้ตเสียงเป็นตัวกระตุ้นสี 0:18:00.000,0:18:03.000 ซีชาร์ปเป็นสีน้ำเงิน เอฟชาร์ปเป็นสีเขียว 0:18:03.000,0:18:06.000 โน้ตอื่นๆ อาจเป็นสีเหลือง 0:18:06.000,0:18:08.000 ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ 0:18:08.000,0:18:10.000 อาการนี้เรียกว่าซินเนสทีเซีย [br]แกลตันเรียกมันว่าซินเนสทีเซีย 0:18:10.000,0:18:12.000 การผสมปนเปของประสาทรับรู้ 0:18:12.000,0:18:14.000 ในพวกเรา ประสาทรับรู้ทุกอย่างนั้นแยกกันเด็ดขาด 0:18:14.000,0:18:16.000 แต่คนเหล่านี้มีประสาทสัมผัสผสมกันปนเป 0:18:16.000,0:18:17.000 ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ 0:18:17.000,0:18:19.000 หนึ่งในสองแง่ของปัญหานี้น่าสนใจมาก 0:18:19.000,0:18:21.000 ซินเนสทีเซียถ่ายทอดกันในตระกูล 0:18:21.000,0:18:24.000 ดังนั้น แกลตันจึงกล่าวว่านี่เป็น[br]อาการที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม 0:18:24.000,0:18:28.000 แง่ที่สอง ซินเนสทีเซียเกี่ยวข้องกับ --[br]และนี่จะโยงไปสู่ประเด็นของผม 0:18:28.000,0:18:31.000 เกี่ยวข้องกับใจความหลักของบรรยายครั้งนี้ [br]ซึ่งเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ 0:18:31.000,0:18:36.000 ซินเนสทีเซียนั้นพบบ่อยเป็น 8 เท่า[br]ในกลุ่มศิลปิน กวี นักประพันธ์ 0:18:36.000,0:18:39.000 และคนอื่นๆ ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ [br]มากกว่าในคนทั่วไป 0:18:39.000,0:18:40.000 ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? 0:18:40.000,0:18:42.000 ผมกำลังจะตอบคำถามนั้น 0:18:42.000,0:18:44.000 มันไม่เคยได้รับคำตอบมาก่อน 0:18:44.000,0:18:45.000 เอาล่ะ อะไรคือซินเนสทีเซีย ? อะไรเป็นสาเหตุ ? 0:18:45.000,0:18:46.000 มีหลายทฤษฎีที่ใช้อธิบาย 0:18:46.000,0:18:48.000 ทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า คนเหล่านี้ก็แค่เป็นบ้า 0:18:48.000,0:18:51.000 นั่นไม่ใช่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์สักเท่าไหร่ [br]เราลืมมันไปได้เลย 0:18:51.000,0:18:55.000 อีกทฤษฎีกล่าวว่า พวกนี้คือพวกติดยา พวกพี้กัญชา 0:18:55.000,0:18:57.000 บางทีอาจมีความจริงอยู่บ้าง 0:18:57.000,0:18:59.000 เพราะมันพบบ่อยมากในย่าน เบย์ แอเรีย [br]มากกว่าในซานดิเอโก 0:18:59.000,0:19:00.000 (เสียงหัวเราะ) 0:19:00.000,0:19:03.000 ทฤษฎีที่สาม กล่าวว่า -- 0:19:03.000,0:19:08.000 เอาล่ะ ลองถามตัวเราเองก่อนว่าเกิดอะไรขึน[br]เมื่อเกิดซินเนสทีเซีย ตกลงไหมครับ? 0:19:08.000,0:19:11.000 เราพบว่า สมองส่วนประมวลสี และส่วนประมวลตัวเลขนั้น 0:19:11.000,0:19:14.000 อยู่ติดกันในสมอง ในฟิวซิฟอร์มไจรัส 0:19:14.000,0:19:16.000 เราเชื่อว่า มันเกิดการเชื่อมโยงที่ผิดพลาด 0:19:16.000,0:19:19.000 ข้ามกันไปมาระหว่างสีและตัวเลขในสมอง 0:19:19.000,0:19:22.000 ดังนั้น ทุกครั้งที่คุณเห็นตัวเลข [br]คุณจะเห็นสีที่สอดคล้องกันด้วย 0:19:22.000,0:19:24.000 และนั่นทำให้คุณเป็นซินเนสทีเซีย 0:19:24.000,0:19:26.000 ทีนี้โปรดจำว่า -- ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? 0:19:26.000,0:19:28.000 ทำไมถึงมีการเชื่อมโยงผิดพลาดในเฉพาะบางคน 0:19:28.000,0:19:30.000 จำไว้ว่า ผมบอกว่ามันสืบทอดในตระกูล 0:19:30.000,0:19:32.000 นั่นเป็นคำบอกใบ้คุณ 0:19:32.000,0:19:34.000 ว่ามียีนผิดปกติอยู่ตัวหนึ่ง 0:19:34.000,0:19:37.000 ยีนตัวหนึ่งที่กลายพันธุ์และเป็นสาเหตุ[br]ของการเชื่อมโยงข้ามกันที่ผิดปกติ 0:19:37.000,0:19:39.000 ในพวกเราทุกคนนั้น 0:19:39.000,0:19:43.000 ปรากฏว่าเราเกิดมาด้วยสภาพที่[br]ทุกอย่างเชื่อมโยงกับทุกอย่าง 0:19:43.000,0:19:46.000 ทุกส่วนในสมองเชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆ ทุกส่วน 0:19:46.000,0:19:48.000 และมันจะค่อยๆ ถูกตัดออก 0:19:48.000,0:19:51.000 เพื่อสร้างโครงสร้างของสมองผู้ใหญ่ 0:19:51.000,0:19:53.000 ดังนั้น ถ้ามียีนตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่ตัดการเชื่อมโยงนี้ 0:19:53.000,0:19:55.000 และถ้ายีนนั้นเกิดกลายพันธุ์ 0:19:55.000,0:19:58.000 ดังนั้นคุณจะได้การตัดการเชื่อมโยงที่ผิดพลาด[br]ระหว่างสองส่วนในสมอง 0:19:58.000,0:20:01.000 และถ้ามันเกิดขึ้นระหว่างตัวเลขและสี [br]คุณจะได้ซินเนสทีเซียประเภทสีและตัวเลข 0:20:01.000,0:20:04.000 และถ้าเป็นระหว่างโทนเสียงและสี [br]คุณจะได้ซินเนสทีเซียประเภทเสียงและสี 0:20:04.000,0:20:06.000 ฟังดูดีใช่ไหมครับ 0:20:06.000,0:20:08.000 ทีนี้ ถ้ายีนตัวนี้ทำงานทุกๆที่ในสมอง 0:20:08.000,0:20:09.000 ดังนั้นทุกอย่างในสมองจะถูกเชื่อมโยงข้ามกันหรือเปล่า? 0:20:09.000,0:20:15.000 ลองนึกถึงสิ่งที่ศิลปิน นักประพันธ์ [br]และกวีล้วนมีเหมือนกัน 0:20:15.000,0:20:18.000 นั่นคือความสามารถในการคิดแบบอุปมาเปรียบเปรย 0:20:18.000,0:20:20.000 เชื่อมโยงแนวคิดที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกันเลย 0:20:20.000,0:20:23.000 เช่น "นั่นคือทิศบูรพาและจูเลียตเป็นดั่งดวงอาทิตย์" 0:20:23.000,0:20:25.000 คุณคงไม่พูดว่า จูเลียตเป็นดั่งดวงอาทิตย์ 0:20:25.000,0:20:27.000 นั่นแปลว่า จูเลียตคือลูกไฟดวงใหญ่หรือเปล่า 0:20:27.000,0:20:30.000 คนเป็นโรคจิตเภทอาจเห็นแบบนั้น [br]แต่นั่นมันคนละเรื่องกันนะครับ 0:20:30.000,0:20:33.000 คนปกติจะบอกว่า เธอนั้นอบอุ่นเหมือนดวงอาทิตย์ 0:20:33.000,0:20:35.000 เธอเปล่งประกายเหมือนดวงอาทิตย์ [br]เธออ่อนโยนเหมือนดวงอาทิตย์ 0:20:35.000,0:20:37.000 ในทันใดนั้น คุณมองเห็นความเชื่อมโยง 0:20:37.000,0:20:40.000 ทีนี้ ถ้าคุณสมมติว่ามีการเชื่อมโยงที่มากกว่านั้น 0:20:40.000,0:20:43.000 และแนวคิดคือมันเกิดขึ้นกับส่วนอื่นๆของสมองด้วย 0:20:43.000,0:20:46.000 ทีนี้มันก็จะก่อให้เกิดแนวโน้มที่สูงขึ้น 0:20:46.000,0:20:49.000 ที่จะมีความคิดแบบอุปมาอุปมัย และความคิดสร้างสรรค์ 0:20:49.000,0:20:51.000 ในผู้คนที่เป็นซิเนสทีเซีย 0:20:51.000,0:20:54.000 และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราพบรายงาน[br]ผู้เป็นซิเนสทีเซียบ่อยเป็น 8 เท่า 0:20:54.000,0:20:56.000 ในกลุ่มกวี ศิลปิน และนักประพันธ์ 0:20:56.000,0:20:59.000 เอาหล่ะ นี่คือมุมมองของซินเนสทีเซีย[br]ในเชิงการทำนายจากลักษณะสมอง 0:20:59.000,0:21:01.000 การสาธิตสุดท้าย ผมขอสักนาทีนึงนะครับ 0:21:01.000,0:21:03.000 (เสียงปรบมือ) 0:21:03.000,0:21:08.000 ผมจะแสดงให้คุณดูว่าทุกคนเป็นซินเนสทีเซีย[br]แต่พวกคุณปฏิเสธมัน 0:21:08.000,0:21:12.000 นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่าตัวอักษรภาษามนุษย์ดาวอังคาร[br]มันคล้ายๆกับตัวอักษรของคุณแหล่ะครับ 0:21:12.000,0:21:15.000 เอ คือ เอ บี คือ บี ซี คือ ซี 0:21:15.000,0:21:18.000 รูปร่างต่างกัน ก็ออกเสียงต่างกัน 0:21:18.000,0:21:20.000 ทีนี้ คุณมีตัวอักษรชาวดาวอังคาร 0:21:20.000,0:21:22.000 ตัวหนึ่งชื่อ กิกี้ อีกตัวชื่อ โบบ้า 0:21:22.000,0:21:24.000 ตัวไหนชื่อ กิกี้ และตัวไหนชื่อ โบบ้า ครับ 0:21:24.000,0:21:26.000 มีใครบ้างคิดว่า นั่นคือ กิกี้ [br]และนั้นคือ โบบ้า ยกขึ้นมือครับ 0:21:26.000,0:21:28.000 เอาหล่ะ มีมนุษย์กลายพันธุ์อยู่คนสองคน 0:21:28.000,0:21:29.000 (เสียงหัวเราะ) 0:21:29.000,0:21:31.000 มีใครบ้างคิดว่า นั่นคือ โบบ้า[br]และนั้นคือ กิกี้ ยกมือขึ้นครับ 0:21:31.000,0:21:33.000 99% ของพวกคุณ 0:21:33.000,0:21:35.000 และไม่มีใครเป็นชาวดาวอังคาร แล้วคุณรู้ได้อย่างไร 0:21:35.000,0:21:40.000 นั่นเป็นเพราะทุกคนกำลังทำ[br]การสรุปเชิงนามธรรมข้ามประสาทรับรู้ [br](cross-modal synesthetic abstraction) 0:21:40.000,0:21:44.000 หมายถึงว่าคุณกำลังคิดว่า เสียงแหลมๆ กิ กิ้ 0:21:44.000,0:21:49.000 ในประสาทหูของคุณ เหล่าเซลล์ขนก็ถูกกระตุ้น -- กิ กิ้ 0:21:49.000,0:21:52.000 คล้ายกับภาพที่เห็น ภาพการหักมุมของภาพหยักๆ นั้น 0:21:52.000,0:21:55.000 นี่สำคัญมาก เพราะมันกำลังบอกคุณว่า 0:21:55.000,0:21:57.000 สมองคุณกำลังใช้วิธีคิดแบบเก่าแก่ 0:21:57.000,0:21:59.000 มันแค่ มันเหมือนภาพลวงตาโง่ๆ 0:21:59.000,0:22:03.000 แต่โฟตอนในตาคุณสร้างภาพแบบนี้ 0:22:03.000,0:22:06.000 และเซลล์ขนในหูคุณถูกกระตุ้นด้วยรูปแบบของเสียง 0:22:06.000,0:22:11.000 แต่สมองสามารถเพียงแค่ดึงเอาสิ่งที่โดดเด่นที่เหมือนกัน 0:22:11.000,0:22:13.000 มันคือรูปแบบเก่าแก่ของการสรุปแบบนามธรรม 0:22:13.000,0:22:18.000 ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันเกิดขึ้นในส่วน[br]ฟิวซิฟอร์ม ไจรัสของสมอง 0:22:18.000,0:22:19.000 เพราะเมื่อมันถูกทำลาย 0:22:19.000,0:22:23.000 คนเหล่านั้นจะเสียความสามารถ[br]ในการคิดเรื่อง โบบ้า กิกิ้ 0:22:23.000,0:22:25.000 แถมยังเสียความสามารถในการคิดอุปมาเปรียบเปรย 0:22:25.000,0:22:29.000 ถ้าคุณถาม "ทุกอย่างที่เป็นประกาย ไม่ใช่ทองเสมอไป" [br][สำนวน: ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างทีเห็น] 0:22:29.000,0:22:31.000 มันแปลว่าอะไร ? 0:22:31.000,0:22:33.000 คนไข้จะบอกว่า "ถ้ามันเป็นโลหะและสะท้อนแสงได้ [br]มันไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นทอง 0:22:33.000,0:22:36.000 คุณจะต้องวัดความถ่วงจำเพาะด้วย รู้ไหม" 0:22:36.000,0:22:39.000 พวกเขาหลงประเด็นเรื่องความหมายเชิงอุปมา 0:22:39.000,0:22:42.000 สมองส่วนนี้ใหญ่เป็นแปดเท่าในสัตว์ตระกูลลิงชั้นสูง 0:22:42.000,0:22:45.000 โดยเฉพาะในมนุษย์[br]เมื่อเทียบกับสัตว์ตระกูลลิงชั้นล่างๆ 0:22:45.000,0:22:48.000 บางสิ่งที่น่าสนใจมากกำลังเกิดขึ้นใน [br]แองกูลาร์ไจรัส (angular gyrus) 0:22:48.000,0:22:51.000 เพราะมันคือถนนข้ามแดนระหว่างการได้ยิน [br]การมองเห็น และสัมผัส 0:22:51.000,0:22:55.000 มันใหญ่มหึมาในมนุษย์ และบางสิ่งที่น่าสนใจก็เกิดขึ้น 0:22:55.000,0:22:58.000 และผมคิดว่า มันเป็นพื้นฐาน[br]ของความสามารถพิเศษในมนุษย์ 0:22:58.000,0:23:01.000 เช่น คิดเชิงนามธรรม การอุปมาเปรียบเทียบ [br]และความคิดสร้างสรรค์ 0:23:01.000,0:23:04.000 คำถามหลากหลายที่เหล่านักปราชญ์[br]ได้ศึกษามาเป็นพันปี 0:23:04.000,0:23:08.000 พวกเรานักวิทยาศสาสตร์[br]สามารถเริ่มค้นคว้าโดยการใช้ภาพถ่ายสมอง 0:23:08.000,0:23:10.000 โดยการศึกษาคนไข้ และถามคำถามที่ถูก 0:23:10.000,0:23:12.000 ขอบคุณครับ 0:23:12.000,0:23:13.000 (เสียงปรบมือ) 0:23:13.000,0:23:14.000 ขอโทษด้วยครับ 0:23:14.000,0:23:15.000 (เสียงหัวเราะ)