ดังที่คริสได้บอกคุณไปแล้วนะครับ ผมศึกษาสมองมนุษย์
การทำงานและโครงสร้างของสมองมนุษย์
และผมอยากให้คุณลองคิดสักครู่ว่ามันเกี่ยวกับอะไร
นี่คือก้อนเยลลี่ ก้อนเยลลี่ที่มีมวล 3 ปอนด์
คุณสามารถประคองมันไว้ในมือได้
และมันสามารถคิดไตร่ตรองถึง
ความกว้างใหญ่ของห้วงอวกาศ
มันคิดไตร่ตรองถึงความหมายของความเป็นอนันต์
และมันไตร่ตรองถึงตัวของมันเอง
ที่กำลังไต่ตรองความหมายของอนันต์อยู่
และคุณสมบัติการคิดวนซ้ำแบบนี้
ที่เราเรียกมันว่าความตระหนักรู้ตน
ที่ผมคิดว่ามันคือเป้าหมายสูงสุดของประสาทวิทยา
และหวังว่า วันหนึ่งเราจะเข้าใจกลไกของมัน
เอาล่ะ แล้วเราจะศึกษาอวัยวะลึกลึบนี้ได้อย่างไร ?
ผมหมายถึง คุณมีถึงหนึ่งแสนล้านเซลล์ประสาท
เส้นใยเล็กๆของโพรโทพลาสซึมที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
และจากกิจกรรมเหล่านี้
ก่อให้เกิดความสามารถมากมาย
ที่เราเรียกว่าธรรมชาติของมนุษย์
และสติสัมปชัญญะของมนุษย์
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
มันมีหลายวิธีที่จะใช้เพื่อศึกษา
การทำงานของสมองมนุษย์
วิธีหนึ่ง ซึ่งเราใช้เป็นหลักเลยก็คือ
การศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บ
ในบริเวณเล็กๆ ของสมอง
หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม
ในบริเวณเล็กๆ ของสมอง
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การถดถอยในทุกๆ ด้าน
ในความสามารถของสมอง
เหมือนกับกระบวนการรับรู้โดยรวมแย่ลง
แต่สิ่งที่คุณพบ คือการสูญเสียการทำงาน
แบบเฉพาะเจาะจงมากๆ
ในขณะที่การทำงานด้านอื่นๆ ยังคงปกติดีอยู่
และนี่ช่วยให้ความั่นใจแก่คุณในการยืนยัน
ว่าส่วนนั้นของสมองเกี่ยวข้อง
ในกระบวนการทำงานของหน้าที่นั้น
คุณจึงสามารถเชื่อมโยงหน้าที่เข้ากับโครงสร้าง
และหาว่าวงจรการทำงานของสมองนั้นทำงานอย่างไร
เพื่อก่อให้เกิดหน้าที่เฉพาะอันนั้น
ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่เราพยายามทำ
ให้ผมแสดงให้ดูถึง 3 ตัวอย่างที่โดดเด่น
อันที่จริง ผมจะกล่าวถึง 3 ตัวอย่าง
ตัวอย่างละ 6 นาที ในการบรรยายครั้งนี้
ตัวอย่างแรก เป็นโรคแปลกประหลาด
ชื่อ กลุ่มอาการ คัพกราส์ (Capgras syndrome)
ถ้าคุณดูที่สไลด์แรก
นั่นคือสมองกลีบขมับ กลีบหน้า กลีบข้าง
กลีบเหล่านั้นประกอบกันเป็นสมอง
และที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวของสมองกลีบขมับ
ที่คุณมองมันไม่เห็นจากมุมนี้
มันจะมีโครงสร้างเล็กๆ
ที่เรียกว่า ฟิวซิฟอร์มไจรัส (fusiform gyrus)
และมันถูกเรียกว่าสมองส่วนที่ใช้จดจำใบหน้า
เนื่องจากถ้ามันเสียหาย
คุณจะไม่สามารถจำใบหน้าผู้คนได้
คุณยังคงจำพวกเขาได้จากน้ำเสียง
และพูดว่า "อ้อใช่ นั่นโจ"
แต่คุณไม่สามารถมองใบหน้าพวกเขา
แล้วจำได้ว่าเป็นใคร
คุณจะไม่สามารถแม้แต่จะจำตัวเองในกระจกได้
ผมหมายถึง คุณคงรู้ได้เพราะถ้าคุณกระพริบตา
เงาสะท้อนคุณก็กระพริบด้วย
และคุณก็รู้ว่ามันเป็นกระจก
แต่คุณจะจำไม่ได้ว่าคนในกระจกเป็นตัวคุณเอง
โอเค ตอนนี้โรคนี้เป็นที่รู้จักกันดี
ว่ามีสาเหตุมาจากฟิวซิฟอร์มไจรัสถูกทำลาย
แต่มันยังมีกลุ่มอาการหายากอีกแบบหนึ่ง
ที่จริงแล้วพบยากมาก
มีแพทย์น้อยคนที่เคยได้ยินชื่อมัน
แม้แต่นักประสาทวิทยาเองก็ไม่เคยได้ยิน
มันถูกเรียกว่า อาการประสาทหลอนคัพกราส์
นั่นคือ คนไข้ผู้ซึ่งในแง่อื่นๆแล้วปกติดีทุกอย่าง
ได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะ ฟื้นจากโคม่า
เป็นปกติดีทุกอย่าง
ยกเว้นตอนทีเขาเจอแม่ของเขา
และพูดว่า "ผู้หญิงคนนี้เหมือนแม่ของฉันเปี๊ยบ
แต่เธอเป็นตัวปลอม
เธอเป็นผู้หญิงคนอื่นที่แสร้งทำเป็นแม่ของฉัน"
ทีนี้ ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ?
ทำไมบางคน
--และคนคนนี้ก็เป็นผู้มีสัมปชัญญะครบถ้วน
และฉลาดในแง่อื่นๆ ทั้งหมด
แต่เมื่อเขาเห็นแม่ของเขา
อาการประสาทหลอนก็จะเริ่มขึ้น
และบอกว่านั่นไม่ใช่แม่ของเขา
คำอธิบายทั่วไปของเรื่องนี้
ซึ่งคุณจะหาได้ในหนังสือจิตวิทยาทุกเล่ม
คือมุมมองแบบฟรอยด์ นั่นคือ นายหมอนี่
อ้อ และคำอธิบายนี้ก็ใช้กับผู้หญิงได้ด้วยนะครับ
แต่ผมแค่ยกตัวอย่างว่าเป็นผู้ชาย
เมื่อคุณเป็นเด็กน้อย เป็นทารก
คุณมีความรู้สึกดึงดูดทางเพศต่อแม่ของคุณ
นี่มีชื่อเรียกว่า ปมเอดิเพิส
(Oedipus complex) ของฟรอยด์
ผมไม่ได้บอกว่าผมเชื่อนะครับ
แต่นี่คือมุมมองแบบมาตรฐานในแบบของฟรอยด์
และเมื่อคุณโตขึ้น สมองชั้นนอกพัฒนาขึ้น
และยับยั้งความปราถนาทางเพศ
ต่อแม่ของคุณที่ซ่อนอยู่
ขอบคุณพระเจ้า ไม่อย่างนั้น
คุณคงเกิดอารมณ์ทางเพศเมื่อเห็น
แม่ของตัวเองกันหมดแน่ๆ
และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
การบาดเจ็บที่ศรีษะ ทำลายสมองชั้นนอก
เปิดโอกาสให้ความปรารถนาทางเพศ
ที่ซ่อนเร้นอยู่ถูกปลดปล่อย
ปะทุขึ้นสู่ภายนอก อย่างทันทีทันใดโดยอธิบายไม่ได้
และคุณรู้สึกถูกกระตุ้นทางเพศโดยแม่ของคุณ
และคุณจะคิดว่า "พระเจ้า ถ้านี่เป็นแม่ของฉัน
ทำไมฉันถึงมีอารมณ์ทางเพศได้หล่ะ?
เธอต้องเป็นผู้หญิงคนอื่น เธอต้องเป็นตัวปลอม"
มันเป็นการตีความแบบเดียวที่สมเหตุผล
กับการบาดเจ็บของสมอง
มันไม่เคยฟังดูสมเหตุผลเลยสำหรับผม
ข้อโต้แย้งนี้
เข้าใจคิดจริงๆ เช่นเดียวกับข้อโต้แย้งอื่นๆของฟรอยด์
(เสียงหัวเราะ)
แต่มันไม่ค่อยมีเหตุผล
เพราะผมเคยเห็นอาการหลอนแบบเดียวกัน
คนไข้คนหนึ่ง มีอาการหลอนแบบเดียวกัน
กับหมาพุดเดิ้ลของเขา
(เสียงหัวเราะ)
เขาบอกว่า "หมอ, นี่มันไม่ใช่ฟิฟี่ มันดูเหมือนฟิฟี่เป๊ะ
แต่นี่มันเป็นหมาตัวอื่น"
ทีนี้ลองเอาคำอธิบายแบบฟรอยด์มาใช้สิครับ
(เสียงหัวเราะ)
คุณจะเริ่มพูดเรื่องความปรารถนาจะสมสู่กับสัตว์
ที่ซ้อนเร้นอยู่ในมนุษย์ทุกคน
หรืออะไรแบบนั้น ซึ่งแน่นอน มันเหลวไหลสิ้นดี
ทีนี้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ?
เพื่อที่จะอธิบายความผิดปกติอันน่าฉงนนี้
เราศึกษาถึงโครงสร้างและการทำงาน
ของเส้นทางสื่อประสาททางสายตาในสมองที่ปกติ
ปกติแล้ว สัญญาณภาพเข้ามาสู่ลูกตา
และส่งไปยังส่วนประมวลภาพในสมอง
อันที่จริงแล้ว มีพื้นที่ 30 ส่วนในสมอง
ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภาพ
หลังจากประมวลผลเสร็จ
ข้อความจะถูกส่งไปยังโครงสร้างเล็กๆ
ที่ชื่อฟิวซิฟอร์มไจรัส ที่ซึ่งคุณรับรู้ใบหน้า
มันมีเซลล์ประสาทที่ไวต่อภาพใบหน้า
คุณสามารถเรียกมันได้ว่า
เป็นสมองส่วนจดจำใบหน้า
ผมพูดถึงไปแล้วก่อนหน้านี้
ทีนี้ เมื่อบริเวณนั้นเสียหาย
คุณจะเสียความสามารถในการจดจำใบหน้า
แต่จากบริเวณนั้น ข้อความถูกส่งต่อไปยัง
โครงสร้างที่เรียกว่า อมิกดาลา (amygdala) ในสมองชั้นใน
ส่วนความรู้สึกในสมอง
และโครงสร้างนั้น ที่เรียกว่า อมิกดาลา
จะวัดปริมาณความรู้สึกของสิ่งที่คุณมองเห็น
มันคือเหยื่อ มันคือผู้ล่า มันคือเพศตรงข้าม
หรือมันคือสิ่งทั่วๆไปเช่นเศษผ้า
เศษชอล์ก หรือ ผมไม่อยากจะชี้ไปตรงนั้น แต่
หรือรองเท้า หรืออะไรก็ตาม
ที่ซึ่งคุณสามารถละเลยได้
ดังนั้น ถ้าอามิกดาลาถูกกระตุ้น
นั่นหมายถึงบางอย่างที่สำคัญ
ข้อความจะถูกส่งต่อไปยังระบบประสาทอัตโนมัติ
หัวใจคุณจะเต้นเร็วขึ้น
คุณเริ่มเหงื่อออก
เพื่อเตรียมจะระบายความร้อน
ที่คุณจะสร้างจากการออกแรงของกล้ามเนื้อ
และนั่นถือเป็นโชคดี เพราะเราสามารถ
วางขั้วไฟฟ้าสองอันไว้ในมือคุณ
แล้ววัดการเปลี่ยนแปลงความต้านทานไฟฟ้า
ของผิวหนังซึ่งเกิดจากเหงื่อ
ดังนั้นผมจึงสามารถวัดได้ว่า เมื่อคุณมองบางสิ่ง
คุณตื่นเต้น หรือรู้สึกถูกกระตุ้นหรือเปล่า
และผมจะบอกในอีกสักครู่
แนวคิดของผมคือ เมื่อนายคนนี้มองวัตถุสักชิ้น
หรือมองวัตถุอะไรก็ตาม
มันจะถูกส่งไปยังส่วนประมวลภาพ
มันจะถูกประมวลโดยฟิวซิฟอร์มไจรัส
และคุณก็รู้ว่ามันเป็นต้นถั่ว หรือโต๊ะ
หรือแม่ของคุณ โอเคไหมครับ
และจากนั้นข้อความก็ถูกส่งต่อไปยังอมิกดาลา
และไปต่อยังระบบประสาทอัตโนมัติ
แต่บางที ในกรณีของนายคนนี้ เส้นทางเชื่อมต่อ
ระหว่างอมิกดาลากับสมองชั้นใน
ซึ่งเป็นส่วนควบคุมอารมณ์ของสมอง
ถูกตัดขาดโดยอุบัติเหตุ
ดังนั้น เนื่องจากฟิวซิฟอร์มยังอยู่ดี
นายคนนี้จึงยังจำแม่ของเขาได้
และบอกว่า "อ้อใช่ นี่คือดูเหมือนแม่ของฉัน"
แต่เนื่องจากเส้นทางสู่ศูนย์ควบคุมอารมณ์ถูกตัดขาด
เขาจึงคิดว่า "แต่ถ้านี่คือแม่ของฉัน
ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลย"
หรือความรู้สึกสยอง ก็แล้วแต่กรณีนะครับ
(เสียงหัวเราะ)
ดังนั้นเขาจึงคิดว่า "แล้วฉันจะอธิบายความรู้สึก
ไร้อารมณ์นี้ได้อย่างไร"
นี่ต้องไม่ใช่แม่ของฉันแน่ๆ
ต้องเป็นหญิงแปลกหน้าสักคน
ปลอมตัวมาเป็นแม่ของฉัน"
เราทดสอบได้อย่างไร ?
ที่คุณต้องทำคือ ถ้าคุณให้ใครสักคนในที่นี้
ให้เขานั่งหน้าจอ
และวัดความต้านทานไฟฟ้าของผิวหนัง
และแสดงภาพต่างๆ บนจอ
ผมสามารถวัดว่าคุณเหงื่อออก
มากน้อยแค่ไหนเมื่อคุณมองเห็นวัตถุ
เช่น โต๊ะ หรือร่ม แน่นอนว่าคุณจะไม่เหงื่อออก
แต่ถ้าผมโชว์ภาพเสือ สิงโต หรือภาพวาบหวิว
คุณจะเริ่มมีเหงื่อ
และเชื่อหรือไม่ว่า ถ้าผมแสดงภาพแม่ของคุณ
ผมหมายถึงในคนปกตินะครับ
คุณจะเริ่มเหงื่อออก
ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเฉพาะกับคนยิวเท่านั้นนะครับ
(เสียงหัวเราะ)
ทีนี้จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเอาภาพเหล่านี้
แสดงให้ผู้ป่วยรายนี้ดู?
คุณแสดงให้ผู้ป่วยรายนี้เห็นภาพต่างๆ บนจอ
และวัดความต้านทานไฟฟ้าบนผิวหนัง
โต๊ะ เก้าอี้ เศษผ้า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เช่นเดียวกับในคนปกติ
แต่เมื่อคุณแสดงให้เขาเห็นภาพของแม่เขา
ความต้านทานไฟฟ้าที่ผิวเขาก็ยังไม่มีการตอบสนอง
ไม่มีการตอบสนองด้านอารมณ์ต่อแม่ของเขาเลย
เพราะเส้นทางเชื่อต่อจากส่วนรับภาพ
ไปถึงส่วนควบคุมอารมณ์นั้นถูกตัดขาด
สายตาของเขายังปกติ เนื่องจากส่วนรับภาพยังปกติ
อารมณ์ของเขาก็เป็นปกติ เขายังหัวเราะ
ร้องไห้ และแสดงอารมณ์อื่นๆ ได้อยู่
แต่เส้นทางเชื่อมระหว่างภาพ
และอารมณ์นั้นถูกตัด
และดังนั้นเขาจึงเกิดประสาทหลอน
ว่าแม่ของเขานั้นคือตัวปลอม
นี่คือตัวอย่างของสิ่งที่เราทำ
คือเอากรณีของคนไข้ที่มีอาการทางจิต
ที่แปลกประหลาด ราวกับไม่มีคำอธิบาย
และบอกว่ามุมมองแบบฟรอยด์นั้นผิด
และจริงๆแล้ว คุณสามารถหาเหตุผล
อธิบายได้อย่างแม่นยำ
โดยใช้ความรู้ด้านกายวิภาคของสมอง
อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ถ้าผู้ป่วยรายนี้กลับไป
และแม่ของเขาโทรหาจากห้องข้างๆ
และเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นพูด เขาจะพูดว่า "โอ้ แม่ครับ แม่เป็นยังไงบ้าง แม่อยู่ไหน"
ไม่มีอาการหลอนผ่านทางโทรศัพท์
จากนั้นถ้าเธอเข้ามาหาเขาอีกชั่วโมงให้หลัง
เขาจะพูดว่า "คุณเป็นใคร
คุณดูเหมือแม่ผมเลย"
เหตุผลก็คือมันมีเส้นทางสื่อประสาทอีกเส้นทางหนึ่ง
จากส่วนรับเสียงไปยังส่วนอารมณ์
และเส้นทางนั้นไม่ได้ถูกตัดขาดโดยอุบัติเหตุ
ดังนั้น นี่จึงอธิบายว่าทำไม
เขาจึงจำแม่ของเขาได้ทางโทรศัพท์
และเมื่อเขาเห็นเธอตัวเป็นๆ
เขาจึงบอกว่านี่คือตัวปลอม
แล้ววงจรที่ซับซ้อนนี้
ถูกสร้างขึ้นอย่างไรในสมองเรา?
เป็นเรื่องธรรมชาติ พันธุกรรม หรือการเลี้ยงดู?
และวิธีที่เราแก้ปัญหานี้
โดยการศึกษาโรคประหลาดอีกโรค
ชื่อ แขนขาลวง (phantom limb)
และทุกคนรู้ว่าแขนขาลวงคืออะไร
เมื่อ แขนถูกตัด หรือขาถูกตัดเพราะเนื้อเน่า
หรือคุณเสียมันไปในสงคราม ตัวอย่างเช่นในสงครามอิรัก
ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นปัญหาหนัก
คุณยังคงรู้สึกได้ชัดเจนว่าแขนขานั้นยังอยู่
แม้ว่ามันจะหายไปแล้ว
และมันเรียนกว่า แขนลวง หรือ ขาลวง
อันที่จริง คุณเกิดอาการ "ลวง"
ได้กับทุกส่วนของร่างกาย
เชื่อหรือไม่ แม้แต่กับอวัยวะภายใน
ผมเคยมีคนป่วยที่ผ่าตัดมดลูกออกไปแล้ว
ซึ่งมีอาการ มดลูกลวง รวมถึง
ปวดท้องประจำเดือนลวงด้วย
ในช่วงเวลาที่เหมาะสมของเดือน
อันที่จริง มีนักเรียนคนหนึ่งถามผมเมื่อวันก่อนว่า
"แล้วเธอมีอาการ วัยทองลวง (PMS) ด้วยไหม ?"
(เสียงหัวเราะ)
เป็นอีกหัวข้อที่พร้อมสำหรับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์
แต่เราไม่ได้ศึกษาในแนวทางนั้นนะครับ
ทีนี้ อีกคำถามหนึ่งก็คือ
คุณจะเรียนรู้อะไรได้บ้างเกี่ยวกับแขนขาลวง
โดยใช้การทดลอง
สิ่งหนึ่งที่เราพบคือ
เกือบครึ่งหนึ่งของคนไข้ที่มีอาการแขนขาลวง
อ้างว่าพวกเขาสามารถเคลื่อนไหวแขนขาลวงนั้นได้
เขาใช้มันตบไหล่พี่ชายของเขาได้
เขาใช้มันรับโทรศัพท์เมื่อมันดัง หรือใช้มันโบกมือลา
มันให้ความรู้สึกเหมือนจริงมาก
คนไข้ไม่ได้ประสาทหลอน
เขารู้อยู่แก่ใจว่าแขนเขาไม่มีแล้ว
แต่มันเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนสำหรับคนไข้
อย่างไรก็ตาม อีกครึ่งหนึ่งของคนไข้ไม่มีอาการเหล่านี้
อาการแขนขาลวง แต่เขาจะพูดว่า
"แต่หมอ แขนขาลวงของผมเป็นอัมพาต"
มันอยู่นิ่งในลักษณะกำแน่นและเจ็บปวดเกินบรรยาย
ถ้าผมสามารถขยับมันได้
บางทีคามเจ็บปวดอาจบรรเทาลง"
ทีนี้ ทำไมแขนขาลวงจึงเป็นอัมพาตได้
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกัน
แต่เมื่อเราดูที่ประวัติคนไข้ เราพบว่า
คนเหล่านี้ที่มีอาการแขนขาลวงอัมพาตนั้น
มีแขนจริงที่เป็นอัมพาต
เพราะการบาดเจ็บทางเส้นประสาท
เส้นประสาทจริงๆซึ่งเชื่อมไปยังแขนถูกตัดขาด
ถูกตัดโดยอุบัติเหตุทางจักรยานยนต์เป็นต้น
ดังนั้นคนไข้ยังมีแขนซึ่งเจ็บปวด
อยู่ในที่ห้อยแขนเป็นเวลา 2-3 เดือน
หรือเป็นปี แล้วจากนั้น
ด้วยความพยายามจะช่วยกำจัดความเจ็บปวดที่แขน
อันเกิดจากความเข้าใจผิดๆ
ศัลยแพทย์จึงตัดแขนข้างนั้น
และจากนั้นคุณก็จะได้แขนลวง
ที่ยังคงความเจ็บปวดอยู่
และนี่เป็นกรณีป่วยที่รุนแรง
ผู้ป่วยบางคนเป็นโรคซึมเศร้า
บางคนคิดฆ่าตัวตาย
แล้วคุณจะรักษาอาการเหล่านี้ได้อย่างไร
ทำไมคุณจึงเกิดอาการแขนลวงอัมพาต
เมื่อผมศึกษาประวัติคนไข้เหล่านี้
ผมพบว่าพวกเขาล้วนมีแขนจริง
และเส้นประสาทที่เชื่อมต่อแขนนั้นถูกตัดขาด
และแขนจริงก็กลายเป็นอัมพาต
และห้อยอยู่ในที่แขวนหลายเดือนก่อนถูกตัด
และความเจ็บปวดนี้ถูกส่งถ่ายไปยังแขนลวง
ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
เมื่อแขนยังอยู่ แต่เป็นอัมพาต
สมองจะส่งคำสั่งไปยังแขน
สมองส่วนหน้าจะสั่งว่า "ขยับ"
และได้รับการป้อนกลับทางสายตาบอกว่า "ไม่"
ขยับ ไม่ ขยับ ไม่ ขยับ ไม่
และนี่ถูกบันทึกฝังลงในวงจรของสมอง
และเราเรียกสิ่งนี้ว่า
ความเป็นอัมพาตจากการเรียนรู้
สมองเรียนรู้ ตามการเรียนรู้แบบเฮ็บเบี้ยน (Hebbian)
ว่าเพียงแค่ส่งคำสั่งไปขยับแขน
จะสร้างความรู้สึกของแขนที่เป็นอัมพาต
ดังนั้น เมื่อคุณตัดแขนออก
ความเป็นอัมพาตจากการเรียนรู้นี้
จึงถ่ายทอดไปยังภาพพจน์ของร่างกาย
และไปยังแขนลวง โอเคไหมครับ
แล้วคุณจะช่วยคนไข้เหล่านี้อย่างไร ?
คุณจะทำให้อัมพาตจากการเรียนรู้นั้นถูกลืมได้
เพื่อที่คุณจะได้ช่วยเขาบรรเทาจากอาการ
มือกำแน่นอันเจ็บปวด
ของแขนลวงได้
ดังนั้นเราจึงคิดว่า ถ้าตอนนี้คุณส่งคำสั่งไปยังแขนลวง
แล้วให้เขาเห็นการป้อนกลับทางสายตาว่า
แขนนั้นมันทำตามคำสั่ง
บางทีคุณอาจจะช่วยบรรเทา
ความเจ็บปวดลวง ตะคริวลวงนี้ได้
แล้วคุณจะทำอย่างไร
ก็ใช้ความจริงเสมือนสิครับ (virtual reality)
แต่นั้นมันแพงหลายล้านดอลลาร์
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจทำมัน
ในแบบที่ใช้เงินเพียง 3 ดอลลาร์
แต่อย่าบอกผู้ให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยผมนะครับ
(เสียงหัวเราะ)
สิ่งที่ทำคือคุณสร้างสิ่งทีผมเรียกว่ากล่องกระจก
คุณมีกล่องกระดาษที่มีกระจกวางไว้ตรงกลาง
และจากนั้นคุณเอาแขนลวงใส่เข้าไป
คนไข้คนแรกของผม เดเร็ก เข้ามา
แขนเขาถูกตัดไปแล้วเมื่อ 10 ปีก่อน
เขาได้รับบาดเจ็บที่ศูนย์รวมประสาทบริเวณหัวไหล่
ดังนั้นเส้นประสาทจึงถูกตัด
แขนเขาเป็นอัมพาต ห้อยอยู่ในที่ห้อยแขนเป็นปี
และสุดท้ายก็ถูกตัด
เขาเกิดมีแขนลวด มันเจ็บปวดแสนสาหัส
และเขาขยับมันไม่ได้
มันเป็นแขนลวงอัมพาต
เขาเข้ามาและผมให้กระจกแบบนั้นในกล่อง
ที่ผมเรียกว่ากล่องกระจก
คนไข้สอดแขนลวงด้านซ้าย
ที่ซึ่งกำแน่น ไว้ทางซ้ายของกระจก
และแขนข้างที่ปกติทางด้านขวาของกระจก
และให้ทำท่าทางเดียวกัน ท่ากำมือ
และมองดูในกระจก และเขาจะเกิดประสบการณ์อย่างไร
เขามองเห็นแขนลวงกำลังคืนชีพขึ้นมา
เพราะเขามองเห็นภาพสะท้อนของแขนที่ปกติในกระจก
มันจึงเหมือนกับแขนลวงได้กลับมาแล้ว
"ทีนี้" ผมกล่าว "ทีนี้ลองกระดิก
นิ้วจริงๆ หรือขยับนิ้วจริงในขณะมองกระจก"
เขาจะได้เห็นภาพว่านิ้วลวงกำลังขยับใช่ไหม
นั่นมันชัดเจนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ
คนไข้กล่าว่า "โอ้พระเจ้า แขนลวงผมขยับได้แล้ว"
และความเจ็บปวด อาการกำแน่นก็ค่อยยังชั่วขึ้น
และโปรดจำว่า คนไข้คนแรกที่เข้ามา
(เสียงปรบมือ)
ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)
คนไข้คนแรกที่เข้ามา และเขามองกระจก
และผมบอกว่า "ดูภาพสะท้อนของแขนลวงคุณสิ"
เขาเริ่มหัวเราะคิกคัก แล้วพูดว่า
"ผมเห็นแขนลวงผมแล้ว"
แต่เขาไม่ได้โง่ เขารู้ว่ามันไม่จริง
เขารู้ว่ามันเป็นภาพสะท้อนในกระจก
แต่มันเป็นประสบการณ์รับรู้ทางประสาทที่สมจริง
และผมบอกว่า "ขยับมือจริงและมือลวงของคุณ"
เขาพูดว่า "ผมขยับแขนลวงไม่ได้หรอก
หมอก็รู้ มันเจ็บปวด"
ผมบอก "ขยับมือข้างปกติของคุณ"
และเขากล่าวว่า "โอ้พระเจ้า
แขนลวงผมขยับได้แล้ว ผมไม่อยากเชื่อเลย"
และความเจ็บปวดก็ลดลงด้วย
และจากนั้นผมบอกว่า "ลองหลับตา"
เขาหลับตาลง
"และขยับมือข้างที่ปกติของคุณ"
"ไม่เห็นเกิดอะไรขึ้นเลย มันกำแน่นอีกแล้ว"
"โอเค ลืมตาได้"
"โอ้พระเจ้า โอ้พระเจ้า มันขยับได้อีกแล้ว"
เขากลายเป็นเหมือนเด็กในร้านขนมเลย
ดังนั้น นี่จึงพิสูจน์ทฤษฎีของผมเรื่อง
ความเป็นอัมพาตจากการเรียนรู้
และความสำคัญของข้อมูลทางสายตา
แต่ผมคงไม่ได้รางวัลโนเบล
สำหรับการทำให้ใครบางคน
สามารถขยับแขนขาลวงได้
(เสียงหัวเราะ)
(เสียงปรบมือ)
มันเป็นความสามารถที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี
ถ้าคุณลองคิดดู
(เสียงหัวเราะ)
แต่ผมก็เริ่มตระหนักว่า
บางที ความเป็นอัมพาตแบบอื่นๆ
ที่คุณเห็นในประสาทวิทยา เช่น เส้นเลือดในสมองอุดตัน
หรืออาการดิโทเนียเฉพาะจุด (focal dystonias)
บางทีอาจมีปัจจัยอันเกิดจากการเรียนรู้เสริมเข้าไปด้วย
ซึ่งคุณสามารถเอาชนะมันได้ด้วย
อุปกรณ์ง่ายๆ เช่นกระจก
ผมจึงพูดว่า "เอาล่ะ เดเร็ก"
คืออย่างแรก เขาคงไม่สามารถแบกกระจกตลอดเวลา
เพื่อให้ความเจ็บปวดเขาหายไป
ผมจึงพูดว่า "เอาล่ะ เดเร็ก เอากระจกนี่กลับบ้าน
แล้วลองฝึกดูสักอาทิตย์ สองอาทิตย์
บางที หลังจากที่ฝึกไปสักพัก
คุณจะเลิกใช้กระจกได้ และลืมอาการอัมพาต
และเริ่มขยับแขนที่เป็นอัมพาตได้
และจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของคุณ"
เขาตอบตกลงและเอากระจกกลับบ้านไป
"จริงๆ แล้วมันก็แค่สองเหรียญ เอามันกลับบ้านไปเลย"
เขาจึงเอามันกลับบ้าน
และหลังจากนั้นสองอาทิตย์ เขาโทรหาผม
เขาพูดว่า "หมอ หมอต้องไม่เชื่อผมแน่ๆ"
ผมถาม "อะไรหรือ"
เขาบอก "มันหายไปแล้ว"
ผมถาม "อะไรหาย"
ผมคิดว่า บางทีกล่องกระจกหายไปแล้ว
(เสียงหัวเราะ)
เขาบอกว่า "ไม่ใช่ครับ แขนลวงของผม
ที่ผมมีมาตลอด 10 ปีมานี้"
มันหายไปแล้ว
ผมกังวลมาก พระเจ้า
ผมได้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของเขาไปแล้ว
แล้วเรื่องเกี่ยวกับมนุษยธรรม จรรยาบรรณ และอื่นๆ ล่ะ
ผมถาม "เดเร็ก นี่ทำให้คุณกังวลหรือเปล่า"
เขาบอกว่า "ไม่เลย สามวันที่ผ่านมา
ผมไม่มีแขนลวงแล้ว"
และดังนั้น จึงไม่มีความปวดจากข้อศอกลวง
ไม่มีอาการกำมือแน่น
ไม่มีความเจ็บปวดจากต้นแขนลวง
ความเจ็บปวดทุกอย่างหายไปหมด
แต่ปัญหาคือผมรู้สึกถึงนิ้วลวง
ที่ห้อยอยู่ตรงหัวไหล่ผม
และกล่องของคุณก็ลึกไม่พอ"
(เสียงหัวเราะ)
"ดังนั้น คุณช่วยออกแบบใหม่
และเอามันผูกไว้กับหน้าผากผมได้ไหม"
เพื่อที่ผมจะได้ทำแบบนี้ และกำจัดนิ้วลวงออกไป
เขาคงนึกว่าผมเป็นนักมายากล
ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
นั่นเป็นเพราะสมองนั้น
ต้องเจอกับความขัดแย้งของประสาทสัมผัส
มันได้รับข้อความจากภาพว่าแขนลวงกลับมาแล้ว
และในทางกลับกัน มันไม่มีตัวรับสัมผัสที่สอดคล้องกัน
สัญญาณกล้ามเนื่อบอกว่าแขนนั้นไม่มีจริง
และคำสั่งสู่กล้ามเนื้อบอกว่ามันมีแขน
และด้วยความขัดแย้งนี้ สมองจึงบอกว่า ช่างหัวมัน
ไม่มีทั้งแขนปิศาจ ไม่มีทั้งแขนจริงนั่นแหละ
มันเข้าสู่สถานะการไม่ยอมรับ ลบล้างสัญญาณ
และเมื่อแขนหายไปแล้ว
ของแถมคือความเจ็บปวดก็หายไปด้วย
เพราะคุณไม่สามารถมีความเจ็บปวด
ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศได้
และนั่นเป็นของแถม
เทคนิคนี้ ได้ถูกทดลองกับคนไข้จำนวนมาก
โดยกลุ่มวิจัยอื่นๆ ในเฮลซิงกิ
ดังนั้นมันจึงพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นการรักษา
ที่จำเป้นสำหรับความเจ็บปวดลวง
และอันที่จริงแล้ว ผู้คนยังทดลองมัน
กับการพักฟืนจากเส้นเลือดในสมองอุดตัน
อาการเส้นเลือดในสมองอุดตันที่ปกติแล้ว
คุณคิดว่าเป็นความบาดเจ็บของเส้นประสาท
คุณทำอะไรกับมันไม่ได้
แต่มันกลายเป็นว่า บางส่วนของอัมพาตจาก
เส้นเลือดในสมองอุตันนั้นเกิดจากการเรียนรู้
และบางทีส่วนที่ว่านั้นอาจแก้ไขได้
โดยการใช้กระจก
กรณีนี้ก็เช่นกันได้ถูกไปใช้แล้วในการทดลองทางคลินิก
เพื่อช่วยเหลือคนไข้จำนวนมาก
โอเค ผมขอเปลี่ยนหัวข้อไปยัง
ส่วนที่สามของการบรรยายของผม
ซึ่งเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์แปลกๆ
ที่เรียกว่าซินเนสทีเซีย (synesthesia)
มันถูกค้นพบโดย ฟรานซิส แกลตัน (Francis Galton)
ในศตวรรษ์ที่ 19
เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ ชาลส์ ดาร์วิน
เขาชี้ให้เห็นว่าบางคนในกลุ่มประชากร
ผู้ซึ่งดูปกติในเรื่องอื่นๆ จะมีอาการดังนี้
ทุกครั้งที่เขาเห็นตัวเลข มันเป็นสี
ห้าคือสีน้ำเงิน เจ็ดคือสีเหลือง แปดคือสีตองอ่อน
เก้าคือสีคราม
โปรดระลึกว่า คนเหล่านี้
เป็นคนปกติดีทุกอย่างในเรื่องอื่นๆ
หรือ บางครั้งโน้ตเสียงเป็นตัวกระตุ้นสี
ซีชาร์ปเป็นสีน้ำเงิน เอฟชาร์ปเป็นสีเขียว
โน้ตอื่นๆ อาจเป็นสีเหลือง
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
อาการนี้เรียกว่าซินเนสทีเซีย
แกลตันเรียกมันว่าซินเนสทีเซีย
การผสมปนเปของประสาทรับรู้
ในพวกเรา ประสาทรับรู้ทุกอย่างนั้นแยกกันเด็ดขาด
แต่คนเหล่านี้มีประสาทสัมผัสผสมกันปนเป
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้
หนึ่งในสองแง่ของปัญหานี้น่าสนใจมาก
ซินเนสทีเซียถ่ายทอดกันในตระกูล
ดังนั้น แกลตันจึงกล่าวว่านี่เป็น
อาการที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
แง่ที่สอง ซินเนสทีเซียเกี่ยวข้องกับ --
และนี่จะโยงไปสู่ประเด็นของผม
เกี่ยวข้องกับใจความหลักของบรรยายครั้งนี้
ซึ่งเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์
ซินเนสทีเซียนั้นพบบ่อยเป็น 8 เท่า
ในกลุ่มศิลปิน กวี นักประพันธ์
และคนอื่นๆ ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์
มากกว่าในคนทั่วไป
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
ผมกำลังจะตอบคำถามนั้น
มันไม่เคยได้รับคำตอบมาก่อน
เอาล่ะ อะไรคือซินเนสทีเซีย ? อะไรเป็นสาเหตุ ?
มีหลายทฤษฎีที่ใช้อธิบาย
ทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า คนเหล่านี้ก็แค่เป็นบ้า
นั่นไม่ใช่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์สักเท่าไหร่
เราลืมมันไปได้เลย
อีกทฤษฎีกล่าวว่า พวกนี้คือพวกติดยา พวกพี้กัญชา
บางทีอาจมีความจริงอยู่บ้าง
เพราะมันพบบ่อยมากในย่าน เบย์ แอเรีย
มากกว่าในซานดิเอโก
(เสียงหัวเราะ)
ทฤษฎีที่สาม กล่าวว่า --
เอาล่ะ ลองถามตัวเราเองก่อนว่าเกิดอะไรขึน
เมื่อเกิดซินเนสทีเซีย ตกลงไหมครับ?
เราพบว่า สมองส่วนประมวลสี และส่วนประมวลตัวเลขนั้น
อยู่ติดกันในสมอง ในฟิวซิฟอร์มไจรัส
เราเชื่อว่า มันเกิดการเชื่อมโยงที่ผิดพลาด
ข้ามกันไปมาระหว่างสีและตัวเลขในสมอง
ดังนั้น ทุกครั้งที่คุณเห็นตัวเลข
คุณจะเห็นสีที่สอดคล้องกันด้วย
และนั่นทำให้คุณเป็นซินเนสทีเซีย
ทีนี้โปรดจำว่า -- ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?
ทำไมถึงมีการเชื่อมโยงผิดพลาดในเฉพาะบางคน
จำไว้ว่า ผมบอกว่ามันสืบทอดในตระกูล
นั่นเป็นคำบอกใบ้คุณ
ว่ามียีนผิดปกติอยู่ตัวหนึ่ง
ยีนตัวหนึ่งที่กลายพันธุ์และเป็นสาเหตุ
ของการเชื่อมโยงข้ามกันที่ผิดปกติ
ในพวกเราทุกคนนั้น
ปรากฏว่าเราเกิดมาด้วยสภาพที่
ทุกอย่างเชื่อมโยงกับทุกอย่าง
ทุกส่วนในสมองเชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆ ทุกส่วน
และมันจะค่อยๆ ถูกตัดออก
เพื่อสร้างโครงสร้างของสมองผู้ใหญ่
ดังนั้น ถ้ามียีนตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่ตัดการเชื่อมโยงนี้
และถ้ายีนนั้นเกิดกลายพันธุ์
ดังนั้นคุณจะได้การตัดการเชื่อมโยงที่ผิดพลาด
ระหว่างสองส่วนในสมอง
และถ้ามันเกิดขึ้นระหว่างตัวเลขและสี
คุณจะได้ซินเนสทีเซียประเภทสีและตัวเลข
และถ้าเป็นระหว่างโทนเสียงและสี
คุณจะได้ซินเนสทีเซียประเภทเสียงและสี
ฟังดูดีใช่ไหมครับ
ทีนี้ ถ้ายีนตัวนี้ทำงานทุกๆที่ในสมอง
ดังนั้นทุกอย่างในสมองจะถูกเชื่อมโยงข้ามกันหรือเปล่า?
ลองนึกถึงสิ่งที่ศิลปิน นักประพันธ์
และกวีล้วนมีเหมือนกัน
นั่นคือความสามารถในการคิดแบบอุปมาเปรียบเปรย
เชื่อมโยงแนวคิดที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกันเลย
เช่น "นั่นคือทิศบูรพาและจูเลียตเป็นดั่งดวงอาทิตย์"
คุณคงไม่พูดว่า จูเลียตเป็นดั่งดวงอาทิตย์
นั่นแปลว่า จูเลียตคือลูกไฟดวงใหญ่หรือเปล่า
คนเป็นโรคจิตเภทอาจเห็นแบบนั้น
แต่นั่นมันคนละเรื่องกันนะครับ
คนปกติจะบอกว่า เธอนั้นอบอุ่นเหมือนดวงอาทิตย์
เธอเปล่งประกายเหมือนดวงอาทิตย์
เธออ่อนโยนเหมือนดวงอาทิตย์
ในทันใดนั้น คุณมองเห็นความเชื่อมโยง
ทีนี้ ถ้าคุณสมมติว่ามีการเชื่อมโยงที่มากกว่านั้น
และแนวคิดคือมันเกิดขึ้นกับส่วนอื่นๆของสมองด้วย
ทีนี้มันก็จะก่อให้เกิดแนวโน้มที่สูงขึ้น
ที่จะมีความคิดแบบอุปมาอุปมัย และความคิดสร้างสรรค์
ในผู้คนที่เป็นซิเนสทีเซีย
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราพบรายงาน
ผู้เป็นซิเนสทีเซียบ่อยเป็น 8 เท่า
ในกลุ่มกวี ศิลปิน และนักประพันธ์
เอาหล่ะ นี่คือมุมมองของซินเนสทีเซีย
ในเชิงการทำนายจากลักษณะสมอง
การสาธิตสุดท้าย ผมขอสักนาทีนึงนะครับ
(เสียงปรบมือ)
ผมจะแสดงให้คุณดูว่าทุกคนเป็นซินเนสทีเซีย
แต่พวกคุณปฏิเสธมัน
นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่าตัวอักษรภาษามนุษย์ดาวอังคาร
มันคล้ายๆกับตัวอักษรของคุณแหล่ะครับ
เอ คือ เอ บี คือ บี ซี คือ ซี
รูปร่างต่างกัน ก็ออกเสียงต่างกัน
ทีนี้ คุณมีตัวอักษรชาวดาวอังคาร
ตัวหนึ่งชื่อ กิกี้ อีกตัวชื่อ โบบ้า
ตัวไหนชื่อ กิกี้ และตัวไหนชื่อ โบบ้า ครับ
มีใครบ้างคิดว่า นั่นคือ กิกี้
และนั้นคือ โบบ้า ยกขึ้นมือครับ
เอาหล่ะ มีมนุษย์กลายพันธุ์อยู่คนสองคน
(เสียงหัวเราะ)
มีใครบ้างคิดว่า นั่นคือ โบบ้า
และนั้นคือ กิกี้ ยกมือขึ้นครับ
99% ของพวกคุณ
และไม่มีใครเป็นชาวดาวอังคาร แล้วคุณรู้ได้อย่างไร
นั่นเป็นเพราะทุกคนกำลังทำ
การสรุปเชิงนามธรรมข้ามประสาทรับรู้
(cross-modal synesthetic abstraction)
หมายถึงว่าคุณกำลังคิดว่า เสียงแหลมๆ กิ กิ้
ในประสาทหูของคุณ เหล่าเซลล์ขนก็ถูกกระตุ้น -- กิ กิ้
คล้ายกับภาพที่เห็น ภาพการหักมุมของภาพหยักๆ นั้น
นี่สำคัญมาก เพราะมันกำลังบอกคุณว่า
สมองคุณกำลังใช้วิธีคิดแบบเก่าแก่
มันแค่ มันเหมือนภาพลวงตาโง่ๆ
แต่โฟตอนในตาคุณสร้างภาพแบบนี้
และเซลล์ขนในหูคุณถูกกระตุ้นด้วยรูปแบบของเสียง
แต่สมองสามารถเพียงแค่ดึงเอาสิ่งที่โดดเด่นที่เหมือนกัน
มันคือรูปแบบเก่าแก่ของการสรุปแบบนามธรรม
ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันเกิดขึ้นในส่วน
ฟิวซิฟอร์ม ไจรัสของสมอง
เพราะเมื่อมันถูกทำลาย
คนเหล่านั้นจะเสียความสามารถ
ในการคิดเรื่อง โบบ้า กิกิ้
แถมยังเสียความสามารถในการคิดอุปมาเปรียบเปรย
ถ้าคุณถาม "ทุกอย่างที่เป็นประกาย ไม่ใช่ทองเสมอไป"
[สำนวน: ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างทีเห็น]
มันแปลว่าอะไร ?
คนไข้จะบอกว่า "ถ้ามันเป็นโลหะและสะท้อนแสงได้
มันไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นทอง
คุณจะต้องวัดความถ่วงจำเพาะด้วย รู้ไหม"
พวกเขาหลงประเด็นเรื่องความหมายเชิงอุปมา
สมองส่วนนี้ใหญ่เป็นแปดเท่าในสัตว์ตระกูลลิงชั้นสูง
โดยเฉพาะในมนุษย์
เมื่อเทียบกับสัตว์ตระกูลลิงชั้นล่างๆ
บางสิ่งที่น่าสนใจมากกำลังเกิดขึ้นใน
แองกูลาร์ไจรัส (angular gyrus)
เพราะมันคือถนนข้ามแดนระหว่างการได้ยิน
การมองเห็น และสัมผัส
มันใหญ่มหึมาในมนุษย์ และบางสิ่งที่น่าสนใจก็เกิดขึ้น
และผมคิดว่า มันเป็นพื้นฐาน
ของความสามารถพิเศษในมนุษย์
เช่น คิดเชิงนามธรรม การอุปมาเปรียบเทียบ
และความคิดสร้างสรรค์
คำถามหลากหลายที่เหล่านักปราชญ์
ได้ศึกษามาเป็นพันปี
พวกเรานักวิทยาศสาสตร์
สามารถเริ่มค้นคว้าโดยการใช้ภาพถ่ายสมอง
โดยการศึกษาคนไข้ และถามคำถามที่ถูก
ขอบคุณครับ
(เสียงปรบมือ)
ขอโทษด้วยครับ
(เสียงหัวเราะ)