1 00:00:00,920 --> 00:00:02,604 ทุกอย่างถือกำเนิดขึ้นมา 2 00:00:02,628 --> 00:00:04,930 ในบาร์มืด ๆ ในกรุงมาดริด 3 00:00:05,023 --> 00:00:09,247 ผมพบกับเพื่อนร่วมงานของผม ไมเคิล มีนี จากแมคกิล 4 00:00:09,271 --> 00:00:11,576 เราก็ดื่มเบียร์กันไปนิดหน่อย 5 00:00:11,600 --> 00:00:13,653 และเหมือนกับที่นักวิทยาศาสตร์ทำ ๆ กัน 6 00:00:13,677 --> 00:00:16,093 เขาเล่าเรื่องงานให้ผมฟัง 7 00:00:16,304 --> 00:00:23,258 และเขาบอกผมว่า เขาสนใจว่า แม่หนูเลียลูกเล็ก ๆ ของมัน 8 00:00:23,282 --> 00:00:25,632 หลังจากที่พวกมันเกิดอย่างไร 9 00:00:25,656 --> 00:00:28,075 และผมก็นั่งอยู่ตรงนั้นและพูดว่า 10 00:00:28,099 --> 00:00:31,099 "ภาษีของผมถูกผลาญไปกับเรื่อง -- 11 00:00:31,123 --> 00:00:32,157 (เสียงหัวเราะ) 12 00:00:32,181 --> 00:00:35,539 สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาอะไรเนี่ยนะ" 13 00:00:35,835 --> 00:00:38,332 และเขาก็เริ่มบอกผมว่า 14 00:00:38,356 --> 00:00:41,756 หนู ก็เหมือนกับมนุษย์ 15 00:00:41,780 --> 00:00:44,226 พวกมันเลียขนลูก ๆ ในแบบที่แตกต่างกัน 16 00:00:44,250 --> 00:00:46,985 แม่บางตัวเลียขนลูกมาก 17 00:00:47,009 --> 00:00:49,214 บางตัวก็เลียน้อย 18 00:00:49,238 --> 00:00:51,668 และส่วนใหญ่ก็เลียแบบกลางๆ 19 00:00:51,867 --> 00:00:53,768 แต่ที่น่าสนใจก็คือ 20 00:00:53,792 --> 00:00:58,710 เมื่อเขาติดตามลูกหนูพวกนี้ ตอนที่มันโตเต็มวัย 21 00:00:58,734 --> 00:01:02,913 เทียบได้กับหลายปีต่อมาในช่วงชีวิตมนุษย์ นานหลังจากที่แม่ของพวกมันตายไปแล้ว 22 00:01:02,937 --> 00:01:05,005 พวกมันกลายเป็นสัตว์ที่ไม่เหมือนเดิมเลย 23 00:01:05,029 --> 00:01:09,402 หนูที่ถูกแม่เลียขนและดูแลอย่างมาก 24 00:01:09,426 --> 00:01:12,048 การเลียขนและดูแลอย่างมากนั้น 25 00:01:12,059 --> 00:01:13,983 ทำให้พวกมันไม่เครียด 26 00:01:14,022 --> 00:01:16,271 พวกมันมีพฤติกรรมทางเพศที่ต่างออกไป 27 00:01:16,295 --> 00:01:19,250 พวกมันมีรูปแบบการดำเนินชีวิต ที่แตกต่างออกไป 28 00:01:19,274 --> 00:01:25,704 จากพวกหนู ที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างมากจากแม่ของมัน 29 00:01:25,934 --> 00:01:29,098 แล้วผมก็มาคิดดู 30 00:01:29,122 --> 00:01:30,954 นี่มันเวทย์มนต์หรือเปล่า 31 00:01:31,002 --> 00:01:32,371 มันเกิดขึ้นได้อย่างไร 32 00:01:32,395 --> 00:01:35,294 นักพันธุศาสตร์อยากให้คุณคิดว่า 33 00:01:35,390 --> 00:01:39,362 บางทีแม่อาจมียีน "แม่แย่ ๆ " 34 00:01:39,386 --> 00:01:43,023 ที่ทำให้ลูกของพวกมันมีความเครียด 35 00:01:43,047 --> 00:01:45,594 และจากนั้น มันก็ส่งต่อ จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่น 36 00:01:45,618 --> 00:01:48,318 ทั้งหมดนี้ถูกกำหนดโดยพันธุกรรม 37 00:01:48,342 --> 00:01:51,836 หรือมันเป็นไปได้ว่ามีอะไรอย่างอื่นเกิดขึ้น 38 00:01:51,860 --> 00:01:55,431 ในหนู เราสามารถตั้งคำถามนี้ และหาคำตอบได้ 39 00:01:55,455 --> 00:01:59,060 สิ่งที่เราทำก็คือ ทำการทดสอบการเลี้ยงดูแบบไขว้ 40 00:01:59,084 --> 00:02:03,839 เราแยกเจ้าลูกหนูพวกนี้ ตั้งแต่ตอนที่มันเกิด 41 00:02:03,863 --> 00:02:05,730 ไปให้แม่บุญธรรมสองกลุ่ม 42 00:02:05,754 --> 00:02:09,082 ไม่ใช่แม่จริง ๆ แต่เป็นแม่ที่จะเลี้ยงดูพวกมัน 43 00:02:09,106 --> 00:02:11,360 แม่ที่เลียขนลูกมาก และแม่ที่เลียขนลูกน้อย 44 00:02:11,384 --> 00:02:15,592 และคุณก็ทำในแบบตรงข้ามกัน กับลูกหนูที่ถูกเลียน้อย 45 00:02:15,658 --> 00:02:18,081 คำตอบที่น่าทึ่งก็คือ 46 00:02:18,105 --> 00:02:22,144 ไม่สำคัญเลยว่า ยีนใดที่คุณได้มาจากแม่ 47 00:02:22,168 --> 00:02:27,916 ไม่ใช่แม่แท้ ๆ หรอก ที่เป็นตัวกำหนดคุณสมบัตินี้ในลูกหนู 48 00:02:27,940 --> 00:02:32,746 แต่เป็นแม่ที่เลี้ยงดูพวกลูกหนูต่างหาก 49 00:02:32,771 --> 00:02:36,486 แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร 50 00:02:36,921 --> 00:02:38,724 ผมเป็นนักอีพีเจเนติกส์ 51 00:02:38,748 --> 00:02:42,420 ผมสนใจว่ายีนพวกนี้ถูกทำเครื่องหมาย 52 00:02:42,444 --> 00:02:44,160 โดยการใช้เครื่องหมายทางเคมีได้อย่างไร 53 00:02:44,184 --> 00:02:48,989 ระหว่างการพัฒนาเป็นตัวอ่อน (Embryogenesis) ในช่วงที่พวกเราอยู่ในครรภ์มารดา 54 00:02:49,013 --> 00:02:51,492 และตัดสินว่ายีนใดจะถูกแสดงออก 55 00:02:51,516 --> 00:02:52,698 ในเนื้อเยื่อใด 56 00:02:52,722 --> 00:02:57,512 ยีนที่แตกต่างกันถูกแสดงออกในสมอง แทนที่จะถูกแสดงออกในตับและตา 57 00:02:57,718 --> 00:03:00,557 และเราก็คิดว่า มันจะเป็นไปได้ไหม 58 00:03:00,581 --> 00:03:07,528 ที่แม่วางกฏเกณฑ์ใหม่ให้กับยีนของลูก ในทางใดทางหนึ่ง 59 00:03:07,552 --> 00:03:09,101 ผ่านพฤติกรรมของมัน 60 00:03:09,125 --> 00:03:10,736 เราใช้เวลา 10 ปี 61 00:03:10,760 --> 00:03:14,801 แล้วก็พบว่ามีเหตุการณ์ทางเคมีชีวภาพ ที่ส่งต่อกันเป็นทอด ๆ 62 00:03:14,825 --> 00:03:18,268 ซึ่งการเลียและการตกแต่งขน การดูแลของแม่ 63 00:03:18,292 --> 00:03:20,775 ถูกแปลเป็นสัญญาณเคมีชีวภาพ 64 00:03:20,799 --> 00:03:24,110 ที่จะเข้าไปยังนิวเคลียสและดีเอ็นเอ 65 00:03:24,134 --> 00:03:26,212 และกำหนดเกณฑ์มันให้แตกต่างออกไป 66 00:03:26,236 --> 00:03:31,132 เพื่อให้สัตว์พวกนี้เตรียมพร้อมสำหรับการใช้ชีวิต 67 00:03:31,156 --> 00:03:33,777 ชีวิตจะแร้นแค้นหรือเปล่า 68 00:03:33,801 --> 00:03:35,563 หรือว่าจะมีอาหารอุดมสมบูรณ์ 69 00:03:35,587 --> 00:03:38,112 จะมีแมวและงูอยู่มากไหม 70 00:03:38,136 --> 00:03:40,459 หรือฉันจะอยู่ในเขตชุมชนชั้นสูง 71 00:03:40,483 --> 00:03:43,190 ที่ฉันก็แค่ทำตัวให้เหมาะสมดูดี 72 00:03:43,214 --> 00:03:46,939 แล้วฉันก็จะได้รับการยอมรับนับหน้าถือตา 73 00:03:46,978 --> 00:03:52,569 ตอนนี้คงนึกกันออกแล้วนะครับว่า กระบวนการนี้มีความสำคัญขนาดไหน 74 00:03:52,593 --> 00:03:53,768 สำหรับชีวิตของเรา 75 00:03:53,792 --> 00:03:57,384 เราได้รับดีเอ็นเอตกทอดมาจากบรรพบุรุษ 76 00:03:57,424 --> 00:03:59,340 ดีเอ็นเอนั่นเก่าแก่ 77 00:03:59,364 --> 00:04:01,822 มันเจริญขึ้นตามวิวัฒนาการ 78 00:04:01,938 --> 00:04:06,271 แต่มันไม่ได้บอกเรา ว่าหากเราเกิดในกรุงสต๊อกโฮล์ม 79 00:04:06,295 --> 00:04:09,681 ที่ที่กลางวันยาวนานในฤดูร้อน และสั้นในฤดูหนาว 80 00:04:09,705 --> 00:04:11,010 หรือในเอกวาดอร์ 81 00:04:11,034 --> 00:04:14,567 ที่ที่จำนวนชั่วโมงในตอนกลางวัน และกลางคืนเท่ากันตลอดทั้งปี 82 00:04:14,591 --> 00:04:19,136 และนั่นก็มีผลกระทบอย่างมาก ต่อสรีรวิทยาของเรา 83 00:04:19,489 --> 00:04:23,725 ฉะนั้น เราจึงเสนอว่า บางที อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของชีวิต 84 00:04:23,749 --> 00:04:25,916 สัญญาณเหล่านั้นที่ส่งผ่านมาจากแม่ 85 00:04:25,940 --> 00:04:30,455 บอกกับเด็กว่า สังคมแบบไหน ที่พวกเขากำลังจะอาศัยอยู่ 86 00:04:30,479 --> 00:04:33,879 มันจะแร้นแค้น และคุณควรจะตื่นตัวและเครียด 87 00:04:33,903 --> 00:04:37,026 หรือมันจะเป็นโลกที่เรียบง่าย และคุณจะต้องทำตัวให้แตกต่าง 88 00:04:37,050 --> 00:04:40,240 จะเป็นโลกที่มีแสงมากหรือน้อย 89 00:04:40,264 --> 00:04:44,249 จะเป็นโลกที่มีอาหารมากหรือน้อย 90 00:04:44,273 --> 00:04:45,797 หรือถ้าไม่มีอาหารอยู่ใกล้ ๆ 91 00:04:45,821 --> 00:04:50,437 คุณก็ควรที่จะพัฒนาสมอง ให้สั่งให้กินเยอะๆ เมื่อเห็นอาหาร 92 00:04:50,461 --> 00:04:56,337 หรือเก็บอาหารทุกหยาดหยด ที่กินเข้าไปในรูปของไขมัน 93 00:04:56,819 --> 00:04:58,249 นี่เป็นสิ่งที่ดี 94 00:04:58,253 --> 00:05:00,180 วิวัฒนาการเลือกสิ่งนี้ 95 00:05:00,180 --> 00:05:05,070 เพื่อทำให้ดีเอ็นเอที่ไม่ยืดหยุ่นและเก่าแก่ของเรา ทำหน้าที่แบบยืดหยุ่นได้ 96 00:05:05,074 --> 00:05:07,337 ในสิ่งแวดล้อมใหม่ 97 00:05:07,337 --> 00:05:10,440 แต่ในบางครั้ง บางอย่างก็เกิดผิดพลาด 98 00:05:10,706 --> 00:05:14,568 ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเกิดมาในครอบครัวยากจน 99 00:05:14,592 --> 00:05:17,521 และสัญญาณบอกคุณว่า "คุณจะต้องกินไม่ยั้ง 100 00:05:17,525 --> 00:05:20,754 กินอาหารที่เจอเข้าไปให้เกลี้ยง" 101 00:05:20,754 --> 00:05:23,030 แต่ตอนนี้ มนุษย์เราและสมองของเรา ได้มีวิวัฒนาการ 102 00:05:23,030 --> 00:05:25,150 ได้เปลี่ยนให้วิวัฒนาการเร็วขึ้นกว่าเก่า 103 00:05:25,150 --> 00:05:28,538 ตอนนี้คุณใช้เงินแค่หนึ่งดอลลาร์ ก็ซื้อเบอร์เกอร์ได้ 104 00:05:28,538 --> 00:05:34,978 ดังนั้น การเตรียมตัว ที่เราได้มาจากแม่ของเรา 105 00:05:34,982 --> 00:05:38,264 กลับกลายเป็นการปรับตัวที่ไม่เหมาะสม 106 00:05:38,281 --> 00:05:42,558 การเตรียมตัวแบบเดียวกันนี้ ที่ควรช่วยปกป้องเราจากความหิวโหยและอดอยาก 107 00:05:42,568 --> 00:05:45,039 กำลังจะทำให้เราเป็นโรคอ้วน 108 00:05:45,039 --> 00:05:48,679 มีปัญหาหลอดเลือดหัวใจ และโรคที่เกี่ยวข้องกับเมตาบอลิซึม 109 00:05:48,679 --> 00:05:52,168 เพราะฉะนั้น แนวคิดที่ว่า ยีนอาจถูกติดฉลากโดยประสบการณ์ของเรา 110 00:05:52,168 --> 00:05:54,483 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประสบการณ์ช่วงแรก ๆ ของชีวิต 111 00:05:54,487 --> 00:05:57,331 ทำให้ได้คำอธิบาย ที่ทั้งเรื่องสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บ 112 00:05:57,331 --> 00:06:00,628 สามารถใช้ร่วมกันได้ 113 00:06:00,628 --> 00:06:03,000 แต่มันเป็นจริงแค่กับหนูหรือเปล่า 114 00:06:03,000 --> 00:06:05,976 ปัญหาก็คือ เราไม่สามารถ ทำการทดสอบในมนุษย์ได้ 115 00:06:05,976 --> 00:06:10,122 เพราะตามจริยธรรมแล้ว เราไม่สามารถสุ่มเลือกเคราะห์กรรมให้เด็กแต่ละคนได้ 116 00:06:10,122 --> 00:06:13,440 หากเด็กยากจนพัฒนาคุณลักษณะบางอย่าง 117 00:06:13,440 --> 00:06:17,193 เราไม่อาจรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะความอดอยาก 118 00:06:17,197 --> 00:06:20,061 หรือเกิดขึ้น เพราะคนจนมียีนที่ไม่ดีหรือเปล่า 119 00:06:20,061 --> 00:06:23,190 ฉะนั้น นักพันธุศาสตร์ จะพยายามบอกคุณว่า คนจนนั้นจน 120 00:06:23,190 --> 00:06:25,260 เพราะว่ายีนของพวกเขาทำให้พวกเขาจน 121 00:06:25,264 --> 00:06:27,244 นักอีพิเจเนติกส์จะบอกคุณว่า 122 00:06:27,248 --> 00:06:31,388 คนจนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี หรือสิ่งแวดล้อมที่ยากจน 123 00:06:31,388 --> 00:06:35,586 ซึ่งสร้างให้เกิดลักษณะปรากฏ (Phenotype) ของความยากจนและเกิดคุณลักษณะยากจนนั้น 124 00:06:35,586 --> 00:06:42,078 เราจึงลองไปศึกษากัน ในญาติของเรา ซึ่งก็คือลิง 125 00:06:42,088 --> 00:06:45,801 เพื่อนร่วมงานของผม สตีเฟน ซุโอมี่ ได้เลี้ยงดูลิง 126 00:06:45,805 --> 00:06:46,996 ด้วยสองวิธีการที่แตกต่างกัน 127 00:06:46,996 --> 00:06:49,921 สุ่มแยกลิงจากแม่ 128 00:06:49,921 --> 00:06:52,537 เลี้ยงดูพวกมันด้วยพยาบาล 129 00:06:52,537 --> 00:06:55,484 และสภาวะที่ใช้แม่เทียม 130 00:06:55,484 --> 00:06:58,179 ฉะนั้น ลิงเหล่านี้จึงไม่มีแม่ลิง พวกมันมีแต่พยาบาล 131 00:06:58,189 --> 00:07:02,829 ส่วนลิงอีกพวกหนึ่งถูกเลี้ยงดู โดยแม่ตามปกติธรรมชาติ 132 00:07:02,833 --> 00:07:07,543 เมื่อพวกมันมีอายุมากขึ้น มันกลายเป็นสัตว์ที่ไม่เหมือนเดิมเลย 133 00:07:07,543 --> 00:07:10,660 ลิงที่มีแม่ ไม่ดื่มเหล้า 134 00:07:10,660 --> 00:07:12,363 พวกมันไม่มีพฤติกรรมทางเพศที่รุนแรง 135 00:07:12,363 --> 00:07:16,154 ลิงที่ไม่มีแม่นั้นก้าวร้าวและเครียด 136 00:07:16,154 --> 00:07:18,468 และติดเหล้า 137 00:07:18,468 --> 00:07:23,958 เราศึกษาดีเอ็นเอของพวกมัน หลังจากพวกมันเพิ่งเกิด เพื่อดูว่า 138 00:07:23,958 --> 00:07:26,749 เป็นไปได้หรือไม่ ที่แม่จะเป็นผู้ทำเครื่องหมาย 139 00:07:26,749 --> 00:07:32,121 มีลักษณะเฉพาะตัวของแม่ ในดีเอ็นเอของลูกหรือเปล่า 140 00:07:32,121 --> 00:07:34,413 นี่คือลิงอายุ 14 วัน 141 00:07:34,417 --> 00:07:38,507 และที่คุณเห็นอยู่ตรงนี้ คือวิธีการใหม่ในการศึกษาอีพีเจเนติกส์ 142 00:07:38,507 --> 00:07:43,230 ตอนนี้เราสามารถระบุตำแหน่งเครื่องหมายเชิงเคมี ซึ่งเราเรียกมันว่า เครื่องหมายเมทิเลชัน 143 00:07:43,230 --> 00:07:46,476 ทำบนดีเอ็นเอที่ความคมชัดหนึ่งนิวคลีโอไทด์ 144 00:07:46,476 --> 00:07:48,377 เราสามารถระบุตำแหน่งได้ทั้งจีโนม 145 00:07:48,377 --> 00:07:51,474 เราสามารถเปรียบเทียบ ลิงที่มีแม่หรือไม่มีได้ 146 00:07:51,478 --> 00:07:53,446 และนี่คือการนำเสนอด้วยภาพ ของกระบวนการนี้ 147 00:07:53,446 --> 00:07:58,213 ที่คุณกำลังดูอยู่นี้คือยีน ที่ถูกเมทิเลตมากกว่า เป็นสีแดง 148 00:07:58,217 --> 00:08:01,245 ยีนที่ถูกเมทิเลตน้อยกว่า จะเป็นสีเขียว 149 00:08:01,245 --> 00:08:03,759 คุณจะเห็นว่ายีนมากมายกำลังเปลี่ยนแปลง 150 00:08:03,763 --> 00:08:06,497 เพราะว่าการไม่มีแม่ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเล็กน้อย 151 00:08:06,501 --> 00:08:08,052 มันส่งผลกับทุกอย่าง 152 00:08:08,076 --> 00:08:11,584 มันส่งสัญญาณเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าโลกของคุณจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร 153 00:08:11,608 --> 00:08:13,361 เมื่อคุณกลายเป็นผู้ใหญ่ 154 00:08:13,371 --> 00:08:15,842 และคุณจะเห็นว่า ลิงสองกลุ่มนี้ 155 00:08:15,842 --> 00:08:19,396 ได้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน 156 00:08:19,396 --> 00:08:22,091 มันเกิดขึ้นเร็วแค่ไหนหรือ 157 00:08:22,091 --> 00:08:24,321 ลิงพวกนี้ไม่มีแม่มาก่อน 158 00:08:24,321 --> 00:08:26,044 จากนั้นพวกมันจึงมีประสบการณ์ทางสังคม 159 00:08:26,044 --> 00:08:31,133 เราสัมผัสได้ถึงสถานะทางสังคม ตั้งแต่ตอนที่เราเกิดเลยหรือเปล่า 160 00:08:31,133 --> 00:08:35,210 ในการทดลองนี้ เราจึงนำรกของลิง 161 00:08:35,210 --> 00:08:37,711 ที่มีสถานะทางสังคมแตกต่างกันมา 162 00:08:37,711 --> 00:08:43,082 สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับระดับชั้นทางสังคม ก็คือในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมด 163 00:08:43,096 --> 00:08:46,344 พวกมันจะจัดตำแหน่งตัวเอง ในแบบที่ลดหลั่นกันมา 164 00:08:46,345 --> 00:08:48,573 ลิงหมายเลขหนึ่ง คือหัวหน้า 165 00:08:48,573 --> 00:08:50,925 ลิงหมายเลขสี่ คือผู้รับใช้ 166 00:08:50,925 --> 00:08:53,388 เรานำลิงทั้งสี่มาใส่ในกรง 167 00:08:53,388 --> 00:08:57,453 มันจะมีหัวหน้าและผู้รับใช้เสมอ 168 00:08:57,453 --> 00:09:01,316 และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ ลิงหมายเลขหนึ่ง 169 00:09:01,320 --> 00:09:04,802 มีสุขภาพที่ดีกว่าลิงหมายเลขสี่ 170 00:09:04,802 --> 00:09:06,600 และถ้าคุณเอาพวกมันใส่ในกรง 171 00:09:06,604 --> 00:09:11,341 ลิงหมายเลขหนึ่งจะไม่กินอะไรมาก 172 00:09:11,341 --> 00:09:14,112 ลิงหมายเลขสี่จะกินเยอะเลย 173 00:09:14,129 --> 00:09:18,432 และที่คุณเห็นอยู่นี่ การระบุตำแหน่งเมทิเลชัน 174 00:09:18,432 --> 00:09:21,195 คือการแบ่งแยกอย่างมากตั้งแต่เกิด 175 00:09:21,195 --> 00:09:23,969 ระหว่างสัตว์ที่มีสถานะทางสังคมสูง 176 00:09:23,969 --> 00:09:27,357 กับสัตว์ที่ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูง 177 00:09:27,357 --> 00:09:31,600 ฉะนั้น เมื่อเราเกิดมา เราก็ได้รับรู้ถึงข้อมูลทางสังคมแล้ว 178 00:09:31,604 --> 00:09:34,677 และข้อมูลทางสังคมนั้น ก็ไม่ได้ดีหรือร้าย 179 00:09:34,687 --> 00:09:36,130 มันแค่เตรียมเราให้พร้อมสำหรับชีวิต 180 00:09:36,130 --> 00:09:40,395 เพราะว่าเราจะต้องกำหนดเกณฑ์ ทางชีววิทยาของเราให้แตกต่างกันออกไป 181 00:09:40,395 --> 00:09:44,340 ถ้าเราอยู่ในสถานะทางสังคมที่สูงหรือต่ำ 182 00:09:44,340 --> 00:09:46,717 แต่เราจะศึกษาสิ่งนี้ในมนุษย์ได้อย่างไร 183 00:09:46,717 --> 00:09:50,188 เราไม่สามารถทำการทดลองได้ เราไม่สามารถกำหนดชะตากรรมให้มนุษย์ได้ 184 00:09:50,188 --> 00:09:52,805 แต่พระเจ้าได้ทำการทดลองกับมนุษย์ 185 00:09:52,805 --> 00:09:55,097 และมันมีชื่อว่า ภัยธรรมชาติ 186 00:09:55,111 --> 00:09:59,391 หนึ่งในภัยทางธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุด ในประวัติศาสตร์ของแคนาดา 187 00:09:59,395 --> 00:10:01,835 เกิดขึ้นในแคว้นควิเบคที่ผมอาศัยอยู่ 188 00:10:01,835 --> 00:10:04,272 ซึ่งนั่นก็คือ พายุหิมะในปี ค.ศ. 1998 189 00:10:04,272 --> 00:10:08,056 เราถูกตัดขาดจากระบบการจ่ายไฟฟ้าทั้งหมด เพราะพายุน้ำแข็ง 190 00:10:08,080 --> 00:10:11,077 และนั่นเป็นตอนที่อุณหภูมิ อยู่ในช่วงที่หนาวที่สุดของฤดูหนาว 191 00:10:11,101 --> 00:10:13,050 ก็คือ ลบ 20 ถึง ลบ 30 องศา 192 00:10:13,074 --> 00:10:16,076 และตอนนั้นก็มีผู้หญิงท้อง 193 00:10:16,082 --> 00:10:22,134 เพื่อนร่วมงานของผม ซูซาน คิง ได้ติดตามลูกของคุณแม่กลุ่มนี้ 194 00:10:22,144 --> 00:10:24,572 เป็นเวลา 15 ปี 195 00:10:24,572 --> 00:10:28,795 และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อความเครียดเพิ่มขึ้น -- 196 00:10:28,795 --> 00:10:31,463 เรามีเครื่องมือวัดความเครียด ที่ไม่อิงความรู้สึก 197 00:10:31,467 --> 00:10:35,925 คุณอยู่โดยไม่มีไฟฟ้านานแค่ไหน คุณไปอยู่ที่ไหน 198 00:10:35,935 --> 00:10:40,962 คุณอยู่ที่บ้านของแม่สามี หรือในบ้านต่างจังหวัดที่หรูหรา 199 00:10:40,962 --> 00:10:43,624 ทั้งหมดนั้นถูกรวบรวม เป็นระดับความเครียดทางสังคม 200 00:10:43,624 --> 00:10:45,040 ทำให้คุณสามารถตั้งคำถามได้ว่า 201 00:10:45,050 --> 00:10:48,128 เด็กจะเป็นอย่างไร 202 00:10:48,128 --> 00:10:50,776 และปรากฏว่า เมื่อความเครียดเพิ่มขึ้น 203 00:10:50,776 --> 00:10:52,858 เด็กเป็นโรคออทิสติกมากขึ้น 204 00:10:52,858 --> 00:10:55,421 พวกเขาเป็นโรคที่เกี่ยวข้อง กับเมตาบอลิซีมมากขึ้น 205 00:10:55,421 --> 00:10:58,797 และเป็นโรคแพ้ภูมิ (Autoimmune disease) กันมากขึ้น 206 00:10:58,797 --> 00:11:01,231 เราสามารถที่จะระบุตำแหน่งสถานะเมทิเลชันได้ 207 00:11:01,235 --> 00:11:06,803 และอีกครั้ง คุณจะเห็นยีนสีเขียว กลายเป็นสีแดง เมื่อความเครียดเพิ่มขึ้น 208 00:11:06,803 --> 00:11:10,309 ยีนสีแดงกลายเป็นสีเขียว เมื่อความเครียดเพิ่มขึ้น 209 00:11:10,313 --> 00:11:16,743 เป็นการจัดเรียงจีโนมใหม่ทั้งหมด เพื่อตอบสนองต่อความเครียด 210 00:11:17,442 --> 00:11:20,691 ถ้าเราวางกฏเกณฑ์ยีนได้ 211 00:11:20,691 --> 00:11:24,688 ถ้าเราไม่ได้เป็นเพียงแค่ทาส ของประวัติศาสตร์ของยีนของเรา 212 00:11:24,688 --> 00:11:28,100 ถ้ายีนได้ถูกวางกฏเกณฑ์ไว้แล้ว เราจะล้างกฎเกณฑ์นั้นได้ไหม 213 00:11:28,100 --> 00:11:33,675 เพราะว่าอีพิเจเนติกคือต้นเหตุ ที่ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็ง 214 00:11:33,675 --> 00:11:35,492 โรคที่เกี่ยวข้องกับเมตาบอลิซึม 215 00:11:35,492 --> 00:11:38,129 และโรคทางจิตเวช 216 00:11:38,129 --> 00:11:41,613 ลองมาคุยถึงเรื่องการติดโคเคนกัน 217 00:11:41,613 --> 00:11:44,651 การติดโคเคนเป็นภาวะที่แย่มาก 218 00:11:44,655 --> 00:11:49,552 ที่นำไปสู่ความตาย และสูญสิ้นชีวิตมนุษย์ 219 00:11:49,552 --> 00:11:51,510 เราตั้งคำถามว่า 220 00:11:51,510 --> 00:11:54,763 เราจะสามารถวางกฏเกณฑ์ใหม่ ให้กับสมองที่เสพติดได้ไหม 221 00:11:54,763 --> 00:12:00,371 เพื่อให้สัตว์ทดลองนั้นไม่เสพติดอีก 222 00:12:00,377 --> 00:12:04,687 เราใช้แบบจำลองการเสพติดโคเคน 223 00:12:04,687 --> 00:12:06,850 ที่จำลองกระบวนการที่เกิดขึ้นจริงในมนุษย์ 224 00:12:06,850 --> 00:12:09,482 ในมนุษย์ คุณกำลังเป็นเด็กมัธยม 225 00:12:09,486 --> 00:12:11,606 เพื่อนบางคนชวนให้คุณลองเสพโคเคน 226 00:12:11,606 --> 00:12:13,426 คุณก็ลองเสพดู ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย 227 00:12:13,426 --> 00:12:17,651 หลายเดือนผ่านไป บางสิ่งย้ำเตือนคุณ เกี่ยวกับการลองเสพยาครั้งแรก 228 00:12:17,651 --> 00:12:19,295 หลอดยาที่ดันโคเคนเข้าไป 229 00:12:19,309 --> 00:12:22,191 คุณเสพติดมัน และชีวิตของคุณก็เปลี่ยนไป 230 00:12:22,191 --> 00:12:23,831 ในหนู เราทำอย่างเดียวกัน 231 00:12:23,835 --> 00:12:25,450 เพื่อนร่วมงานของผม แกล ยาดิด 232 00:12:25,450 --> 00:12:28,418 เขาฝึกให้สัตว์ทดลองคุ้นเคยกับโคเคน 233 00:12:28,418 --> 00:12:31,616 จากนั้นไม่ให้โคเคน เป็นเวลาหนึ่งเดือน 234 00:12:31,616 --> 00:12:35,326 ต่อมา เขาทำให้พวกมันนึกถึงงานเลี้ยง ที่ได้เห็นโคเคนเป็นครั้งแรก 235 00:12:35,326 --> 00:12:38,146 โดยใช้สีของกรงเป็นนัยบอก ถึงตอนที่พวกมันเห็นโคเคน 236 00:12:38,150 --> 00:12:39,822 แล้วพวกมันก็เกิดบ้าคลั่ง 237 00:12:39,826 --> 00:12:42,393 พวกมันจะกดคันโยกที่เปิดช่องให้อาหาร เพื่อให้ได้โคเคน 238 00:12:42,393 --> 00:12:44,046 จนมันตาย 239 00:12:44,047 --> 00:12:48,474 ตอนแรกพวกเรามั่นใจว่า ความแตกต่างระหว่างสัตว์เหล่านี้ 240 00:12:48,474 --> 00:12:51,235 คือในช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น 241 00:12:51,245 --> 00:12:53,051 ตอนที่ไม่มีการให้โคเคน 242 00:12:53,051 --> 00:12:54,986 อีพีจีโนมของพวกมันถูกจัดเรียงใหม่ 243 00:12:54,986 --> 00:12:57,899 ยีนของพวกมันถูกทำเครื่องหมายใหม่ ในแบบที่ต่างออกไป 244 00:12:57,899 --> 00:13:01,655 และเมื่อมีอะไรที่เตือนความจำ จีโนมของพวกมันก็พร้อม 245 00:13:01,659 --> 00:13:04,568 ที่จะพัฒนาลักษณะปรากฏ ที่เกี่ยวกับการเสพติดนี้ 246 00:13:04,568 --> 00:13:11,405 ฉะนั้น เราให้ยากับสัตว์ทดลอง ที่จะเพิ่มดีเอ็นเอเมทิเลชัน 247 00:13:11,405 --> 00:13:13,613 ซึ่งเป็นเครื่องหมายอีพีเจเนติกส์ที่เราสนใจ 248 00:13:13,613 --> 00:13:17,120 หรือลดการทำเครื่องหมายอีพีเจเนติกส์ 249 00:13:17,120 --> 00:13:20,399 และเราก็พบว่า ถ้าเราเพิ่มเมทิเลชัน 250 00:13:20,399 --> 00:13:22,296 สัตว์เหล่านี้บ้าคลั่งหนักกว่าเดิม 251 00:13:22,300 --> 00:13:24,814 พวกมันอยากโคเคนมากกว่าเดิม 252 00:13:24,814 --> 00:13:28,254 แต่ถ้าเราลดดีเอ็นเอเมทิเลชัน 253 00:13:28,258 --> 00:13:30,402 สัตว์เหล่านี้จะไม่เสพติดโคเคนอีก 254 00:13:30,402 --> 00:13:32,025 เราได้กำหนดกฎเกณฑ์ให้พวกมันใหม่ 255 00:13:32,029 --> 00:13:35,355 และความแตกต่างพื้นฐาน ระหว่างยาอีพีเจเนติกส์ 256 00:13:35,359 --> 00:13:36,685 และยาชนิดอื่น 257 00:13:36,689 --> 00:13:38,891 ก็คือ ด้วยยาอีพีเจเนติกส์ 258 00:13:38,891 --> 00:13:43,037 เราจะสามารถลบร่องรอย ของประสบการณ์ออกไปได้ 259 00:13:43,041 --> 00:13:45,208 และเมื่อพวกมันหายไปแล้ว 260 00:13:45,208 --> 00:13:48,243 พวกมันจะไม่กลับมาอีก เว้นเสียแต่ว่าคุณจะได้รับประสบการณ์เดิม 261 00:13:48,243 --> 00:13:49,911 ตอนนี้สัตว์ได้รับการกำหนดกฏเกณฑ์ใหม่ 262 00:13:49,915 --> 00:13:54,156 และเมื่อเราเข้าไปเยี่ยมพวกมันอีก ใน 30 วันและ 60 วันต่อมา 263 00:13:54,160 --> 00:13:57,109 ซึ่งเทียบได้กับเวลาหลายปีในชีวิตมนุษย์ 264 00:13:57,109 --> 00:14:04,509 พวกมันยังไม่กลับไปติดยาอีก หลังจากการรักษา ด้วยยาอีพีเจเนติกส์เพียงครั้งเดียว 265 00:14:04,509 --> 00:14:07,773 แล้วเราได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับดีเอ็นเอ 266 00:14:07,773 --> 00:14:10,932 ดีเอ็นเอไม่ได้เป็นเพียงลำดับตัวอักษร 267 00:14:10,932 --> 00:14:13,075 มันไม่ใช่แค่บทภาพยนต์ 268 00:14:13,075 --> 00:14:16,370 ดีเอ็นเอเป็นภาพยนต์ที่เปลี่ยนแปลงได้ 269 00:14:16,370 --> 00:14:21,278 ประสบการณ์ของเราถูกบันทึกในภาพยนต์นี้ ซึ่งมันโต้ตอบกับคนดูได้ 270 00:14:21,302 --> 00:14:24,849 เหมือนกับการชมภาพยนต์ เกี่ยวกับชีวิตของด้วยคุณดีเอ็นเอ 271 00:14:24,849 --> 00:14:26,661 โดยใช้รีโมทคอนโทรล 272 00:14:26,685 --> 00:14:30,874 คุณสามารถเอานักแสดงออก หรือเพิ่มนักแสดงได้ 273 00:14:30,874 --> 00:14:36,767 คุณสามารถควบคุมได้ว่ายีนของคุณ จะมีหน้าตาอย่างไร 274 00:14:36,791 --> 00:14:40,480 นอกจากการถูกกำหนดด้วยดีเอ็นเอ ตามธรรมชาติ 275 00:14:40,484 --> 00:14:43,794 และนี่เป็นข่าวดีมากๆ 276 00:14:43,798 --> 00:14:47,326 ว่าเราจะมีความสามารถใน เผชิญกับโรคร้าย 277 00:14:47,330 --> 00:14:50,264 อย่างเช่น โรคมะเร็ง, โรคทางจิตเวช 278 00:14:50,264 --> 00:14:53,206 ได้ด้วยแนวความคิดแบบใหม่ 279 00:14:53,210 --> 00:14:55,774 ว่าพวกมันคือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เหมาะสม 280 00:14:55,774 --> 00:14:58,872 และถ้าเราสามารถแทรกแซง กระบวนการอีพิเจเนติก 281 00:14:58,872 --> 00:15:02,402 เราจะสามารถย้อนภาพยนต์นี้ ด้วยการเอานักแสดงออก 282 00:15:02,402 --> 00:15:06,043 และจัดวางการดำเนินเรื่องใหม่ 283 00:15:06,043 --> 00:15:08,565 ฉะนั้น สิ่งที่ผมบอกคุณในวันนี้ 284 00:15:08,565 --> 00:15:13,671 ก็คือ ดีเอ็นเอของเรานั้น ประกอบด้วยสองส่วน 285 00:15:13,671 --> 00:15:16,120 ข้อมูลสองชั้น 286 00:15:16,120 --> 00:15:19,775 ชั้นหนึ่งของข้อมูลนั้นเก่าแก่ 287 00:15:19,775 --> 00:15:23,340 มีวิวัฒนาการมาเป็นเวลาหลายล้านปี 288 00:15:23,340 --> 00:15:27,400 มันไม่ยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงยาก 289 00:15:27,411 --> 00:15:31,281 ข้อมูลอีกชั้นหนึ่งคือชั้นอีพีเจเนติกส์ 290 00:15:31,285 --> 00:15:35,200 ซึ่งเปิดกว้างและยืดหยุ่น 291 00:15:35,204 --> 00:15:39,836 และสามารถสร้างการดำเนินเรื่องแบบใหม่ ที่โต้ตอบกับประสบการณ์ที่พบได้ 292 00:15:39,836 --> 00:15:47,678 ทำให้เราสามารถควบคุม ชะตากรรมส่วนใหญ่ของเรา 293 00:15:47,695 --> 00:15:51,151 เพื่อช่วยกำหนดชะตากรรม ของลูกหลานของเรา 294 00:15:51,175 --> 00:15:55,330 และหวังว่ามันจะช่วยให้เรา เอาชนะโรคร้าย 295 00:15:55,354 --> 00:15:59,770 ความท้าทายเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพร้ายแรง 296 00:15:59,794 --> 00:16:03,425 ที่ก่อพิบัติภัยแก่มนุษยชาติมาแสนนาน 297 00:16:03,435 --> 00:16:06,852 ฉะนั้น แม้ว่าเราจะถูกกำหนด 298 00:16:06,852 --> 00:16:08,631 โดยยีนของเรา 299 00:16:08,631 --> 00:16:11,692 เราก็ยังพอมีอิสระ 300 00:16:11,716 --> 00:16:15,849 ที่จะสามารถจัดรูปแบบชีวิตของเรา ให้เป็นชีวิตที่เราออกแบบเองได้ 301 00:16:15,873 --> 00:16:17,093 ขอบคุณครับ 302 00:16:17,117 --> 00:16:22,072 (เสียงปรบมือ)