1 00:00:06,605 --> 00:00:11,018 ในปีค.ศ. 1996 อาสาสมัคร 56 คน เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา 2 00:00:11,018 --> 00:00:14,653 เพื่อทดสอบยาแก้ปวดตัวใหม่ ที่เรียกว่า Trivaricain 3 00:00:14,653 --> 00:00:18,773 นิ้วชี้ของอาสาสมัครแต่ละคน จะถูกทาไว้ด้วยยาแก้ปวดตัวใหม่นี้ 4 00:00:18,773 --> 00:00:21,569 โดยที่นิ้วชี้อีกข้างไม่ได้ถูกทาด้วยอะไร 5 00:00:21,569 --> 00:00:25,211 จากนั้น นิ้วทั้งสองจะถูกหนีบด้วยคีมให้เจ็บ 6 00:00:25,211 --> 00:00:29,526 อาสาสมัครรายงานว่านิ้วชี้ที่ทายาเอาไว้ เจ็บน้อยกว่านิ้วที่ไม่ได้ทา 7 00:00:29,526 --> 00:00:31,386 นี่ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร 8 00:00:31,386 --> 00:00:34,843 เว้นเสียแต่ว่าจริง ๆ แล้ว Trivaricaine ไม่ใช่ยาแก้ปวด 9 00:00:34,843 --> 00:00:39,066 แต่เป็นแค่ส่วนผสมปลอม ที่ไม่มีคุณสมบัติในการลดปวดเลย 10 00:00:39,066 --> 00:00:43,073 อะไรทำให้อาสาสมัครเชื่อว่ายาหลอกนี้มีผล 11 00:00:43,073 --> 00:00:45,842 คำตอบก็คือ ปรากฏการณ์ยาหลอก 12 00:00:45,842 --> 00:00:47,286 ปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ 13 00:00:47,286 --> 00:00:51,840 เวลาที่ยา การรักษา การบำบัด ที่ไม่น่าจะมีผลอะไร 14 00:00:51,840 --> 00:00:53,405 และส่วนใหญ่เป็นของปลอม 15 00:00:53,405 --> 00:00:56,465 ทำให้คนรู้สึกดีขึ้นได้อย่างน่าฉงน 16 00:00:56,465 --> 00:01:00,496 แพทย์ได้ใช้คำว่ายาหลอกมาตั้งแต่ ค.ศ. 1700 17 00:01:00,496 --> 00:01:05,175 เมื่อพวกเขาตระหนักถึงพลังของยาหลอก ที่ทำให้อาการต่าง ๆ ดีขึ้น 18 00:01:05,175 --> 00:01:08,086 มันถูกใช้ตอนที่หายาที่เหมาะสมไม่ได้ 19 00:01:08,086 --> 00:01:11,371 หรือเวลาที่คนทึกทักไปเองว่าตัวเองป่วย 20 00:01:11,371 --> 00:01:15,522 ที่จริงแล้ว คำว่า "Placebo" แปลว่า "ฉันจะพอใจ" ในภาษาละติน 21 00:01:15,522 --> 00:01:19,127 เป็นนัยบอกถึงประวัติศาสตร์ ของการบรรเทาให้ผู้ป่วยที่มีปัญหา 22 00:01:19,127 --> 00:01:23,026 ยากหลอกนั้นต้องเลียนแบบยาจริง เพื่อที่จะให้ดูน่าเชื่อ 23 00:01:23,026 --> 00:01:25,270 มันจึงมีในรูปแบบของยาเม็ดทีทำจากน้ำตาล 24 00:01:25,270 --> 00:01:26,625 ยาฉีดที่เป็นน้ำเปล่า 25 00:01:26,625 --> 00:01:29,492 หรือแม้กระทั่งการผ่าตัดแบบปลอม ๆ 26 00:01:29,492 --> 00:01:33,871 ไม่นานนัก แพทย์ก็ตระหนักว่า การหลอกคนในลักษณะยังมีประโยชน์อื่นอีก 27 00:01:33,871 --> 00:01:35,743 ซึ่งก็คือ การทดลองทางคลินิค 28 00:01:35,743 --> 00:01:39,894 ในช่วงยุค 1950 นักวิจัยได้ใช้ยาหลอก เป็นเครื่องมือมาตรฐาน 29 00:01:39,894 --> 00:01:41,847 ในการทดสอบการรักษาใหม่ ๆ 30 00:01:41,847 --> 00:01:43,687 เพื่อที่จะประเมินยาตัวใหม่ ตัวอย่างเช่น 31 00:01:43,687 --> 00:01:46,553 ผู้ป่วยครึ่งหนึ่งในการทดลองจะได้รับยาจริง 32 00:01:46,553 --> 00:01:49,902 อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือจะได้รับยาหลอก ที่่ลักษณะเหมือนยาจริง 33 00:01:49,902 --> 00:01:54,213 เนื่องจากผู้ป่วยไม่ทราบว่า พวกเขาได้รับยาจริงหรือยาหลอก 34 00:01:54,213 --> 00:01:56,242 ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่มีความลำเอียง 35 00:01:56,242 --> 00:01:57,879 นักวิจัยเชื่อว่าอย่างนั้น 36 00:01:57,879 --> 00:02:02,001 ดังนั้น ถ้ายาใหม่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับยาหลอก 37 00:02:02,001 --> 00:02:03,998 นั่นพิสูจน์ว่ายาใหม่มีประสิทธิภาพ 38 00:02:03,998 --> 00:02:09,501 ในปัจจุบัน ไม่ค่อยมีการใช้ยาหลอกแบบนี้แล้ว เพราะว่ามีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องจริยธรรม 39 00:02:09,501 --> 00:02:13,038 ถ้าเป็นไปได้ การเปรียบเทียบยาตัวใหม่กับยาตัวเก่า 40 00:02:13,038 --> 00:02:14,908 หรือกับยาตัวอื่นที่มีอยู่ 41 00:02:14,908 --> 00:02:18,645 เป็นวิธีที่ดีกว่าการไม่ให้การรักษาอะไรเลย 42 00:02:18,645 --> 00:02:21,190 โดยเฉพาะถ้าพวกเขามีอาการป่วยที่รุนแรง 43 00:02:21,190 --> 00:02:26,243 ในกรณีเหล่านี้ ยาหลอกมักจะถูกใช้ เป็นตัวควบคุมในการปรับปรุงการทดสอบ 44 00:02:26,243 --> 00:02:29,811 เพื่อที่ประสิทธิภาพของยาตัวใหม่ กับยาตัวเก่า หรือยาทางเลือก 45 00:02:29,811 --> 00:02:33,096 สามารถถูกเปรียบเทียบกันได้อย่างเที่ยงตรง 46 00:02:33,096 --> 00:02:37,503 แต่แน่นอน เรารู้ว่ายาหลอกก็มีผล ที่มาจากตัวมันเองเช่นกัน 47 00:02:37,503 --> 00:02:38,952 ต้องขอบคุณปรากฏการณ์ยาหลอก 48 00:02:38,952 --> 00:02:41,954 ที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกบรรเทาจากความเจ็บป่วยต่าง ๆ 49 00:02:41,954 --> 00:02:43,273 รวมไปถึง โรคหัวใจ 50 00:02:43,273 --> 00:02:44,422 โรคหอบหืด 51 00:02:44,422 --> 00:02:46,130 และความเจ็บปวดอย่างรุนแรง 52 00:02:46,130 --> 00:02:50,126 ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้รับแค่ยาปลอม หรือ การผ่าตัดหลอก ๆ ก็ตาม 53 00:02:50,126 --> 00:02:52,766 เรายังพยายามที่จะเข้าใจ ว่ามันทำอย่างนั้นได้อย่างไร 54 00:02:52,766 --> 00:02:54,765 บางคนเชื่อว่าแทนที่จะเป็นของจริง 55 00:02:54,765 --> 00:02:58,625 ปรากฏการณ์ยาหลอกเป็นเพียงแค่ความสับสน ต่อปัจจัยอื่น ๆ 56 00:02:58,625 --> 00:03:03,129 เช่น ผู้ป่วยอยากจะเอาใจแพทย์ โดยการหลออกว่าอาการป่วยดีขึ้น 57 00:03:03,129 --> 00:03:04,123 ในอีกแง่มุมหนึ่ง 58 00:03:04,123 --> 00:03:07,539 นักวิจัยคิดว่า ถ้าคนเชื่อว่า การรักษาหลอก ๆ นั้นคือของจริง 59 00:03:07,539 --> 00:03:12,208 ความคาดหวังของคนไข้ที่จะฟื้นตัว จะกระตุ้นปัจจัยทางสรีรวิทยา 60 00:03:12,208 --> 00:03:14,241 ที่ทำให้อาการของพวกเขาดีขึ้น 61 00:03:14,241 --> 00:03:18,487 ยากหลอกดูเหมือนจะสามารถ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความดันโลหิต 62 00:03:18,487 --> 00:03:19,361 อัตราการเต้นของหัวใจ 63 00:03:19,361 --> 00:03:23,280 และการหลั่งของสารเคมี ที่ช่วยลดอาการเจ็บปวด เช่น เอนโดรฟิน 64 00:03:23,280 --> 00:03:28,914 นั่นอธิบายว่าทำไมผู้ได้รับยาหลอกในการศึกษา จึงมักจะบอกว่าอาการปวดของพวกเขาลดลง 65 00:03:28,914 --> 00:03:31,493 ยากหลอกอาจจะลดระดับฮอร์โมนความเครียด 66 00:03:31,493 --> 00:03:32,974 เช่น อะดรีนาลีน 67 00:03:32,974 --> 00:03:35,995 ซึ่งสามารถชะลอผลที่เป็นอันตรายจากโรคได้ 68 00:03:35,995 --> 00:03:39,954 เช่นนี้แล้ว พวกเราไม่ควรจะฉลองให้กับ ผลประโยชน์แปลก ๆ ของยากหลอกหรอกหรือ 69 00:03:39,954 --> 00:03:41,439 ไม่จำเป็น 70 00:03:41,439 --> 00:03:43,975 ถ้าบางคนเชื่อว่าการรักษาปลอม ๆ นั้น รักษาพวกเขาได้ 71 00:03:43,975 --> 00:03:48,586 พวกเขาอาจพลาดโอกาสในการใช้ยา หรือการรักษาที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง 72 00:03:48,586 --> 00:03:51,774 นอกจากนั้น ผลเชิงบวกจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป 73 00:03:51,774 --> 00:03:53,503 และมักจะเป็นอย่างนั้น 74 00:03:53,503 --> 00:03:55,735 ยาหลอกยังรบกวนผลวิจัยทางคลินิค 75 00:03:55,735 --> 00:03:58,821 ทำให้นักวิจัยยิ่งมีแรงจูงใจมากขึ้น ที่จะหาคำตอบ 76 00:03:58,821 --> 00:04:01,491 ว่าทำไมพวกมันถึงมีอิทธิพลต่อเราขนาดนี้ 77 00:04:01,491 --> 00:04:04,424 นอกเหนือจากความรู้ของเราทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์แล้ว 78 00:04:04,424 --> 00:04:07,450 มันก็ยังมีปริศนาที่แปลกประหลาด และยังคงไม่มีคำตอบ 79 00:04:07,450 --> 00:04:09,184 อย่างเช่นปรากฏการณ์ยาหลอก 80 00:04:09,184 --> 00:04:13,404 แล้วนี่ยังมีสิ่งมหัศจรรย์ใดอีก ที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผย 81 00:04:13,404 --> 00:04:15,622 มันง่ายที่จะสำรวจโลกรอบ ๆ ตัวเรา 82 00:04:15,622 --> 00:04:18,746 และลืมไปว่าหนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุด 83 00:04:18,746 --> 00:04:21,026 อาจเป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา