เจริญพร เช้าๆ วันอาทิตย์มาฟังธรรมก็ดี ได้มีแรงเอาไว้สู้กิเลสอีกหลายวัน ธรรมะเป็นของร่มเย็น โลกมันเร่าร้อน เราฝึกปฏิบัติกันไป จิตใจเราร่มเย็นเป็นสุข โลกข้างนอกเราแก้มันไม่ได้ มันวุ่นวายอย่างนี้ ธรรมดาของโลก เรามาฝึกจิตใจของเราเอง ให้อยู่กับโลกได้ โดยที่เราไม่ร้อนตามมันไปด้วย ธรรมะเป็นของร่มเย็น เสียดายชาวพุทธเราส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจธรรมะ เป็นพุทธแต่ชื่อ ไม่เคยลิ้มรสเลยว่า รสของธรรมะนั้นวิเศษแค่ไหน เราไปตามวัดตามอะไรอย่างนี้ เห็น พากันไหว้พวกเทวรูปพวก สิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกพระพุทธศาสนา ไหว้ต้นตะเคียนไหว้อะไรอย่างนี้ ตามวัด เยอะแยะ วัดที่สอนกรรมฐานจริงๆ คนก็ไม่ค่อยเข้า คนก็ชอบเข้าวัดแบบนั้น มันพอดีกัน พอดีกับสภาพจิตใจ คนที่จะสนใจธรรมะก็ต้องมีบุญมีบารมี สะสมมามากพอ คนส่วนใหญ่อินทรีย์ก็ยังอ่อน เขาก็ต้องการที่พึ่งแบบโลกๆ ไป ทำแล้วเฮง ทำแล้วรวย ทำแล้วได้ผลประโยชน์ มุ่งไปที่ตรงนั้น ถามว่ามันมีประโยชน์ไหม มันก็มีนะ แต่ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระพุทธศาสนาจะให้ได้ คนกลับไม่ค่อยเข้าใจไม่ค่อยสนใจ ฉะนั้นเราต้องลงมือศึกษาปฏิบัติให้จริงจัง อย่าทำเป็นเล่น เวลาของแต่ละคนมีไม่มาก เวลาของเราหมดไปทุกวันๆ ครูบาอาจารย์ก็ร่อยหรอลงทุกทีแล้ว เมื่อ 40 กว่าปี 50 ปีก่อน สมัยหลวงพ่อออกศึกษาธรรมะ ครูบาอาจารย์ที่ดีๆ ยังมีเยอะ ยิ่งทางอีสาน มีครูบาอาจารย์ดีๆ เต็มไปหมดเลย ถนนสายเดียวนี่วิ่งไปสักพักหนึ่งก็เจอ วัดนี้องค์นี้อยู่ วัดนี้องค์นี้อยู่ เดี๋ยวนี้พอผ่านไป วัดนี้องค์นี้เคยอยู่ ที่วัดนี้องค์นี้ก็เคยอยู่ มีแต่คำว่าเคยอยู่ ท่านไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว สมัยก่อนหลวงพ่อเลยชอบวันหยุด จะออกไปทางอีสานหรือไม่ก็ขึ้นไปทางเหนือ ไปหาครูบาอาจารย์ทางเชียงใหม่เชียงราย ส่วนใหญ่จะไปทางอีสานครูบาอาจารย์เยอะ ไปแล้วมันมีความสุข ไปกินข้าววัด ไปภาวนาอยู่ในวัด ไปนอนอยู่ในวัด อาหารที่กินก็อาหารชาวบ้านธรรมดา น้ำพริกกับผักอะไรอย่างนี้ กินอาหารอย่างนั้นจริงๆ เราไม่ค่อยคุ้นเคย เราคนเมือง แต่เราไปอยู่อย่างนั้นเรารู้สึก มันไม่มีภาระทางใจ ใจมันสบาย นอนมีกุฏิก็นอน ไม่มีก็ไปผูกกลดอยู่ใต้ต้นไม้ ผ่านเวลากลางคืน ออกมาเดินจงกรมใต้แสงเดือนแสงดาว สงบวิเวก มีป่ามีเขา กลางคืนก็มีสัตว์ร้อง มีนกมีแมลงร้อง มันไม่ยั่วกิเลสเรา เราก็ภาวนาร่มเย็นเป็นสุข นี่ฝึกตัวเองมาทุกวัน อยู่ง่าย กินง่าย นอนง่าย แล้วเวลาส่วนใหญ่เอาไว้เจริญสติ ถึงเวลาก็นั่งสมาธิเดินจงกรม ไหว้พระสวดมนต์ เวลาที่เหลือเจริญสติในชีวิตประจำวัน การเจริญสติในชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องสำคัญมากเลย หลวงปู่มั่นท่านเคยสอน หลวงพ่อไม่ทันท่าน แต่ว่าครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ท่าน เคยเล่าให้ฟัง อย่างท่านสอนบอกว่าทำสมาธิมากเนิ่นช้า คิดพิจารณามากฟุ้งซ่าน หัวใจสำคัญของการปฏิบัติ คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน หัวใจอยู่ตรงนี้ เก่งเฉพาะตอนนั่งสมาธิตอนเดินจงกรม ไม่ได้กินหรอก วันหนึ่งจะนั่งเท่าไรจะเดินเท่าไร เวลาส่วนใหญ่ถ้าภาวนาไม่เป็น โอกาสจะได้มรรคผลนิพพานยากเหลือเกิน หลวงพ่อภาวนาเจริญสติเป็นหลักเลย บางช่วงยังพลาดพลั้ง ไม่ยอมทำสมาธิ รู้สึกเสียเวลา ขี้เกียจทำสมาธิ พอหลายๆ วันเข้ากำลังสมาธิไม่พอ เดินปัญญาไม่ได้จริง เพราะฉะนั้นสมาธิก็ต้องทำ เวลาส่วนใหญ่ของหลวงพ่อ ใช้การเจริญสติในชีวิตประจำวัน เพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านสอนหลวงพ่อมา ให้อ่านจิตตนเอง การเจริญสติในชีวิตประจำวัน กับการอ่านจิตตนเอง มันมารวมเข้าด้วยกันได้ เราสามารถปฏิบัติในชีวิตธรรมดานี่ล่ะ เมื่อตาเห็นรูป เกิดความรู้สึกแปลกปลอมขึ้นในใจเรา ทีแรกใจเราเฉยๆ พอตาเราเห็นดอกไม้สวยงาม ใจเราเกิดความชอบขึ้นมา ใจเรามีความเปลี่ยนแปลงแล้ว เรามีสติรู้ทันความ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในใจเรา เวลาหูเราได้ยินเสียง เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในใจเรา อย่างมีเสียงคนมาด่าเรา จิตใจเราเกิดโทสะขึ้นมา เรามีสติรู้ทัน จมูกได้กลิ่น ได้กลิ่นหอมใจเราชอบ หรือบางทีได้กลิ่นหอมแล้วใจเราเกิดสงสัย นี่กลิ่นอะไร กลิ่นดอกไม้อะไร พอความสงสัยเกิดขึ้น หลวงพ่อไม่ได้ไปดูดอกไม้ หลวงพ่อดูลงไปที่จิตใจตัวเอง จิตสงสัย เราก็เห็นความสงสัย เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป บางทีได้กลิ่นอย่างนี้เหม็น ใจรำคาญ ใจไม่ชอบ รู้ลงไปที่ใจที่ไม่ชอบ การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน หลักการง่ายๆ มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง มีจมูกก็ดมกลิ่น มีลิ้นก็รู้รส มีกายก็กระทบสัมผัส มีใจก็คิดนึกไปตามธรรมชาติธรรมดา ไม่ห้าม ใจเราจะคิดดีคิดร้ายอะไร ห้ามได้ที่ไหน จิตมันเป็นอนัตตา บางทีเราอยากคิดแต่เรื่องดีๆ อ้าว มันกลายไปคิดเรื่องชั่วๆ คิดเรื่องกิเลสตัณหาอะไร ทีนี้พอใจมันคิดไปในทางไม่ดี อกุศลเกิด จิตเรามีน้ำหนักขึ้นมา จิตเราเศร้าหมองอึดอัดขัดข้อง เรามีสติรู้ทันจิต โอ้ ตอนนี้จิตเราเศร้าหมองแล้ว หรือเวลาที่จิตเราเป็นกุศล เรามีสติรู้ลงไป อย่างเวลาเห็นครูบาอาจารย์ บางทีจิตเรามีปีติ ดีใจได้เห็นครูบาอาจารย์มีปีติ เราแทนที่จะไปดูแค่ครูบาอาจารย์ เราก็เห็นจิตใจมีปีติขึ้นมา จิตใจฟังธรรมไป จิตใจเรามีความสุข ไม่ได้มัวแต่นั่งฟังเพลินๆ ไป จิตใจเรามีความสุข รู้ว่ามีความสุข นี่การปฏิบัติจริงๆ สำคัญมากเลยนะตรงนี้ แล้วส่วนใหญ่ก็ละเลยกัน ไม่สนใจ แล้วกำหนดอะไรต่ออะไรสอนอะไรกันแปลกๆ ไป ละเลยการเจริญสติในชีวิตประจำวัน ซึ่งหลวงปู่มั่นบอกหัวใจของการปฏิบัติเลย การมีสติในชีวิตประจำวัน ฉะนั้นถ้าเราอยากมีสติในชีวิตประจำวัน เราต้องฝึกตัวเอง หัดอ่านใจตัวเองให้ออก ตาเราเห็นรูปเกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิตใจ อย่างเกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดกุศล เกิดอกุศล ให้เรามีสติรู้ อย่างเราเห็นผู้หญิงสวยๆ จิตเรามีราคะขึ้นมา ให้มีสติรู้ ไม่ใช่จำเป็นว่าต้องทำเฉยๆ เห็นผู้หญิงสวยๆ ก็กดจิตไว้ เพ่งๆๆ ลงไป ไม่ให้มีความรู้สึกขึ้นมา นั่นไม่ใช่การเจริญสติในชีวิตประจำวัน แต่เป็นการเพ่ง เพ่งอยู่ในชีวิตจริงๆ เลย เพ่งมากๆ ใจก็จะแข็งทื่อๆ ไป เหมือนอย่างพระองค์นี้ ใจก็ทื่อๆ ไป ไปเพ่งเอา ฉะนั้นเราต้องฝึกหัดอ่านความรู้สึกตัวเอง ตากระทบรูป เกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดกุศล เกิดอกุศล ให้มีสติรู้ทัน หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส เกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดกุศล อกุศล ให้มีสติรู้ทัน เกิดที่ไหน เกิดที่ใจเรา ถ้าจิตเราคิด เราเกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดกุศลอกุศล ให้มีสติรู้ทัน มันยากไหมที่จะรู้ ไม่ยาก แต่ละเลยที่จะรู้ อย่างเราขับรถอยู่คนมาปาดหน้าเรา ขับรถปาดหน้าเรา เราโกรธ คนที่ไม่ได้ปฏิบัติจะไปมองรถที่ปาดเรา เดี๋ยวจะไปเอาคืน ส่วนเรานักปฏิบัติเจริญสติในชีวิตประจำวัน คนเขาขับรถปาดหน้าเรา เราโกรธ เราเห็นความโกรธเกิดขึ้นที่จิตใจเรา นี่อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าใช้ได้ ลำพังคนปาดหน้าเราแล้วเราก็ไปมองเขา เรียกว่าหลง หลงไปดู เกิดพยาบาทวิตก คิดจะเอาคืน นี่พยาบาทวิตก ฉะนั้นการภาวนาจะว่ายาก มันไม่ยากเลย เราไม่ได้บังคับตัวเอง กดข่มตัวเอง จิตใจเราเป็นอย่างไร เราก็คอยรู้ไป อย่างที่มันเป็น ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย แต่จะว่าง่ายมันก็ไม่ง่าย เพราะเราไม่เคยชินที่จะรู้ใจตัวเอง มันยากเพราะเราไม่เคยชินที่จะรู้ เท่านั้นล่ะ ถ้าหัดฝึกจนเคยชินที่จะรู้ การจะอ่านใจตัวเอง ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปเลย หลวงพ่อไม่ได้ฝึกอะไรมากมาย ตอนเด็กๆ ก็ทำสมาธิก็ได้แต่ความสงบ ก็ออกรู้โน้นรู้นี้ไปเรื่อยๆ หาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้ มาเจอหลวงปู่ดูลย์ท่านบอกให้อ่านจิตตัวเอง หลวงพ่อก็ตามรู้ตามเห็นจิตใจ นี่วิธีอ่านจิตตัวเอง ทำอย่างที่หลวงพ่อบอก ไม่ใช่ไปนั่งจ้องอยู่ที่จิต นั่งเฝ้าจิตดูว่าเมื่อไร จะมีอะไรเกิดขึ้นในจิตใจเรา นั่งเฝ้าอยู่อย่างนี้ อันนั้นไม่ใช่ ใช้ไม่ได้เลย เมื่อไรเราจงใจไปนั่งเฝ้าเอา จิตจะนิ่งๆ ทื่อๆ แข็งๆ ไป ไม่มีอะไรให้ดูหรอก ฉะนั้นอย่าไปดักดู ให้ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์ แล้วก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาก่อน แล้วค่อยรู้ว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร อย่าไปดักดูไว้ก่อน ถ้าไปดักดูไปรอดู มันจะนิ่งๆ ไม่มีอะไรให้ดูหรอก อันนั้นไม่ใช่การอ่านจิตตนเองแล้ว แต่เป็นการบังคับจิตตนเองให้มันนิ่งๆ ไป ต้องฝึกนะต้องฝึก ถ้าอ่านจิตตัวเองจนชำนาญ เราจะรู้เลยการปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว เพราะเราได้สิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับการปฏิบัติแล้ว คือเรารู้จักจิตตัวเอง การปฏิบัติธรรมจริงๆ ก็คือการฝึกจิตนั่นล่ะ ไม่ได้ฝึกกาย อย่างจะเดินจงกรม บางคนฝึกกายต้องเดินท่านั้นต้องเดินท่านี้ แล้วจริงๆ แล้วมันไม่ใช่หรอก เราไม่ได้ฝึกโยธวาทิต จะเดินอย่างนั้นอย่างนี้ให้สวยงาม ไม่จำเป็นหรอก เคยเดินท่าไหนก็เดินท่านั้นล่ะ แต่ว่าจุดสำคัญหัวใจจริงๆ คือจิตของเรานั่นเอง พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่นท่านก็สอน ได้จิตก็ได้ธรรมะ ไม่ได้จิตไม่ได้ธรรมะหรอก ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ธรรมะเกิดที่จิต ธรรมะมีอะไรบ้าง อกุศลธรรม รู้จักเคยได้ยินไหม เกิดที่ไหน เกิดที่มือที่เท้าที่ท้องหรือเปล่า ไม่ได้เกิด อกุศลธรรมเกิดที่จิต กุศลธรรมล่ะเกิดที่ไหน ไม่ได้เกิดที่มือที่เท้าที่ท้อง ไม่ได้เกิดที่ลมหายใจ เกิดที่จิต มรรคผลล่ะ มรรคผลก็เกิดที่จิต มรรคผลไม่ได้ไปเกิด ที่ต้นไม้ที่ภูเขาที่แม่น้ำ หรือที่ร่างกาย มรรคผลก็เกิดขึ้นที่จิต ถ้าเราเฝ้ารู้เฝ้าดูไป รักษาจิต มีสติรักษาจิต ดูจิตไป ดูแลจิตไป จิตเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ แต่รู้อย่างที่มันเป็นให้ได้เท่านั้นล่ะ แล้วเราจะพบว่า ความรู้สึกของเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเลย เวลาตาเราเห็นรูปความรู้สึกก็เปลี่ยน หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส ใจกระทบความคิด ความรู้สึกก็เปลี่ยนในจิตใจนี้ สังเกตไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าต้องดี ชั่วหรือดี ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งท่านเคยพูด ชั่วหรือดีก็อัปรีย์พอกัน อัปรีย์ไม่ใช่คำหยาบคาย อัปรีย์ตัวนี้เป็นภาษาบาลี “อัปปิยะ” คือไม่น่ารัก ไม่น่าหวงแหน เหมือนๆ กันล่ะ ความชั่วเกิดขึ้นก็อย่าไปรักมัน ความดีเกิดขึ้นก็อย่าไปหลงมัน นี่ท่านสอนถึงขนาดนี้นะ แต่ว่าอันนี้เป็นคำสอนในขั้นการเจริญปัญญา ในขั้นจริยธรรมชั่วกับดีไม่เท่ากัน ชั่วนะอัปรีย์จริง ดีไม่อัปรีย์ ดีๆ ดีก็ปิยะ น่ารัก แต่ในขั้นเจริญปัญญาเราไม่ได้ภาวนาเอาดี เพราะดีก็ไม่เที่ยง เราไม่ได้ภาวนาเอาความสุข เพราะความสุขก็ไม่เที่ยง เราไม่ได้ภาวนาเอาความสงบ เพราะความสงบไม่เที่ยง เราภาวนาให้เห็นความจริงว่า จิตใจของเรานี่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวเป็นอกุศล ตกอยู่ใต้คำว่าไตรลักษณ์ตลอดเวลา เวลาเราดูจิตดูใจนี่ สามัญลักษณะคือลักษณะร่วมของ สิ่งที่เป็นความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง หรือเรียกว่าไตรลักษณ์นี่ จริงๆ ชื่อจริงๆ ของมันคือสามัญลักษณะ ลักษณะร่วมของสิ่งที่เป็น ความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม มี 3 อย่าง ไม่เที่ยง ไม่เที่ยงก็คือของเคยมีแล้วมันไม่มี ของไม่มีแล้วมันก็มี มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ คือมันถูกบีบคั้น ให้แตกสลายอยู่ตลอดเวลา อย่างความสุขเกิดขึ้น ความสุขก็ถูกบีบคั้นให้แตกสลาย บางทีหลายคนเจอหลวงพ่อ คุยกับหลวงพ่อเลย เกิดปีติ ปีติถ้าเรามีสติรู้ลงไป เราก็เห็นปีติถูกบีบคั้นให้แตกสลาย ค่อยๆ กร่อนๆๆ ลงไปแล้วก็หายไป แล้วมันก็เป็นอนัตตา จิตเราจะสุขหรือจะทุกข์ จะดีหรือจะชั่ว เราสั่งไม่ได้ เลือกไม่ได้ นี่คือความจริง สามัญลักษณะ ลักษณะร่วมของสิ่งที่เป็นสังขารทั้งหลาย ก็คือรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ทั้งหมด มีสิ่งเดียวที่พ้นจาก ไตรลักษณ์ไปคือพระนิพพาน นิพพานไม่มีความเกิด เมื่อนิพพานไม่มีความเกิด นิพพานก็ไม่มีความเก่า ไม่มีความตาย ไม่มีความดับ ของนอกนั้นจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม จะเป็นกุศลหรืออกุศล เกิดแล้วดับทั้งสิ้น เรามีสติตามอ่านความเป็นจริง ในจิตในใจของเราเรื่อยๆ ไป แล้ววันหนึ่งเราก็จะเข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่าน เข้ามาสู่ความรับรู้ของเรา อยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับสลายไป นี่ดูไปเรื่อยๆ หลวงพ่อใช้เวลาตรงนี้ หลวงปู่ดูลย์บอกให้อ่านจิตตนเอง หลวงพ่อใช้เวลา 7 เดือนในการอ่านจิตตนเอง แต่ 7 เดือนนี้อ่านผิดไป 3 เดือน อ่านผิดอย่างไร ก็พยายามบังคับจิตให้นิ่ง ไม่ให้จิตคิดนึกปรุงแต่ง ทำได้ไหม ก็ทำได้ ทำสมาธิไป จิตก็ว่างๆ นิ่งๆ สบาย แล้วไปหาหลวงปู่บอกผมดูจิตได้แล้ว หลวงปู่ถามจิตเป็นอย่างไร บอก โอ้ย จิตมันวิจิตรพิสดาร มันปรุงแต่งได้สารพัดเลย แต่ผมสามารถทำให้มันสงบไม่ปรุงแต่ง ว่างๆ อยู่อย่างนั้น หลวงปู่บอกว่าให้ไปอ่านจิต ไม่ใช่ให้ไปปรุงแต่งจิต ทำผิดแล้ว ไปทำใหม่ นี่ท่านสอนอย่างนี้ หลวงพ่อก็เลยมาทำใหม่ ก็คือมาอ่านจิตตนเองจริงๆ อ่านอย่างไร ก็อ่านอย่างที่เล่าให้ฟังนี่ล่ะ ไม่ได้อ่านแบบพิสดารอะไรทั้งสิ้นเลย อ่านซื่อๆ อ่านสบายๆ นี่ล่ะ อย่างขณะนี้พวกเราฟังหลวงพ่อเทศน์ ลองนึกซิใจเราสุขหรือทุกข์ รู้ไหม รู้ได้ไหมว่าตอนนี้ใจสุขหรือทุกข์ ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย หรืออย่างร่างกายถ้าบางคนดูกาย รู้ไหมร่างกายกำลังนั่งอยู่ ยากไหมที่จะรู้ร่างกายกำลังนั่งอยู่ ถ้ายากก็เพี้ยนแล้ว ไปหาจิตแพทย์ได้เลย นี่ธรรมะจริงๆ เปิดเผยเรียบง่ายตรงไปตรงมาที่สุดเลย ร่างกายหายใจออกร่างกายหายใจเข้ารู้ได้ไหม ต้องทำจิตให้นิ่งก่อนแล้วถึงจะรู้ไหม ไม่ต้อง รู้เฉยๆ การรู้จิตรู้ใจก็รู้แบบเดียวกัน รู้เหมือนที่รู้ร่างกายมันยืนเดินนั่งนอน ร่างกายหายใจออกหายใจเข้านี่ล่ะ รู้เฉยๆ รู้อย่างที่มันเป็น ตอนนี้ใจเราสุขหรือทุกข์รู้ได้ไหม ตอนนี้ใจเรางงไหม บางคนงง เอะ มันสุขหรือมันทุกข์ หลายคนนะ บางคนบอกไม่งง แต่ว่าอ่านใจไม่ออก ขณะที่บอกไม่งงเลย กำลังหลงอยู่ หลงไปที่อื่นแล้ว ไม่ได้อ่านใจตัวเองแล้ว จิตใจเป็นของละเอียด เป็นของที่ว่องไวที่สุดเลย เราต้องพัฒนาสติของเราให้ไวขึ้นมา เพื่อจะอ่านมันให้ทัน ไม่ใช่ไปหน่วงความรู้สึกทางใจให้ช้าลง เพื่อสติที่ช้าๆ จะได้อ่านทัน อย่าไปดัดแปลงมัน เหมือนอย่างบางคน เดินจงกรมเดินให้ช้าๆ สติจะได้ตามทัน เดินช้าๆ จิตหนีไปสร้างภพสร้างชาติสร้างทุกข์ ไม่รู้กี่ร้อยรอบแล้ว กว่าจะเดินได้แถวตลอดแนวนี่ เพราะฉะนั้นกิเลสมันไม่ช้าด้วยหรอก ถึงเราแกล้งเดินให้ช้ากิเลสมันไม่ช้าด้วย จิตนี้ก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปแกล้งทำให้ช้าๆ เอ๋อๆ นิ่งๆ เงียบๆ อะไรอย่างนี้ กิเลสมันไม่ช้าด้วย เพราะฉะนั้นมันเป็นอย่างไร รู้อย่างที่มันเป็นให้ได้ หลวงพ่อฝึกดูอ่านจิตตัวเองได้จริงๆ 4 เดือนเท่านั้น หลวงพ่อก็เข้าใจจิตแล้ว จิตมีธรรมชาติที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของมันไป คราวนี้ไปส่งการบ้านกับหลวงปู่ หลวงปู่บอกว่าอย่างนี้ช่วยตัวเองได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียนที่ไหนแล้ว เรียนที่จิตใจตัวเองนี่ไปได้เอาตัวรอดแล้ว ท่านสอน มีพระมาถามหลวงพ่อ อันนี้อีกวัดหนึ่งอยู่กับ ครูบาอาจารย์เหมือนกัน พระอุปัฏฐากท่าน ได้ยินหลวงพ่อส่งการบ้าน กับหลวงปู่ครูบาอาจารย์ แล้วหลวงพ่อออกจากหลวงปู่มา หลวงปู่ก็ชมหลวงพ่อใหญ่ พระอุปัฏฐากท่านก็ฟัง ตอนเย็นไปเจอท่าน ท่านก็มาถามหลวงพ่อว่า โยมๆ เป็นฆราวาสแท้ๆ เลย โยมภาวนาอย่างไร โยมทำปีหนึ่ง พระทำ 10 ปี 20 ปี ยังไม่ได้อย่างนี้เลย ท่านถามซื่อๆ เลย บอกพระทำ 10 ปี 20 ปี ยังไม่ได้อย่างที่โยมทำปีหนึ่ง หลวงพ่อก็บอกท่านผมทำทั้งวัน ท่านก็งง ทำทั้งวันแล้วไม่ทำมาหากินหรือ ตอนนั้นรับราชการ แล้วทำอย่างไรทำทั้งวัน เจริญสติในชีวิตประจำวันนั่นล่ะ เวลาเรามีหน้าที่การงานเราต้องทำงาน สติจดจ่ออยู่กับงาน สมาธิจดจ่ออยู่กับงาน ปัญญาคิดเรื่องงาน อันนั้นไม่ใช่เวลาปฏิบัติ แต่เป็นเวลาทำงาน เวลานอกเหนือจากเวลาที่ทำงาน กับเวลาทำงานที่ใช้ความคิด แต่ถ้าทำงานที่ใช้ร่างกาย ปฏิบัติได้ตลอดเลย อย่างที่สุรินทร์เมื่อก่อน เห็นมีสามล้อถีบเยอะเลย คนถีบสามล้อเข้าใจธรรมะก็มี เขาเก่ง เขาถีบสามล้อไป เขาก็อ่านจิตใจตัวเองไป อ่านร่างกายตัวเองไปเรื่อยๆ แม่ค้าขายผักอยู่ในตลาดก็ภาวนาดี หน้าใสปิ๊งเลย สว่างสดใส รู้เนื้อรู้ตัว จิตใจกิเลสเบาบาง นี่เขาภาวนาได้อย่างไร เขาไม่มีเวลามานั่งสมาธิทั้งวันหรอก ไม่มีเวลามาเดินจงกรม นั่งขายผัก เขาทำด้วยการเจริญสติ มีสติรู้สึกกายมีสติรู้สึกใจตัวเองไป นั่งขายผักคนมาซื้อ ดีใจรู้ว่าดีใจ ขายตั้งนานแล้วไม่มีใครมาซื้อเลย ผักชักจะเหี่ยวแล้ว เมืองสุรินทร์หน้าร้อนๆ ร้อนจัดเลย ผักนี้ชักจะเหี่ยวพอๆ กับคนขายแล้ว คนขายแก่งั่ก แต่คนขายผ่องใส ผักก็เหี่ยวไปแต่คนขายผักผ่องใส เขาก็เห็นผักมันเหี่ยวก็เรื่องธรรมชาติ ใจของเขากังวลว่าขาย ไม่ออกเดี๋ยววันนี้ขาดทุน เขาเห็นว่าใจกังวล ใจของเขาก็ได้ทรัพย์สมบัติที่วิเศษไป ได้อริยทรัพย์ ทรัพย์ทางโลกไม่ค่อยมี อย่างคนสุรินทร์ยุคก่อน สมัยหลายสิบปีก่อนจนมาก จนแต่เขามีอริยทรัพย์กัน เขามีทาน เขามีศีล เขามีสติ เขามีสมาธิ เขาขยันศึกษาทางธรรม สงสัยเขาไต่ถามครูบาอาจารย์ ชีวิตเขาวนเวียนอยู่อย่างนี้ เขาภาวนาดี แต่รุ่นหลังนี่หมดแล้ว ไปดู ก็กลายเป็นเหมือนคนกรุงเทพฯหมดแล้ว พวกหลงโลกทั้งนั้นล่ะ ไปไหนก็เจอแต่พวกหลงโลก หลวงพ่อภาวนาก็ทำอย่างนี้ล่ะ ตกเย็นตกค่ำก็นั่งสมาธินิดหน่อย เดินจงกรมไม่ค่อยได้เดิน เพราะที่บ้านเป็นบ้านโบราณบ้านไม้ เวลาเดินดังเอี๊ยดๆๆ หนวกหูคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน เขารำคาญ หลวงพ่อก็ใช้วิธีนั่งเอา ฝึกตัวเอง ที่จะฝึกอ่านใจตัวเอง ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะนอนก็กินน้ำเยอะๆ กินน้ำมากๆ เพื่ออะไร ปวดฉี่จะได้ตื่น พอตื่นมา มาฉี่เสร็จแล้วก็กินน้ำอีกละ แล้วก็ไปนั่งสมาธิ ถ้าจิตยังมืดมัวอยู่จะไม่นอน ถ้านั่งแล้วจิตไม่ผ่องใสมัวๆ ถูกโมหะครอบ จะไม่นอนต่อ ฝึกตัวเองเข้มงวด ฝึกไปๆ จนกระทั่งกิเลสมันก็ฉลาด พอเราตื่นปุ๊บ สว่าง ใจเราสว่างผ่องใส อ้าว นอนได้แล้ว กิเลสมันเก่งนะ แหม่มันหลอกเราได้สารพัด กว่าจะรู้ทันมัน เออ สว่างก็ดีแล้วนี่ นั่งต่อเลย นี่ฝึกตัวเองอย่างนี้ ฝึกไป อยากได้ของดีก็ต้องอดทน แต่ต้องอดทนให้ถูกทางถูกหลัก อดทนไม่ถูกหลักก็เหนื่อยเปล่า นักปฏิบัติที่ทำผิดมี 2 อัน กามสุขัลลิกานุโยคกับอัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยคก็หลง หลงตามกิเลสไป อัตตกิลมถานุโยคก็คือทำตัวเองให้ลำบาก บังคับกายบังคับใจตัวเอง เหมือนอย่างพระองค์นี้ท่านสงสัย ท่านจะมาถามหลวงพ่อ อยากถามหลวงพ่อภาวนาตั้งนาน ทำไมไม่เจริญ ท่านติดเพ่งอยู่ ให้ใจนิ่งๆ แต่ตอนนี้ใจท่าน ไม่เหมือนอย่างเมื่อกี้แล้ว ตอนนั่งฟังใหม่ๆ ใจท่านแน่นอึ้ด แต่ตอนนี้ใจท่านคลายออกแล้ว รู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา อย่างนี้ถึงจะภาวนาได้ ถ้านั่งเพ่งอยู่ กี่ปีมันก็อยู่แค่นั้นล่ะ ไม่มีความเจริญหรอก ฉะนั้นหัดอ่านใจตัวเองบ่อยๆ แล้วเราจะได้ๆ ของดี ของดีก็คือธรรมะนั่นล่ะ ถ้าเราเข้าใจธรรมะเราจะไม่ตีกับใคร เราจะไม่ทะเลาะกับใคร เอาธรรมะไปเถียงกันอะไรอย่างนี้ ไม่ทำหรอก ธรรมะเป็นของสูงเป็นของร่มเย็น ไม่ได้เรียนเอาไว้ทะเลาะกัน อันนั้นเรียนแล้วกิเลสแรงกว่าเก่า อย่างน้อยเรียนแล้วกูเก่ง กูรู้เยอะกว่าคนอื่นอะไรอย่างนี้ นี่กิเลสทั้งนั้นเลย แล้วพูดธรรมะฉอดๆๆๆ แต่ไม่เห็นกิเลส ใช้ไม่ได้หรอก อ่านจิตตัวเองไม่ออก ฉะนั้นพวกเราหัดอ่านจิตตัวเอง ไม่ใช่เรื่องยากหรอก มันละเลยที่จะอ่าน วันนี้เทศน์ไปเทศน์มา เนื้อหาสาระที่ควรจะบอกๆ หมดแล้ว เอาไปทำเอานะ สังเกตไหมพอหลวงพ่อบอกว่าเทศน์เสร็จแล้ว ใจของเราเปลี่ยนทันทีเลย รู้สึกไหม เฮ้อ แหม มันออกหน้าออกตามากไป ไม่รู้จักเกรงใจเลย นี่รู้สึกไหมใจขำ เห็นไหม ความรู้สึกขำเกิดขึ้น รู้สึกนี่ขำแล้วเอิ๊กๆ อ๊ากๆ เหมือนเด็กทารก เหมือนพระพุทธเจ้าบอกนะ อย่างหัวเราะเอิ๊กอ๊ากๆ มันอาการของเด็กทารก ไม่รู้เรื่องไม่มีสติ อย่างที่วัดหลวงพ่อคอยดูพระเรื่อยๆ คุยกันเสียงดังหลวงพ่อยังดุเลย อย่างหัวเราะก๊ากๆ นี่โดนทันทีเลย ถ้าคุยเสียงดัง เดี๋ยวว่างๆ แล้วจะเรียกมาดุ แต่ถ้าหัวเราะก๊ากๆ นี่โดนทันทีเลย เพราะว่านักปฏิบัติไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ต้องมีสติ สนุกได้ไหม ความรู้สึกสนุกเกิดขึ้นได้ไหม ได้ แต่อย่าให้ขาดสติ มีความสุขได้ไหม มีความสุขได้ ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าบอกให้รู้ทุกข์ ฉะนั้นกูต้องทุกข์อย่างเดียว อันนั้นไม่ใช่นะ คำว่ารู้ทุกข์ก็คือ รู้รูปรู้นามรู้กายรู้ใจ ความสุขก็อยู่ในกองทุกข์ ความสุขก็เป็นตัวทุกข์ชนิดหนึ่ง ตัวเวทนาเป็นตัวทุกข์อย่างหนึ่ง ตามรู้ตามเห็น ไม่อยากหรอก ธรรมะก็ประณีตเป็นลำดับๆ ไป เบื้องต้นนี่อ่านใจตัวเองให้ออก หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนธรรมะสอนสั้นๆ ไม่สอนยาวอย่างหลวงพ่อหรอก ถ้าหลวงพ่อเอาอย่างหลวงปู่ดูลย์สอนสั้นๆ พวกเราไม่รู้เรื่อง เพราะอินทรีย์พวกเราอ่อน ขี้เกียจด้วย ใครยังรู้สึกตัวว่าขี้เกียจบ้าง ไม่ต้องยกๆ ของมันเห็นๆ กันอยู่ ไม่ต้องยกหรอก ถ้ายังมีการเว้นวรรค การปฏิบัติของเรายังประมาทเกินไป ตอนนี้ขอเล่นเกมสัก ชั่วโมงหนึ่งก่อนอะไรอย่างนี้ นี่ประมาทนะ ระหว่างเล่นเกมอาจจะช็อกตายก็ได้ ดีใจชนะเกม นี่ประมาท ฉะนั้นอย่าให้มีช่องโหว่ ช่องโหว่เล็กนิดเดียวกิเลสลุยทันที กิเลสมันเก่งนะไม่ใช่มันไม่เก่ง ต้องฝึก หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนสั้นๆ อย่างถ้าท่านจะสอนให้ จิตเรามีสมาธิตั้งมั่นนี่ ท่านพูดประโยคเดียว “อย่าส่งจิตออกนอก” จิตออกนอกคือจิตไหลไป ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ บอกอย่าส่งไป แต่ถ้าจิตมันส่งไปเอง ห้ามมันไม่ได้นะ แต่เราอย่าส่งไป ส่งไปก็คืออุ้ยสนุกจังเลย ดูละครสัตว์นี่สนุกจังเลย ส่งจิตไปดู ไปดูหมูเด้ง มันเด้งบ้างไม่เด้งบ้าง ส่วนใหญ่มันนอน ก็อุตส่าห์ไปดูกัน ไปดู เวลาไปดูหมูเด้ง เห็นไหมใจไปอยู่ที่หมูเด้ง ถ้าตายไปเราจะต้องแย่งกันไปเป็นฮิปโป แล้วคราวนี้ คนอื่นเขาจะมาดูเราเด้งบ้างแล้ว นี่ใจมันไหลออกไป อย่าส่งจิตออกนอกก็คืออย่ามีโลภะเจตนา เที่ยวแสวงหากามคุณอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะทั้งหลาย แต่ธรรมชาติของจิตย่อมส่งออกนอก เห็นไหมจิตมันโดยตัวมันชอบส่งออกนอก ไม่ห้าม ถ้าจิตส่งออกนอกแล้วให้มีสติรู้ทัน ตรงนี้สำคัญนะ นี่คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ประโยคเดียว แต่พอกระจายออกมา โห มันเป็นหลักการปฏิบัติ ที่เยอะแยะไปหมดเลย ถ้าจิตเราไม่ส่งออกนอกจิตเราจะเป็นอย่างไร จิตเราจะตั้งมั่น จิตเราจะตั้งมั่น เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน หลวงพ่อฝึกได้จิตที่ตั้งมั่น มาตั้งแต่ 10 ขวบ ฉะนั้นเวลาหลวงปู่สอน หลวงปู่ไม่มาบอกหลวงพ่อว่า อย่าส่งจิตออกนอก หลวงปู่ต่อยอดให้เลย “จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป” ท่านสอนตรงนี้ จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป เวลาตาเราเห็นรูปเราจงใจเห็นไหม หลับตาซิ ทุกคนหลับตา แล้วลองหันหน้าไปให้มันเปลี่ยนทิศทาง แล้วลืมตา เราเจตนาเห็นไหม ไม่ได้เจตนา จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป อันแรกเลยไม่ได้เจตนา มีรูปอย่างไรก็เห็นมันไปอย่างนั้น หันไปแล้วไปเจอสาวสวยก็รู้ รู้รูป หันไปแล้วไปเจอหมาขี้เรือนวิ่งเข้ามา หรือเสือกำลังวิ่งเข้ามาก็รู้ รู้ทัน เหมือนตาเห็นรูป เราไม่เลือกนี่ เราเลือกได้ไหมว่าจะเห็นรูปอะไร เราเลือกไม่ได้ ตาจะเห็นรูปที่ดีหรือรูปที่ไม่ดี ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจ เราเลือกไม่ได้ การดูจิตเขาบอก จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป เราไม่เลือกอารมณ์ของจิต อย่างตาก็ไม่เลือกอารมณ์ของตา มีรูปอะไรก็เห็นไปอย่างนั้น จิตนี่เราก็ไม่เลือกอารมณ์ อารมณ์ที่ดีมาเราก็รู้ อารมณ์ที่ไม่ดีมาเราก็รู้ ตามรู้อย่างที่มันมีอย่างที่มันเป็นไป มีญาณเห็น ญาณแปลว่าความหยั่งรู้ เป็นลักษณะของปัญญา ฉะนั้นไม่ใช่รู้โง่ๆ ไม่ใช่รู้เอ๋อๆ น้ำลายยืดๆ รู้ ไม่ใช่ รู้ต้องมีปัญญา มีใจที่ตั้งมั่นปัญญาถึงเกิด มันผ่านบทเรียนที่ชื่อว่า อย่าส่งจิตออกนอกมาแล้ว ใจมันตั้งมั่นแล้ว พอใจมันตั้งมั่นแล้ว มันถึงจะมีญาณเห็นจิตได้ ญาณเป็นปัญญา ปัญญามีสัมมาสมาธิ คือความตั้งมั่นเป็นเหตุใกล้ให้เกิด ฉะนั้นที่หลวงพ่อจะจ้ำจี้จำไชพวกเรา เฮ้ย จิตต้องตั้งมั่นนะ จิตต้องถึงฐานนะ เพื่อจะเอาไว้เดินปัญญา ทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป หมายถึงว่ามีอารมณ์อะไร เกิดขึ้นก็สักว่ารู้ว่าเห็นไป รู้เห็นอย่างที่มันมีอย่างที่มันเป็น แล้วไม่ได้รู้โง่ๆ รู้แบบมีปัญญา อันแรกเลยมีสติรู้ว่ามี อารมณ์อะไรเกิดขึ้นกับจิต เช่นความสุขความทุกข์ กุศลอกุศลเกิดขึ้นกับจิต รู้ทัน อันที่สองมีปัญญาซ้ำลงไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่จิตไปรู้เข้า ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ความสุขก็ไม่เที่ยง ความทุกข์ก็ไม่เที่ยง กุศลอกุศลก็ไม่เที่ยง หัดดูอย่างนี้ คำว่า “จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป” คืออย่างนี้ ไม่ใช่นั่งจ้องอยู่ที่จิต ถ้าไปนั่งจ้องอยู่ที่จิต ไม่ใช่แล้ว มันก็คล้ายๆ เราเข้าห้องปิดประตู แล้วก็จุดเทียนไว้อันหนึ่ง แล้วก็มองอยู่ที่เทียน ไม่ให้มองอันอื่นเลย ตาก็ต้องเห็นแต่เทียนนี่ล่ะ เห็นอย่างอื่นไม่ได้ ไม่ใช่นะ มีตาก็เห็นอย่างที่มันจะต้องเห็น จิตของเราจะมีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น ให้มันรู้สึกไปอย่างที่มันมี อย่างที่มันเป็น แล้วเราก็ตามเห็นไป ตอนนี้จิตสุข ตอนนี้จิตทุกข์ ตอนนี้จิตเป็นกุศล ตอนนี้จิตเป็นอกุศล ตามรู้ตามเห็นไป พอตามรู้ตามเห็นไปมากพอ มันจะรู้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา ทำไม่ใช้คำว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทำไมไม่ใช้ว่าโลภโกรธหลง สุขทุกข์ดีชั่วอะไร ใช้คำว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หมายถึง Everything ที่เกิด ทั้งหมดนั่นล่ะต้องดับ ฉะนั้นไม่ใช้คำว่าสุขเกิดแล้วสุขดับ ทุกข์เกิดแล้วทุกข์ดับ กุศลเกิดแล้วก็ดับ โลภโกรธหลงเกิดแล้วก็ดับ อย่างตอนที่เราหัดดูใหม่ๆ ใช่ไหม เราก็จะเห็นสุขเกิดแล้วดับ ทุกข์เกิดแล้วดับ กุศลเกิดแล้วดับ โลภโกรธหลงเกิดแล้วดับ เราดูแต่ละอันเกิดแล้วดับ แต่ละอันเกิดแล้วดับ ตรงที่ปัญญาแก่รอบเต็มที่แล้วนี่ มันไม่มานั่งดูทีละอัน มันสรุปรวบยอด ปัญญาในอริยมรรคนี่มันสรุปรวบยอดเลยว่า สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา Everything เกิดแล้วดับ ตรงนี้เราจะเข้าใจธรรมะ ก็ได้โสดาบันตรงนี้ ถัดจากนั้นก็ภาวนาของเราแบบเดิมนั่นล่ะ แต่ศีลของเราเต็มที่อยู่แล้วล่ะ สมาธิก็จะแก่กล้าขึ้น แล้วก็เจริญปัญญาไป พระสกทาคาพระโสดาบันศีลบริบูรณ์ สมาธิเล็กน้อย ปัญญาเล็กน้อย สมาธิเล็กน้อยคือใจเราวอกแวกๆ ไม่ได้ต่างกับชาวบ้านธรรมดาหรอก พระโสดาบันปัญญาเล็กน้อย เห็นไตรลักษณ์เป็นคราวๆ ไม่ได้เห็นได้ตลอดหรอก พระสกทาคามีศีลบริบูรณ์ อันนี้บริบูรณ์ตั้งแต่โสดาบันแล้ว สมาธิปานกลาง ปัญญาเล็กน้อย ปัญญาเล็กน้อยก็ยังไม่ได้ รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจอะไร ปัญญาเล็กน้อยก็ แค่สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ แต่จิตมีกำลังตั้งมั่นมากขึ้น สมาธิปานกลาง สมาธิปานกลางก็คือถ้าจะหลง หลงแวบเดียว ฟุ้งไปก็ฟุ้งสั้นๆ ไม่ฟุ้งยาว ถ้าฟุ้งเป็นชั่วโมงไม่ใช่แล้วล่ะ แสดงว่าสมาธิอ่อนเหลือเกิน แล้วถ้าภาวนาต่อไป รู้แจ้งแทงตลอดในตัวร่างกายในรูปนี่ ว่าไม่ใช่อย่างอื่นมีแต่ทุกข์ รู้แจ้งแทงตลอดอย่างนี้จิตมันวางกาย พอมันวางร่างกาย มันก็จะวางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันก็จะพลอยวางรูปเสียง กลิ่นรสโผฏฐัพพะไปด้วย ตัวที่ทำให้จิตเราฟุ้งซ่านก็คือกามนั่นล่ะ พอเป็นพระอนาคามีมันวาง ตาหูจมูกลิ้นกายลงไปได้ แล้วก็วางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะไปด้วย ความยินดีพอใจในรูปไม่มี ความยินร้ายในรูปไม่มี ใจก็ไม่วิ่งแส่ส่ายออกไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย นี่สมาธิมันบริบูรณ์เพราะเหตุนี้ เพราะว่าจิตไม่ไหลตามกามออกไป ไม่ไหลไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย มันตั้งมั่นเด่นดวงอยู่กับตัวเองนี่ ถึงบอกพระอนาคามีมีสมาธิบริบูรณ์ มีปัญญาปานกลาง โสดาบัน สกทาคามี เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ดับไป ไม่มีตัวเรา พระอนาคามีมีปัญญาปานกลาง คือเห็นว่ารูปทั้งหลายร่างกายนี่ ไม่มีอย่างอื่นนอกจากทุกข์ ไม่มีอย่างอื่นเลย เห็นมีแต่ทุกข์ล้วนๆ เลย นี่เป็นปัญญาปานกลาง แต่ทำไมปัญญานี้ยังไม่สิ้นสุด พระอนาคามียังหลงผิดอยู่ ว่าตัวจิตที่ฝึกดีแล้วนี่มีความสุข ฉะนั้นจะมุ่งไปหาความสุขของสมาธิ จะไปติดในรูปราคะอรูปราคะ ทีนี้ภาวนาไปเรื่อยก็จะรู้เลย รูปราคะอรูปราคะ จิตเข้าไปติดไปยึดจิตก็ทุกข์อีก แล้วต่อไปปัญญาแก่รอบจริงๆ จะรู้ว่า จิตนั่นล่ะคือตัวทุกข์ มันจะแตกหัก วัฏจักรจะล่มลงก็ตรงที่ มันรู้แจ้งแทงตลอดว่าจิตคือตัวทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์บ้างสุขบ้าง อย่างที่เคยเห็นแล้ว ตัวนี้คือปัญญาขั้นสุดท้ายเลย ก็จะรู้แจ้งแทงตลอด ปฏิจจสมุปบาทล้างอวิชชา อวิชชาคืออะไร คือความไม่รู้ทุกข์ ไม่สามารถรู้ทุกข์ได้ ไม่สามารถละสมุทัย ไม่สามารถแจ้งนิโรธ ไม่สามารถเจริญอริยมรรคได้ แต่ตรงที่มันรู้แจ้งแทงตลอดว่า จิตนั้นล่ะคือตัวทุกข์ นี่คือขันธ์ตัวสุดท้าย ที่เราจะสามารถเห็นได้ว่ามันคือตัวทุกข์ ตัวกายดูง่ายว่าเป็นตัวทุกข์ แต่พอถึงตัวจิตจะให้ดูว่า กระทั่งจิตที่ทรงฌานก็คือตัวทุกข์ ไม่ใช่ง่าย อันนี้เลยเป็นปัญญาอย่างยิ่ง รู้แจ้งแทงตลอดในกองทุกข์ ก็รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจนั่นล่ะ กว่าจะถึงจุดนี้ก็ต้องสู้ จุดเริ่มต้นของการสู้ ทำอย่างที่หลวงพ่อบอกนั่นล่ะ ถือศีล 5 ไว้ ทุกวันทำในรูปแบบไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิเดินจงกรม จิตจะได้มีกำลัง หัวใจของการปฏิบัตินั้นคือ การเจริญสติในชีวิตประจำวัน ถ้าเราทำอย่างนี้ได้มรรคผลไม่ใช่เรื่องไกล ถ้าเก่งเฉพาะตอนนั่งสมาธิยังอีกไกล เพราะอยู่ในชีวิตจริงเราล้มเหลว เพราะฉะนั้นฝึกนะที่หลวงพ่อบอกให้วันนี้ เป็นแก่นสารสาระในการฝึกกรรมฐานเลย เหมือนที่หลวงปู่มั่นบอก ทำสมาธิมากเนิ่นช้า คิดพิจารณามากฟุ้งซ่าน หัวใจสำคัญของการปฏิบัติ คือการมีสติในชีวิตประจำวัน วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ ขอเบรกแป๊บหนึ่ง ปีนี้รู้สึกแก่ลงไปเยอะเลย เมื่อก่อนเทศน์สอนใหม่ๆ หลวงพ่อเคยสอน ตอนนั้นยังไม่บวช สอนเพื่อนๆ สอนโต้รุ่งเลย เนสัชชิกกันแล้วก็นั่งกัน มาบวชทีแรกก็สอน 7 วัน สอนทั้งวัน ต่อมาก็ลดลงเหลือสอน 4 วัน สอนครึ่งวัน เดี๋ยวนี้เหลือ 2 วัน แต่ว่าทุกวันคนไปที่วัดเยอะแยะ ก็สอนให้เหมือนกัน บางวันหมดแรงจริงๆ ก็ต้องพักเหมือนกัน แก่แล้ว เอาใครก่อนดี เบอร์ 1 เพ่งอยู่นะ เบอร์ 1: ภาวนาในรูปแบบ โดยเดินจงกรมเช้าเย็น ในชีวิตประจำวันดูร่างกายที่เคลื่อนไหว ไม่ทราบว่าตอนนี้จิตตั้งมั่น พร้อมจะเดินปัญญาได้หรือยังครับ ตอนนี้เราบังคับจิตอยู่รู้สึกไหม มันบังคับอยู่นะขณะนี้ ไหนมาเดินให้หลวงพ่อดูซิ นึกว่าตรงนี้เป็นแคทวอร์ค เดิน อย่าเสียชื่ออาจารย์นะ อาจารย์เก่งทางเดินจงกรม ใช้ได้ มานั่งได้แล้ว มันต้องมีสติอย่างนี้ล่ะ ขาดสติมันไม่ได้เรื่องเลย แต่ว่าเกร็งเพราะว่าจะคุยกับหลวงพ่อ จะส่งการบ้านเลยเกร็ง แล้วดูออกไหมจิตมันอยู่ข้างนอก จิตไปข้างนอก รู้ไหมตัวนี้เห็นไหม จิตไม่เข้าฐานตัวนี้เห็นไหม ลองหายใจซิ หายใจอย่าไปยุ่งกับจิต หายใจธรรมดา เห็นร่างกายหายใจด้วยใจธรรมดา หลงคิด หายใจไปด้วยใจธรรมดา แล้วจิตหลงคิดรู้ทัน หายใจไปอีก มันยังไม่เข้ามา เริ่มเข้ามาแล้ว รู้สึกไหมไม่เหมือนกัน อ้าวเบอร์ 2 จิตต้องทรงสมาธิมันต้องอย่างนี้ จิตไปว่างๆ อยู่ข้างนอก นิ่งๆ อยู่ข้างนอก ใช้ไม่ได้ มันเพลินๆ ไป เบอร์ 2 ภาวนาในรูปแบบเดินจงกรม วันละหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ในชีวิตประจำวันดูร่างกายที่เคลื่อนไหว ยังหลงนาน บางครั้งเห็นไหวๆ พุ่งที่กลางอก ใช่การเห็นเกิดดับไหมคะ ใช่ ที่มันไหวๆ เพราะมันไม่เที่ยง แล้วมันไหวได้เอง รู้สึกไหม เราไม่ได้สั่ง ดีแล้วไปทำต่อ เบอร์ 3 ภาวนาในรูปแบบ นั่งสมาธิทุกวัน 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ในชีวิตประจำวันเคลื่อนไหวรู้สึก ดูร่างกายหายใจเข้าออก หายใจเข้าพุทออกโธเป็นวิหารธรรม อยากที่จะพ้นทุกข์ ทำให้รีบภาวนา ความอยากทำให้ลืมทุกอย่าง จนสุดท้ายจิตทนไม่ไหว และรู้ว่าไม่ใช่ทาง จิตวางลงได้ขณะหนึ่ง แต่วางได้สักพักจิตก็หยิบขึ้นมาอีก ขอหลวงพ่อแนะนำการปฏิบัติต่อค่ะ ก็ทำอย่างที่ทำนี่ล่ะ อาจารย์สอนมาดีแล้ว แต่ตรงนี้จิตออกนอก รู้สึกไหม ว่าจิตก็ยังไม่เข้าฐาน รู้สึกไหม ทำอย่างไรมันจะเข้า ทำไม่ได้เพราะจิตเป็นอนัตตา ถ้าเมื่อไรเรารู้ว่าจิตมันไหล มันจะเข้าฐานเอง แล้วในความเป็นจริง ถ้าเรามีสติรู้สภาวะที่กำลังมีกำลังเป็น จิตจะเข้าฐานเอง อย่างโกรธแล้วรู้ว่าโกรธ หลงไปคิดรู้ว่าหลงไปคิด ดูปุ๊บจิตจะเข้าที่เลย เพราะเมื่อไรมีสัมมาสติ รู้เท่าทันกายใจของตัวเอง สัมมาสมาธิจะเกิดร่วมด้วยเสมอ จิตจะตั้งมั่น ตรงนี้ไม่ใช่แล้ว นึกออกไหมมันแน่น ใช้ได้ เก่ง ไม่เสียชื่ออาจารย์ เบอร์ 4 เลยกดดันมากเลย ไม่รู้จะเสียชื่ออาจารย์ไหม เลยกดดัน ไม่ต้องกลัว เก่ง ใช้ได้ เบอร์ 4: ภาวนาในรูปแบบ สวดมนต์นั่งสมาธิ 15 นาที เดินจงกรม 30-45 นาที ในชีวิตประจำวันรู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจทำงาน บางทีก็ดูร่างกายหายใจกับบริกรรมพุทโธ หลวงพ่อสอนให้ใช้พุทโธเป็นเครื่องอยู่ ในชีวิตประจำวันยังหลงนาน ยังคงปฏิบัติในรูปแบบทุกวัน ทำอย่างไรการภาวนาในชีวิตประจำวัน จึงจะต่อเนื่องเข้มแข็งกว่านี้ค่ะ ถ้าไม่ชอบพุทโธก็ใช้กรรมฐานอื่นก็ได้ อันไหนก็ได้ที่เราถนัด หลวงพ่อเรียนมาจากครูบาอาจารย์ท่านสอนพุทโธ เวลาพูดก็เลยพุทโธอยู่เรื่อยๆ จริงๆ ใช้อะไรก็ได้ ถ้าจิตอยู่ในอารมณ์อันเดียว อย่างต่อเนื่องโดยที่เราไม่ได้บังคับ สมาธิก็เกิด ทีนี้อารมณ์อะไรที่จิตจะอยู่ อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องบังคับได้ อารมณ์ที่อยู่แล้วมีความสุข ของหนูภาวนาดีนะ ดีมากๆ เลย ใช้ได้เลย นี่สงสัยเป็นตัวเก่ง อาจารย์เลยซ่อนไว้เบอร์ 4 เบอร์ 1 ก็เก่งนะเสียแต่ว่าเพ่งมากไป เราจงใจปฏิบัติ เราอยากดี อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ อยากดีนี่ ตัวนี้ถ่วงเรา มันทำให้จิตใจเราไม่เป็นธรรมชาติ เบอร์ 5 แป๊บหนึ่ง เบอร์ 7 ไม่ต้องตั้งท่ามาก ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องจะตายขึ้นมานะหายใจ ไม่ได้ ดีแล้วอยู่แล้วไม่ต้องกลัว ดีทั้งหมดล่ะ ทั้ง 4 คนที่เหลือใช้ได้ทั้งนั้น ไม่ต้องกังวล เบอร์ 5 ภาวนาในรูปแบบเดินจงกรมและนั่งสมาธิ วันละ 1-2 ชั่วโมง เช้าและก่อนนอน ใช้กายเป็นเครื่องอยู่ ในชีวิตประจำวันดูกายและจิตที่เปลี่ยนแปลง ยังชอบบังคับแทรกแซง เห็นว่าโลกไม่มีอะไรให้ยึด แต่ก็หนีไปไม่ได้ ขอหลวงปู่ชี้แนะแนวทางครับ ที่ฝึกอยู่ใช้ได้ ดีแล้วล่ะ ทำอีก ส่วนที่เห็นว่าโลกไม่มีอะไรไม่น่ายึด อันนั้นยังไม่จริง มันก็ยังแอบยึดอยู่เรื่อยๆ แอบอยากอยู่ เรียนรู้ไป จนกระทั่งมันเห็นทุกข์ถ่องแท้แล้ว มันก็ไม่เอาแล้ว โลกไม่มีอะไรจริงๆ โลกก็เอาไว้หลอกคนหลงเท่านั้น เก่ง แต่ตอนนี้จิตออกนอก เบอร์ 6 ภาวนาในรูปแบบนั่งสมาธิวันละ 1 ชั่วโมง โดยใจอยู่กับลมหายใจเข้าออก ในชีวิตประจำวันอยู่กับลมหายใจเข้าออก มีสติเวลานั่งยืนเดิน สังเกตตัวเองได้ว่าชอบความสงบ หลังๆ เวลาเข้าสมาธิ ใจไม่อยากออกจากความสงบ มีราคะ มีเมตตา มีจิตฟุ้งซ่าน มาเจือปนตลอดเวลา แต่บังคับไม่ได้ เพียงแต่รับรู้ไป แต่ละตัวที่กล่าวมาดับไปบังคับไม่ได้ รู้สึกว่าสมาธิมีคุณภาพ เนื่องจากมันสงบโดยที่ใจไม่ได้บังคับ แบบนี้ถูกหรือไม่ครับ สมาธิดีแล้ว แต่ว่าจะต้องเจริญปัญญา สมาธิเอาไว้เจริญปัญญา ไม่ได้เอาไว้นอนเล่น ถ้าใจเราชอบ ให้รู้ลงไปตรงๆ เลยว่าใจเราชอบสมาธิอันนี้ ดูเข้าไปแล้วเวลาเดินปัญญามัน ไม่สงบเหมือนตอนทำสมาธิหรอก คือเวลาที่เจริญปัญญาจิตมันจะทำงานขึ้นมา คล้ายๆ ฟุ้งซ่าน เพียงแต่มีสติกำกับอยู่ ทีนี้คนที่ติดสมาธิพอใจในความสงบ จะไม่ยอมเดินปัญญา ก็เสียโอกาส คล้ายๆ อยากได้ของดีมากๆ เลย เราไปได้ของระดับรองแล้วเราพอใจแล้ว ทำสมาธิให้หลวงพ่อดูสิ ตรงนี้สังเกตเห็นไหมว่า จิตเราเคลื่อนไปอยู่ที่อารมณ์กรรมฐาน มองออกไหม ให้รู้ทันตัวนี้ แล้วเราเดินปัญญาในสมาธิได้ ชอบสมาธิก็เดินปัญญาในสมาธินี่ล่ะ ใครจะมาทำไม ทำใหม่ซิ ไม่ต้องตั้งใจแรง ตรงนี้ตั้งใจแรงไป ผ่อนคลายกว่านี้ จงใจแรงไปแล้ว ธรรมดาๆ ถอยออกมา มันไม่ได้อย่างเมื่อกี้ รู้สึกไหม เวลาที่จิตเดินปัญญามันไม่สงบเฉยๆ หรอก เมื่อกี้จิตมัน หลวงพ่อกระตุ้นให้มันเดินปัญญา ที่มันไหลไปที่อารมณ์กรรมฐาน พอเรารู้ทัน จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา คราวนี้มันจะออกไปคอยรู้แล้ว มันก็เลยส่ายไปส่ายมาอยู่ข้างใน ถ้ามันส่ายๆ อย่างนี้ กลับมาทำความสงบเหมือนเดิม ให้สงบแน่วแน่ลงไป แล้วคลายออก แล้วดูการทำงานของจิตใจไป เราจะเห็นจิตเราไหลไปอยู่ที่อารมณ์กรรมฐาน ให้รู้ทันเอา ตอนนี้จิตไหลไปอยู่ในความคิด รู้สึกไหม รู้ทันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอยู่ในสมาธิเราก็เจริญปัญญาได้ ออกมาข้างนอกก็ดูได้ เพราะว่าเราสามารถเห็นจิตมันไหลไปคิด นี่เจริญสติในชีวิตประจำวัน ฉะนั้นตอนนั่งสมาธิแล้ว เราเห็นจิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ อันนี้เราเดินปัญญาอยู่ภายใน เราเห็นจิตเป็นอนัตตา ไหลไปได้เอง ออกมาข้างนอกเราเห็นจิตมันไหลไปคิดได้เอง เพราะฉะนั้นฝึกให้มันเดินปัญญาต่อให้ได้ แต่อย่าให้เสียสมาธิ มีสมาธิดีแล้วล่ะ เบอร์ 7 ภาวนาในรูปแบบโดยการดูการเคลื่อนไหว ชอบนั่งสมาธิเพราะเบาสบาย กลัวติดเลยไม่นั่ง ในชีวิตประจำวันดูการเคลื่อนไหว แต่ดูได้ไม่ตลอด รู้สึกว่าสติไม่สามารถต่อเนื่องได้ ดูการเคลื่อนไหวที่ทำอยู่ถูกต้องไหมคะ จงใจหายใจรู้ไหม รู้ทันนะ เราดูกายอย่างที่มันเป็น ไม่ต้องจงใจ ที่ฝึกอยู่ดีนะ ไปทำได้แล้ว ทำต่อไป ทำถูกแล้ว อ้าวคนสุดท้าย พักเสียหน่อยดีไหม อ้าวๆ ส่งเลยก็แล้วกัน เบอร์ 8: ภาวนาในรูปแบบ สวดมนต์ครึ่งชั่วโมง นั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง ดูร่างกายหายใจ จิตเกิดความสว่าง มีจิตรู้ ในชีวิตประจำวันดูร่างกายเคลื่อนไหว จิตโกรธก็รู้ จิตโมโหรู้ หลงรู้ มีความอยากก็รู้ บางครั้งก็ลืมตัว จิตเข้าถึงฐานและ แยกธาตุแยกขันธ์ได้หรือยังคะ ได้ แต่เบอร์ 8 ยังชินที่จะบังคับจิตให้นิ่งอยู่ ไม่ต้องน้อมให้มันนิ่ง ทำสมาธิก็ทำไป เวลามันจะนิ่งมันก็นิ่งของมันเอง อย่าพยายามทำมันให้นิ่ง ใจมันจะทื่อๆ ไป มันจะแน่นๆ รู้สึกไหมมันจะแน่นๆ ที่แน่นๆ เพราะเราจงใจ ฉะนั้นเรานั่งสมาธิอะไรก็ทำไปเถอะ สงบก็ช่างไม่สงบก็ช่าง ทำไปเถอะ แล้วมันสงบเอง อันนั้นถึงจะดี นี่เริ่มบังคับแล้วรู้สึกไหม ตรงจุดนี้ ให้รู้ทันตรงนี้ ตัวนี้ที่ทำให้เสียเวลา กลายเป็นว่าเราน้อมจิต บังคับจิตให้มันไปนิ่งๆ อยู่เฉยๆ ทำสมาธิไป แล้วจิตเป็นอย่างไร แอบไปทำอะไร เรารู้ทัน ตรงนี้สติอ่อนลงไปแล้ว โมหะแทรก ให้รู้ทัน เออ รู้สึกตัวให้แรงขึ้นนิดหนึ่ง รู้ไประดับนี้ แล้วคอยดูไปเรื่อยๆ เกิดความเปลี่ยนแปลง อะไรขึ้นที่จิตก็คอยรู้ทันไป แล้วออกจากสมาธิให้พิจารณาร่างกายไปเลย ผมขนเล็บฟันหนังเนื้อเอ็นกระดูก เป็นปฏิกูล เป็นอสุภ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ออกจากสมาธิมาพิจารณาตัวนี้เลย วันนี้เอาเท่านี้ก็แล้วกัน 10 โมงพอดี ของท่านอาจารย์ติดสมาธิ ไปน้อมจิตให้มันนิ่งๆ เฉยๆ คลายออกให้มันทำงาน รู้สึกร่างกายไป อาศัยร่างกายเป็นวิหารธรรม ขยับเขยื้อนไป กวาดวัดทำอะไรต่ออะไรไป เห็นร่างกายมันทำงานใจเราเป็นคนดู ดูอย่างนี้เรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่พัฒนา จะเฉยๆ กี่ปีมันก็อยู่อย่างนั้นล่ะ เพราะมันติดสมาธิเฉยๆ