WEBVTT 00:00:04.650 --> 00:00:10.764 เจริญพร 00:00:10.764 --> 00:00:15.804 เช้าๆ วันอาทิตย์มาฟังธรรมก็ดี 00:00:15.804 --> 00:00:29.080 ได้มีแรงเอาไว้สู้กิเลสอีกหลายวัน 00:00:29.080 --> 00:00:35.412 ธรรมะเป็นของร่มเย็น โลกมันเร่าร้อน 00:00:35.412 --> 00:00:39.384 เราฝึกปฏิบัติกันไป 00:00:39.384 --> 00:00:43.112 จิตใจเราร่มเย็นเป็นสุข 00:00:43.112 --> 00:00:45.643 โลกข้างนอกเราแก้มันไม่ได้ 00:00:45.643 --> 00:00:50.871 มันวุ่นวายอย่างนี้ ธรรมดาของโลก 00:00:50.871 --> 00:00:56.451 เรามาฝึกจิตใจของเราเอง ให้อยู่กับโลกได้ 00:00:56.451 --> 00:01:03.193 โดยที่เราไม่ร้อนตามมันไปด้วย 00:01:03.193 --> 00:01:07.473 ธรรมะเป็นของร่มเย็น 00:01:07.473 --> 00:01:14.369 เสียดายชาวพุทธเราส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจธรรมะ 00:01:14.369 --> 00:01:16.943 เป็นพุทธแต่ชื่อ 00:01:16.943 --> 00:01:23.576 ไม่เคยลิ้มรสเลยว่า รสของธรรมะนั้นวิเศษแค่ไหน 00:01:23.576 --> 00:01:27.545 เราไปตามวัดตามอะไรอย่างนี้ เห็น 00:01:27.545 --> 00:01:35.514 พากันไหว้พวกเทวรูปพวก สิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกพระพุทธศาสนา 00:01:35.514 --> 00:01:37.755 ไหว้ต้นตะเคียนไหว้อะไรอย่างนี้ 00:01:37.755 --> 00:01:42.889 ตามวัด เยอะแยะ 00:01:42.889 --> 00:01:46.547 วัดที่สอนกรรมฐานจริงๆ คนก็ไม่ค่อยเข้า 00:01:46.547 --> 00:01:50.717 คนก็ชอบเข้าวัดแบบนั้น มันพอดีกัน 00:01:50.717 --> 00:01:54.959 พอดีกับสภาพจิตใจ 00:01:54.959 --> 00:01:58.562 คนที่จะสนใจธรรมะก็ต้องมีบุญมีบารมี 00:01:58.562 --> 00:02:01.401 สะสมมามากพอ 00:02:01.401 --> 00:02:04.125 คนส่วนใหญ่อินทรีย์ก็ยังอ่อน 00:02:04.125 --> 00:02:07.860 เขาก็ต้องการที่พึ่งแบบโลกๆ ไป 00:02:07.860 --> 00:02:13.165 ทำแล้วเฮง ทำแล้วรวย 00:02:13.165 --> 00:02:16.167 ทำแล้วได้ผลประโยชน์ 00:02:16.167 --> 00:02:19.371 มุ่งไปที่ตรงนั้น 00:02:19.371 --> 00:02:24.633 ถามว่ามันมีประโยชน์ไหม มันก็มีนะ 00:02:24.633 --> 00:02:30.064 แต่ประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด 00:02:30.064 --> 00:02:32.351 ที่พระพุทธศาสนาจะให้ได้ 00:02:32.351 --> 00:02:38.516 คนกลับไม่ค่อยเข้าใจไม่ค่อยสนใจ 00:02:38.516 --> 00:02:44.301 ฉะนั้นเราต้องลงมือศึกษาปฏิบัติให้จริงจัง 00:02:44.301 --> 00:02:47.211 อย่าทำเป็นเล่น 00:02:47.211 --> 00:02:50.699 เวลาของแต่ละคนมีไม่มาก 00:02:50.699 --> 00:02:54.657 เวลาของเราหมดไปทุกวันๆ 00:02:54.657 --> 00:02:59.693 ครูบาอาจารย์ก็ร่อยหรอลงทุกทีแล้ว 00:02:59.693 --> 00:03:02.886 เมื่อ 40 กว่าปี 50 ปีก่อน 00:03:02.886 --> 00:03:07.222 สมัยหลวงพ่อออกศึกษาธรรมะ 00:03:07.222 --> 00:03:12.479 ครูบาอาจารย์ที่ดีๆ ยังมีเยอะ 00:03:12.479 --> 00:03:16.446 ยิ่งทางอีสาน 00:03:16.446 --> 00:03:19.300 มีครูบาอาจารย์ดีๆ เต็มไปหมดเลย 00:03:19.300 --> 00:03:23.048 ถนนสายเดียวนี่วิ่งไปสักพักหนึ่งก็เจอ 00:03:23.048 --> 00:03:27.516 วัดนี้องค์นี้อยู่ วัดนี้องค์นี้อยู่ 00:03:27.516 --> 00:03:31.698 เดี๋ยวนี้พอผ่านไป วัดนี้องค์นี้เคยอยู่ 00:03:31.698 --> 00:03:34.770 ที่วัดนี้องค์นี้ก็เคยอยู่ 00:03:34.770 --> 00:03:36.757 มีแต่คำว่าเคยอยู่ 00:03:36.757 --> 00:03:41.182 ท่านไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว 00:03:41.182 --> 00:03:44.980 สมัยก่อนหลวงพ่อเลยชอบวันหยุด 00:03:44.980 --> 00:03:48.308 จะออกไปทางอีสานหรือไม่ก็ขึ้นไปทางเหนือ 00:03:48.308 --> 00:03:53.274 ไปหาครูบาอาจารย์ทางเชียงใหม่เชียงราย 00:03:53.274 --> 00:03:57.413 ส่วนใหญ่จะไปทางอีสานครูบาอาจารย์เยอะ 00:03:57.413 --> 00:04:00.631 ไปแล้วมันมีความสุข 00:04:00.631 --> 00:04:02.417 ไปกินข้าววัด 00:04:02.417 --> 00:04:07.878 ไปภาวนาอยู่ในวัด ไปนอนอยู่ในวัด 00:04:07.878 --> 00:04:11.631 อาหารที่กินก็อาหารชาวบ้านธรรมดา 00:04:11.631 --> 00:04:15.984 น้ำพริกกับผักอะไรอย่างนี้ 00:04:15.984 --> 00:04:19.345 กินอาหารอย่างนั้นจริงๆ เราไม่ค่อยคุ้นเคย 00:04:19.345 --> 00:04:21.327 เราคนเมือง 00:04:21.327 --> 00:04:24.289 แต่เราไปอยู่อย่างนั้นเรารู้สึก 00:04:24.289 --> 00:04:30.503 มันไม่มีภาระทางใจ ใจมันสบาย 00:04:30.503 --> 00:04:34.087 นอนมีกุฏิก็นอน 00:04:34.087 --> 00:04:39.616 ไม่มีก็ไปผูกกลดอยู่ใต้ต้นไม้ 00:04:39.616 --> 00:04:42.844 ผ่านเวลากลางคืน 00:04:42.844 --> 00:04:47.585 ออกมาเดินจงกรมใต้แสงเดือนแสงดาว 00:04:47.585 --> 00:04:51.945 สงบวิเวก มีป่ามีเขา 00:04:51.945 --> 00:04:57.444 กลางคืนก็มีสัตว์ร้อง มีนกมีแมลงร้อง 00:04:57.444 --> 00:05:00.093 มันไม่ยั่วกิเลสเรา 00:05:00.093 --> 00:05:04.048 เราก็ภาวนาร่มเย็นเป็นสุข 00:05:04.048 --> 00:05:06.221 นี่ฝึกตัวเองมาทุกวัน 00:05:06.221 --> 00:05:10.115 อยู่ง่าย กินง่าย นอนง่าย 00:05:10.115 --> 00:05:14.161 แล้วเวลาส่วนใหญ่เอาไว้เจริญสติ 00:05:14.161 --> 00:05:16.893 ถึงเวลาก็นั่งสมาธิเดินจงกรม 00:05:16.893 --> 00:05:19.518 ไหว้พระสวดมนต์ 00:05:19.518 --> 00:05:26.678 เวลาที่เหลือเจริญสติในชีวิตประจำวัน 00:05:26.678 --> 00:05:28.743 การเจริญสติในชีวิตประจำวัน 00:05:28.743 --> 00:05:32.508 เป็นเรื่องสำคัญมากเลย 00:05:32.508 --> 00:05:37.865 หลวงปู่มั่นท่านเคยสอน หลวงพ่อไม่ทันท่าน 00:05:37.865 --> 00:05:41.021 แต่ว่าครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ท่าน 00:05:41.021 --> 00:05:44.484 เคยเล่าให้ฟัง 00:05:44.484 --> 00:05:50.576 อย่างท่านสอนบอกว่าทำสมาธิมากเนิ่นช้า 00:05:50.576 --> 00:05:54.085 คิดพิจารณามากฟุ้งซ่าน 00:05:54.085 --> 00:05:56.701 หัวใจสำคัญของการปฏิบัติ 00:05:56.701 --> 00:06:00.716 คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน 00:06:00.716 --> 00:06:04.575 หัวใจอยู่ตรงนี้ 00:06:04.575 --> 00:06:07.695 เก่งเฉพาะตอนนั่งสมาธิตอนเดินจงกรม 00:06:07.695 --> 00:06:09.886 ไม่ได้กินหรอก 00:06:09.886 --> 00:06:13.494 วันหนึ่งจะนั่งเท่าไรจะเดินเท่าไร 00:06:13.494 --> 00:06:16.520 เวลาส่วนใหญ่ถ้าภาวนาไม่เป็น 00:06:16.520 --> 00:06:22.043 โอกาสจะได้มรรคผลนิพพานยากเหลือเกิน 00:06:22.043 --> 00:06:27.275 หลวงพ่อภาวนาเจริญสติเป็นหลักเลย 00:06:27.275 --> 00:06:29.959 บางช่วงยังพลาดพลั้ง 00:06:29.959 --> 00:06:32.529 ไม่ยอมทำสมาธิ รู้สึกเสียเวลา 00:06:32.529 --> 00:06:35.608 ขี้เกียจทำสมาธิ 00:06:35.608 --> 00:06:38.877 พอหลายๆ วันเข้ากำลังสมาธิไม่พอ 00:06:38.877 --> 00:06:41.639 เดินปัญญาไม่ได้จริง 00:06:41.639 --> 00:06:44.807 เพราะฉะนั้นสมาธิก็ต้องทำ 00:06:44.807 --> 00:06:50.549 เวลาส่วนใหญ่ของหลวงพ่อ ใช้การเจริญสติในชีวิตประจำวัน 00:06:50.549 --> 00:06:54.000 เพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านสอนหลวงพ่อมา 00:06:54.000 --> 00:06:56.649 ให้อ่านจิตตนเอง 00:06:56.649 --> 00:06:59.065 การเจริญสติในชีวิตประจำวัน 00:06:59.065 --> 00:07:01.864 กับการอ่านจิตตนเอง 00:07:01.864 --> 00:07:05.712 มันมารวมเข้าด้วยกันได้ 00:07:05.712 --> 00:07:11.364 เราสามารถปฏิบัติในชีวิตธรรมดานี่ล่ะ 00:07:11.364 --> 00:07:13.764 เมื่อตาเห็นรูป 00:07:13.764 --> 00:07:17.649 เกิดความรู้สึกแปลกปลอมขึ้นในใจเรา 00:07:17.649 --> 00:07:20.146 ทีแรกใจเราเฉยๆ 00:07:20.146 --> 00:07:23.728 พอตาเราเห็นดอกไม้สวยงาม 00:07:23.728 --> 00:07:25.863 ใจเราเกิดความชอบขึ้นมา 00:07:25.863 --> 00:07:28.398 ใจเรามีความเปลี่ยนแปลงแล้ว 00:07:28.398 --> 00:07:33.766 เรามีสติรู้ทันความ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในใจเรา 00:07:33.766 --> 00:07:36.562 เวลาหูเราได้ยินเสียง 00:07:36.562 --> 00:07:39.198 เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในใจเรา 00:07:39.198 --> 00:07:43.697 อย่างมีเสียงคนมาด่าเรา 00:07:43.697 --> 00:07:49.407 จิตใจเราเกิดโทสะขึ้นมา เรามีสติรู้ทัน 00:07:49.407 --> 00:07:52.285 จมูกได้กลิ่น 00:07:52.285 --> 00:07:55.163 ได้กลิ่นหอมใจเราชอบ 00:07:55.163 --> 00:07:58.509 หรือบางทีได้กลิ่นหอมแล้วใจเราเกิดสงสัย 00:07:58.509 --> 00:08:02.785 นี่กลิ่นอะไร กลิ่นดอกไม้อะไร 00:08:02.785 --> 00:08:06.753 พอความสงสัยเกิดขึ้น หลวงพ่อไม่ได้ไปดูดอกไม้ 00:08:06.753 --> 00:08:11.671 หลวงพ่อดูลงไปที่จิตใจตัวเอง จิตสงสัย 00:08:11.671 --> 00:08:16.451 เราก็เห็นความสงสัย เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป 00:08:16.451 --> 00:08:19.901 บางทีได้กลิ่นอย่างนี้เหม็น 00:08:19.901 --> 00:08:22.970 ใจรำคาญ ใจไม่ชอบ 00:08:22.970 --> 00:08:26.254 รู้ลงไปที่ใจที่ไม่ชอบ 00:08:26.254 --> 00:08:29.614 การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน 00:08:29.614 --> 00:08:34.065 หลักการง่ายๆ มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง 00:08:34.065 --> 00:08:36.509 มีจมูกก็ดมกลิ่น มีลิ้นก็รู้รส 00:08:36.509 --> 00:08:38.900 มีกายก็กระทบสัมผัส 00:08:38.900 --> 00:08:41.645 มีใจก็คิดนึกไปตามธรรมชาติธรรมดา 00:08:41.645 --> 00:08:44.552 ไม่ห้าม 00:08:44.552 --> 00:08:48.182 ใจเราจะคิดดีคิดร้ายอะไร ห้ามได้ที่ไหน 00:08:48.182 --> 00:08:50.408 จิตมันเป็นอนัตตา 00:08:50.408 --> 00:08:52.343 บางทีเราอยากคิดแต่เรื่องดีๆ 00:08:52.343 --> 00:08:54.813 อ้าว มันกลายไปคิดเรื่องชั่วๆ 00:08:54.813 --> 00:08:58.368 คิดเรื่องกิเลสตัณหาอะไร 00:08:58.368 --> 00:09:02.222 ทีนี้พอใจมันคิดไปในทางไม่ดี 00:09:02.222 --> 00:09:03.615 อกุศลเกิด 00:09:03.615 --> 00:09:06.031 จิตเรามีน้ำหนักขึ้นมา 00:09:06.031 --> 00:09:09.443 จิตเราเศร้าหมองอึดอัดขัดข้อง 00:09:09.443 --> 00:09:11.687 เรามีสติรู้ทันจิต 00:09:11.687 --> 00:09:14.527 โอ้ ตอนนี้จิตเราเศร้าหมองแล้ว 00:09:14.527 --> 00:09:16.398 หรือเวลาที่จิตเราเป็นกุศล 00:09:16.398 --> 00:09:18.696 เรามีสติรู้ลงไป 00:09:18.696 --> 00:09:20.594 อย่างเวลาเห็นครูบาอาจารย์ 00:09:20.594 --> 00:09:23.621 บางทีจิตเรามีปีติ 00:09:23.621 --> 00:09:27.727 ดีใจได้เห็นครูบาอาจารย์มีปีติ 00:09:27.727 --> 00:09:29.975 เราแทนที่จะไปดูแค่ครูบาอาจารย์ 00:09:29.975 --> 00:09:34.224 เราก็เห็นจิตใจมีปีติขึ้นมา 00:09:34.224 --> 00:09:38.765 จิตใจฟังธรรมไป จิตใจเรามีความสุข 00:09:38.765 --> 00:09:41.689 ไม่ได้มัวแต่นั่งฟังเพลินๆ ไป 00:09:41.689 --> 00:09:45.293 จิตใจเรามีความสุข รู้ว่ามีความสุข 00:09:45.293 --> 00:09:50.037 นี่การปฏิบัติจริงๆ สำคัญมากเลยนะตรงนี้ 00:09:50.037 --> 00:09:53.700 แล้วส่วนใหญ่ก็ละเลยกัน ไม่สนใจ 00:09:53.700 --> 00:09:58.230 แล้วกำหนดอะไรต่ออะไรสอนอะไรกันแปลกๆ ไป 00:09:58.230 --> 00:10:01.986 ละเลยการเจริญสติในชีวิตประจำวัน 00:10:01.986 --> 00:10:05.685 ซึ่งหลวงปู่มั่นบอกหัวใจของการปฏิบัติเลย 00:10:05.685 --> 00:10:09.178 การมีสติในชีวิตประจำวัน 00:10:09.178 --> 00:10:12.057 ฉะนั้นถ้าเราอยากมีสติในชีวิตประจำวัน 00:10:12.057 --> 00:10:14.090 เราต้องฝึกตัวเอง 00:10:14.090 --> 00:10:17.263 หัดอ่านใจตัวเองให้ออก 00:10:17.263 --> 00:10:20.835 ตาเราเห็นรูปเกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิตใจ 00:10:20.835 --> 00:10:22.813 อย่างเกิดสุข เกิดทุกข์ 00:10:22.813 --> 00:10:25.065 เกิดกุศล เกิดอกุศล 00:10:25.065 --> 00:10:27.395 ให้เรามีสติรู้ 00:10:27.395 --> 00:10:29.701 อย่างเราเห็นผู้หญิงสวยๆ 00:10:29.701 --> 00:10:33.814 จิตเรามีราคะขึ้นมา ให้มีสติรู้ 00:10:33.814 --> 00:10:37.177 ไม่ใช่จำเป็นว่าต้องทำเฉยๆ 00:10:37.177 --> 00:10:40.826 เห็นผู้หญิงสวยๆ ก็กดจิตไว้ 00:10:40.826 --> 00:10:44.838 เพ่งๆๆ ลงไป ไม่ให้มีความรู้สึกขึ้นมา 00:10:44.838 --> 00:10:48.448 นั่นไม่ใช่การเจริญสติในชีวิตประจำวัน 00:10:48.448 --> 00:10:50.582 แต่เป็นการเพ่ง 00:10:50.582 --> 00:10:53.853 เพ่งอยู่ในชีวิตจริงๆ เลย เพ่งมากๆ 00:10:53.853 --> 00:10:56.429 ใจก็จะแข็งทื่อๆ ไป 00:10:56.429 --> 00:10:58.958 เหมือนอย่างพระองค์นี้ 00:10:58.958 --> 00:11:04.061 ใจก็ทื่อๆ ไป ไปเพ่งเอา 00:11:04.061 --> 00:11:08.843 ฉะนั้นเราต้องฝึกหัดอ่านความรู้สึกตัวเอง 00:11:08.843 --> 00:11:11.187 ตากระทบรูป 00:11:11.187 --> 00:11:12.611 เกิดสุข เกิดทุกข์ 00:11:12.611 --> 00:11:16.640 เกิดกุศล เกิดอกุศล ให้มีสติรู้ทัน 00:11:16.640 --> 00:11:18.892 หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น 00:11:18.892 --> 00:11:21.777 ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส 00:11:21.777 --> 00:11:24.028 เกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดกุศล อกุศล 00:11:24.028 --> 00:11:25.439 ให้มีสติรู้ทัน 00:11:25.439 --> 00:11:28.232 เกิดที่ไหน เกิดที่ใจเรา 00:11:28.232 --> 00:11:30.526 ถ้าจิตเราคิด 00:11:30.526 --> 00:11:33.441 เราเกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดกุศลอกุศล 00:11:33.441 --> 00:11:35.920 ให้มีสติรู้ทัน 00:11:35.920 --> 00:11:37.937 มันยากไหมที่จะรู้ 00:11:37.937 --> 00:11:41.245 ไม่ยาก แต่ละเลยที่จะรู้ 00:11:41.245 --> 00:11:44.063 อย่างเราขับรถอยู่คนมาปาดหน้าเรา 00:11:44.063 --> 00:11:47.090 ขับรถปาดหน้าเรา เราโกรธ 00:11:47.090 --> 00:11:50.683 คนที่ไม่ได้ปฏิบัติจะไปมองรถที่ปาดเรา 00:11:50.683 --> 00:11:52.953 เดี๋ยวจะไปเอาคืน 00:11:52.953 --> 00:11:57.574 ส่วนเรานักปฏิบัติเจริญสติในชีวิตประจำวัน 00:11:57.574 --> 00:12:00.399 คนเขาขับรถปาดหน้าเรา เราโกรธ 00:12:00.399 --> 00:12:03.631 เราเห็นความโกรธเกิดขึ้นที่จิตใจเรา 00:12:03.631 --> 00:12:07.051 นี่อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าใช้ได้ 00:12:07.051 --> 00:12:12.348 ลำพังคนปาดหน้าเราแล้วเราก็ไปมองเขา 00:12:12.348 --> 00:12:15.574 เรียกว่าหลง หลงไปดู 00:12:15.574 --> 00:12:17.664 เกิดพยาบาทวิตก 00:12:17.664 --> 00:12:21.781 คิดจะเอาคืน นี่พยาบาทวิตก 00:12:21.781 --> 00:12:28.551 ฉะนั้นการภาวนาจะว่ายาก มันไม่ยากเลย 00:12:28.551 --> 00:12:32.185 เราไม่ได้บังคับตัวเอง กดข่มตัวเอง 00:12:32.185 --> 00:12:34.460 จิตใจเราเป็นอย่างไร เราก็คอยรู้ไป 00:12:34.460 --> 00:12:39.235 อย่างที่มันเป็น ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย 00:12:39.235 --> 00:12:41.660 แต่จะว่าง่ายมันก็ไม่ง่าย 00:12:41.660 --> 00:12:45.605 เพราะเราไม่เคยชินที่จะรู้ใจตัวเอง 00:12:45.605 --> 00:12:48.218 มันยากเพราะเราไม่เคยชินที่จะรู้ 00:12:48.218 --> 00:12:50.247 เท่านั้นล่ะ 00:12:50.247 --> 00:12:53.687 ถ้าหัดฝึกจนเคยชินที่จะรู้ 00:12:53.687 --> 00:12:55.138 การจะอ่านใจตัวเอง 00:12:55.138 --> 00:12:58.577 ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปเลย 00:12:58.577 --> 00:13:01.991 หลวงพ่อไม่ได้ฝึกอะไรมากมาย 00:13:01.991 --> 00:13:06.072 ตอนเด็กๆ ก็ทำสมาธิก็ได้แต่ความสงบ 00:13:06.072 --> 00:13:08.507 ก็ออกรู้โน้นรู้นี้ไปเรื่อยๆ 00:13:08.507 --> 00:13:12.171 หาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้ 00:13:12.171 --> 00:13:15.788 มาเจอหลวงปู่ดูลย์ท่านบอกให้อ่านจิตตัวเอง 00:13:15.788 --> 00:13:18.044 หลวงพ่อก็ตามรู้ตามเห็นจิตใจ 00:13:18.044 --> 00:13:20.031 นี่วิธีอ่านจิตตัวเอง 00:13:20.031 --> 00:13:22.598 ทำอย่างที่หลวงพ่อบอก 00:13:22.598 --> 00:13:25.512 ไม่ใช่ไปนั่งจ้องอยู่ที่จิต 00:13:25.512 --> 00:13:27.957 นั่งเฝ้าจิตดูว่าเมื่อไร 00:13:27.957 --> 00:13:30.039 จะมีอะไรเกิดขึ้นในจิตใจเรา 00:13:30.039 --> 00:13:32.170 นั่งเฝ้าอยู่อย่างนี้ 00:13:32.170 --> 00:13:35.616 อันนั้นไม่ใช่ ใช้ไม่ได้เลย 00:13:35.616 --> 00:13:38.988 เมื่อไรเราจงใจไปนั่งเฝ้าเอา 00:13:38.988 --> 00:13:41.581 จิตจะนิ่งๆ ทื่อๆ แข็งๆ ไป 00:13:41.581 --> 00:13:43.781 ไม่มีอะไรให้ดูหรอก 00:13:43.781 --> 00:13:45.999 ฉะนั้นอย่าไปดักดู 00:13:45.999 --> 00:13:48.349 ให้ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์ 00:13:48.349 --> 00:13:50.659 แล้วก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาก่อน 00:13:50.659 --> 00:13:54.047 แล้วค่อยรู้ว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร 00:13:54.047 --> 00:13:56.950 อย่าไปดักดูไว้ก่อน 00:13:56.950 --> 00:13:59.787 ถ้าไปดักดูไปรอดู 00:13:59.787 --> 00:14:02.412 มันจะนิ่งๆ ไม่มีอะไรให้ดูหรอก 00:14:02.412 --> 00:14:04.966 อันนั้นไม่ใช่การอ่านจิตตนเองแล้ว 00:14:04.966 --> 00:14:11.278 แต่เป็นการบังคับจิตตนเองให้มันนิ่งๆ ไป 00:14:11.278 --> 00:14:13.665 ต้องฝึกนะต้องฝึก 00:14:13.665 --> 00:14:15.735 ถ้าอ่านจิตตัวเองจนชำนาญ 00:14:15.735 --> 00:14:19.895 เราจะรู้เลยการปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว 00:14:19.895 --> 00:14:21.965 เพราะเราได้สิ่งที่สำคัญที่สุด 00:14:21.965 --> 00:14:24.101 สำหรับการปฏิบัติแล้ว 00:14:24.101 --> 00:14:28.062 คือเรารู้จักจิตตัวเอง 00:14:28.062 --> 00:14:32.016 การปฏิบัติธรรมจริงๆ ก็คือการฝึกจิตนั่นล่ะ 00:14:32.016 --> 00:14:33.776 ไม่ได้ฝึกกาย 00:14:33.776 --> 00:14:35.196 อย่างจะเดินจงกรม 00:14:35.196 --> 00:14:39.853 บางคนฝึกกายต้องเดินท่านั้นต้องเดินท่านี้ 00:14:39.853 --> 00:14:42.346 แล้วจริงๆ แล้วมันไม่ใช่หรอก 00:14:42.346 --> 00:14:44.548 เราไม่ได้ฝึกโยธวาทิต 00:14:44.548 --> 00:14:46.751 จะเดินอย่างนั้นอย่างนี้ให้สวยงาม 00:14:46.751 --> 00:14:48.327 ไม่จำเป็นหรอก 00:14:48.327 --> 00:14:51.091 เคยเดินท่าไหนก็เดินท่านั้นล่ะ 00:14:51.091 --> 00:14:55.967 แต่ว่าจุดสำคัญหัวใจจริงๆ คือจิตของเรานั่นเอง 00:14:55.967 --> 00:14:59.372 พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่นท่านก็สอน 00:14:59.372 --> 00:15:01.723 ได้จิตก็ได้ธรรมะ 00:15:01.723 --> 00:15:04.446 ไม่ได้จิตไม่ได้ธรรมะหรอก 00:15:04.446 --> 00:15:06.969 ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น 00:15:06.969 --> 00:15:09.565 ธรรมะเกิดที่จิต 00:15:09.565 --> 00:15:12.147 ธรรมะมีอะไรบ้าง 00:15:12.147 --> 00:15:15.474 อกุศลธรรม รู้จักเคยได้ยินไหม 00:15:15.474 --> 00:15:16.587 เกิดที่ไหน 00:15:16.587 --> 00:15:19.144 เกิดที่มือที่เท้าที่ท้องหรือเปล่า 00:15:19.144 --> 00:15:22.966 ไม่ได้เกิด อกุศลธรรมเกิดที่จิต 00:15:22.966 --> 00:15:25.757 กุศลธรรมล่ะเกิดที่ไหน 00:15:25.757 --> 00:15:28.575 ไม่ได้เกิดที่มือที่เท้าที่ท้อง 00:15:28.575 --> 00:15:32.713 ไม่ได้เกิดที่ลมหายใจ เกิดที่จิต 00:15:32.713 --> 00:15:36.965 มรรคผลล่ะ มรรคผลก็เกิดที่จิต 00:15:36.965 --> 00:15:38.955 มรรคผลไม่ได้ไปเกิด 00:15:38.955 --> 00:15:42.548 ที่ต้นไม้ที่ภูเขาที่แม่น้ำ 00:15:42.548 --> 00:15:44.722 หรือที่ร่างกาย 00:15:44.722 --> 00:15:47.669 มรรคผลก็เกิดขึ้นที่จิต 00:15:47.669 --> 00:15:51.836 ถ้าเราเฝ้ารู้เฝ้าดูไป รักษาจิต 00:15:51.836 --> 00:15:56.089 มีสติรักษาจิต ดูจิตไป ดูแลจิตไป 00:15:56.089 --> 00:15:58.099 จิตเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ 00:15:58.099 --> 00:16:01.172 แต่รู้อย่างที่มันเป็นให้ได้เท่านั้นล่ะ 00:16:01.172 --> 00:16:03.110 แล้วเราจะพบว่า 00:16:03.110 --> 00:16:08.412 ความรู้สึกของเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเลย 00:16:08.412 --> 00:16:11.488 เวลาตาเราเห็นรูปความรู้สึกก็เปลี่ยน 00:16:11.488 --> 00:16:13.997 หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส 00:16:13.997 --> 00:16:18.583 กายกระทบสัมผัส ใจกระทบความคิด 00:16:18.583 --> 00:16:21.662 ความรู้สึกก็เปลี่ยนในจิตใจนี้ 00:16:21.662 --> 00:16:27.175 สังเกตไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าต้องดี 00:16:27.175 --> 00:16:31.042 ชั่วหรือดี 00:16:31.042 --> 00:16:34.976 ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งท่านเคยพูด 00:16:34.976 --> 00:16:38.227 ชั่วหรือดีก็อัปรีย์พอกัน 00:16:38.227 --> 00:16:40.658 อัปรีย์ไม่ใช่คำหยาบคาย 00:16:40.658 --> 00:16:44.197 อัปรีย์ตัวนี้เป็นภาษาบาลี “อัปปิยะ” 00:16:44.197 --> 00:16:46.060 คือไม่น่ารัก ไม่น่าหวงแหน 00:16:46.060 --> 00:16:48.218 เหมือนๆ กันล่ะ 00:16:48.218 --> 00:16:51.076 ความชั่วเกิดขึ้นก็อย่าไปรักมัน 00:16:51.076 --> 00:16:54.244 ความดีเกิดขึ้นก็อย่าไปหลงมัน 00:16:54.244 --> 00:16:55.797 นี่ท่านสอนถึงขนาดนี้นะ 00:16:55.797 --> 00:17:00.244 แต่ว่าอันนี้เป็นคำสอนในขั้นการเจริญปัญญา 00:17:00.244 --> 00:17:04.714 ในขั้นจริยธรรมชั่วกับดีไม่เท่ากัน 00:17:04.714 --> 00:17:07.311 ชั่วนะอัปรีย์จริง ดีไม่อัปรีย์ 00:17:07.311 --> 00:17:11.458 ดีๆ ดีก็ปิยะ น่ารัก 00:17:11.458 --> 00:17:15.860 แต่ในขั้นเจริญปัญญาเราไม่ได้ภาวนาเอาดี 00:17:15.860 --> 00:17:18.047 เพราะดีก็ไม่เที่ยง 00:17:18.047 --> 00:17:21.749 เราไม่ได้ภาวนาเอาความสุข เพราะความสุขก็ไม่เที่ยง 00:17:21.749 --> 00:17:25.855 เราไม่ได้ภาวนาเอาความสงบ เพราะความสงบไม่เที่ยง 00:17:25.855 --> 00:17:29.117 เราภาวนาให้เห็นความจริงว่า 00:17:29.117 --> 00:17:32.164 จิตใจของเรานี่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 00:17:32.164 --> 00:17:36.399 เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวเป็นอกุศล 00:17:36.399 --> 00:17:40.935 ตกอยู่ใต้คำว่าไตรลักษณ์ตลอดเวลา 00:17:40.935 --> 00:17:43.521 เวลาเราดูจิตดูใจนี่ 00:17:43.521 --> 00:17:49.600 สามัญลักษณะคือลักษณะร่วมของ สิ่งที่เป็นความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง 00:17:49.600 --> 00:17:51.413 หรือเรียกว่าไตรลักษณ์นี่ 00:17:51.413 --> 00:17:55.269 จริงๆ ชื่อจริงๆ ของมันคือสามัญลักษณะ 00:17:55.269 --> 00:17:59.227 ลักษณะร่วมของสิ่งที่เป็น ความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง 00:17:59.227 --> 00:18:01.907 ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม 00:18:01.907 --> 00:18:05.163 มี 3 อย่าง ไม่เที่ยง 00:18:05.163 --> 00:18:07.862 ไม่เที่ยงก็คือของเคยมีแล้วมันไม่มี 00:18:07.862 --> 00:18:11.755 ของไม่มีแล้วมันก็มี มันไม่เที่ยง 00:18:11.755 --> 00:18:15.255 มันเป็นทุกข์ คือมันถูกบีบคั้น ให้แตกสลายอยู่ตลอดเวลา 00:18:15.255 --> 00:18:17.402 อย่างความสุขเกิดขึ้น 00:18:17.402 --> 00:18:20.334 ความสุขก็ถูกบีบคั้นให้แตกสลาย 00:18:20.334 --> 00:18:24.484 บางทีหลายคนเจอหลวงพ่อ คุยกับหลวงพ่อเลย 00:18:24.484 --> 00:18:29.197 เกิดปีติ ปีติถ้าเรามีสติรู้ลงไป 00:18:29.197 --> 00:18:32.586 เราก็เห็นปีติถูกบีบคั้นให้แตกสลาย 00:18:32.586 --> 00:18:36.221 ค่อยๆ กร่อนๆๆ ลงไปแล้วก็หายไป 00:18:36.221 --> 00:18:38.638 แล้วมันก็เป็นอนัตตา 00:18:38.638 --> 00:18:41.713 จิตเราจะสุขหรือจะทุกข์ จะดีหรือจะชั่ว 00:18:41.713 --> 00:18:44.063 เราสั่งไม่ได้ เลือกไม่ได้ 00:18:44.063 --> 00:18:45.754 นี่คือความจริง 00:18:45.754 --> 00:18:47.153 สามัญลักษณะ 00:18:47.153 --> 00:18:51.153 ลักษณะร่วมของสิ่งที่เป็นสังขารทั้งหลาย 00:18:51.153 --> 00:18:53.967 ก็คือรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย 00:18:53.967 --> 00:18:57.439 ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ทั้งหมด 00:18:57.439 --> 00:19:01.971 มีสิ่งเดียวที่พ้นจาก ไตรลักษณ์ไปคือพระนิพพาน 00:19:01.971 --> 00:19:04.427 นิพพานไม่มีความเกิด 00:19:04.427 --> 00:19:06.078 เมื่อนิพพานไม่มีความเกิด 00:19:06.078 --> 00:19:08.962 นิพพานก็ไม่มีความเก่า 00:19:08.962 --> 00:19:12.537 ไม่มีความตาย ไม่มีความดับ 00:19:12.537 --> 00:19:15.583 ของนอกนั้นจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม 00:19:15.583 --> 00:19:20.773 จะเป็นกุศลหรืออกุศล เกิดแล้วดับทั้งสิ้น 00:19:20.773 --> 00:19:23.423 เรามีสติตามอ่านความเป็นจริง 00:19:23.423 --> 00:19:27.137 ในจิตในใจของเราเรื่อยๆ ไป 00:19:27.137 --> 00:19:29.468 แล้ววันหนึ่งเราก็จะเข้าใจ 00:19:29.468 --> 00:19:33.983 ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่าน เข้ามาสู่ความรับรู้ของเรา 00:19:33.983 --> 00:19:37.361 อยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับสลายไป 00:19:37.361 --> 00:19:39.791 นี่ดูไปเรื่อยๆ 00:19:39.791 --> 00:19:42.576 หลวงพ่อใช้เวลาตรงนี้ 00:19:42.576 --> 00:19:45.813 หลวงปู่ดูลย์บอกให้อ่านจิตตนเอง 00:19:45.813 --> 00:19:49.459 หลวงพ่อใช้เวลา 7 เดือนในการอ่านจิตตนเอง 00:19:49.459 --> 00:19:53.198 แต่ 7 เดือนนี้อ่านผิดไป 3 เดือน 00:19:53.198 --> 00:19:57.138 อ่านผิดอย่างไร ก็พยายามบังคับจิตให้นิ่ง 00:19:57.138 --> 00:19:59.508 ไม่ให้จิตคิดนึกปรุงแต่ง 00:19:59.508 --> 00:20:03.095 ทำได้ไหม ก็ทำได้ ทำสมาธิไป 00:20:03.095 --> 00:20:07.305 จิตก็ว่างๆ นิ่งๆ สบาย 00:20:07.305 --> 00:20:10.716 แล้วไปหาหลวงปู่บอกผมดูจิตได้แล้ว 00:20:10.716 --> 00:20:12.532 หลวงปู่ถามจิตเป็นอย่างไร 00:20:12.532 --> 00:20:14.887 บอก โอ้ย จิตมันวิจิตรพิสดาร 00:20:14.887 --> 00:20:16.969 มันปรุงแต่งได้สารพัดเลย 00:20:16.969 --> 00:20:20.032 แต่ผมสามารถทำให้มันสงบไม่ปรุงแต่ง 00:20:20.032 --> 00:20:22.090 ว่างๆ อยู่อย่างนั้น 00:20:22.090 --> 00:20:24.058 หลวงปู่บอกว่าให้ไปอ่านจิต 00:20:24.058 --> 00:20:26.621 ไม่ใช่ให้ไปปรุงแต่งจิต 00:20:26.621 --> 00:20:31.129 ทำผิดแล้ว ไปทำใหม่ นี่ท่านสอนอย่างนี้ 00:20:31.129 --> 00:20:32.639 หลวงพ่อก็เลยมาทำใหม่ 00:20:32.639 --> 00:20:35.891 ก็คือมาอ่านจิตตนเองจริงๆ 00:20:35.891 --> 00:20:38.864 อ่านอย่างไร ก็อ่านอย่างที่เล่าให้ฟังนี่ล่ะ 00:20:38.864 --> 00:20:41.680 ไม่ได้อ่านแบบพิสดารอะไรทั้งสิ้นเลย 00:20:41.680 --> 00:20:45.883 อ่านซื่อๆ อ่านสบายๆ นี่ล่ะ 00:20:45.883 --> 00:20:49.743 อย่างขณะนี้พวกเราฟังหลวงพ่อเทศน์ 00:20:49.743 --> 00:20:54.140 ลองนึกซิใจเราสุขหรือทุกข์ รู้ไหม 00:20:54.140 --> 00:20:57.977 รู้ได้ไหมว่าตอนนี้ใจสุขหรือทุกข์ 00:20:57.977 --> 00:21:00.960 ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย 00:21:00.960 --> 00:21:03.825 หรืออย่างร่างกายถ้าบางคนดูกาย 00:21:03.825 --> 00:21:06.196 รู้ไหมร่างกายกำลังนั่งอยู่ 00:21:06.196 --> 00:21:09.165 ยากไหมที่จะรู้ร่างกายกำลังนั่งอยู่ 00:21:09.165 --> 00:21:12.904 ถ้ายากก็เพี้ยนแล้ว ไปหาจิตแพทย์ได้เลย 00:21:12.904 --> 00:21:14.007 นี่ธรรมะจริงๆ 00:21:14.007 --> 00:21:18.273 เปิดเผยเรียบง่ายตรงไปตรงมาที่สุดเลย 00:21:18.273 --> 00:21:22.972 ร่างกายหายใจออกร่างกายหายใจเข้ารู้ได้ไหม 00:21:22.972 --> 00:21:26.480 ต้องทำจิตให้นิ่งก่อนแล้วถึงจะรู้ไหม 00:21:26.480 --> 00:21:29.708 ไม่ต้อง รู้เฉยๆ 00:21:29.708 --> 00:21:32.595 การรู้จิตรู้ใจก็รู้แบบเดียวกัน 00:21:32.595 --> 00:21:35.705 รู้เหมือนที่รู้ร่างกายมันยืนเดินนั่งนอน 00:21:35.705 --> 00:21:38.815 ร่างกายหายใจออกหายใจเข้านี่ล่ะ 00:21:38.815 --> 00:21:42.334 รู้เฉยๆ รู้อย่างที่มันเป็น 00:21:42.334 --> 00:21:47.224 ตอนนี้ใจเราสุขหรือทุกข์รู้ได้ไหม 00:21:47.224 --> 00:21:50.662 ตอนนี้ใจเรางงไหม บางคนงง 00:21:50.662 --> 00:21:54.041 เอะ มันสุขหรือมันทุกข์ 00:21:54.041 --> 00:21:56.442 หลายคนนะ 00:21:56.442 --> 00:22:00.351 บางคนบอกไม่งง แต่ว่าอ่านใจไม่ออก 00:22:00.351 --> 00:22:04.301 ขณะที่บอกไม่งงเลย กำลังหลงอยู่ 00:22:04.301 --> 00:22:07.664 หลงไปที่อื่นแล้ว ไม่ได้อ่านใจตัวเองแล้ว 00:22:07.664 --> 00:22:10.598 จิตใจเป็นของละเอียด 00:22:10.598 --> 00:22:12.641 เป็นของที่ว่องไวที่สุดเลย 00:22:12.641 --> 00:22:15.541 เราต้องพัฒนาสติของเราให้ไวขึ้นมา 00:22:15.541 --> 00:22:17.631 เพื่อจะอ่านมันให้ทัน 00:22:17.631 --> 00:22:22.132 ไม่ใช่ไปหน่วงความรู้สึกทางใจให้ช้าลง 00:22:22.132 --> 00:22:25.335 เพื่อสติที่ช้าๆ จะได้อ่านทัน 00:22:25.335 --> 00:22:28.063 อย่าไปดัดแปลงมัน เหมือนอย่างบางคน 00:22:28.063 --> 00:22:33.344 เดินจงกรมเดินให้ช้าๆ สติจะได้ตามทัน 00:22:33.344 --> 00:22:35.526 เดินช้าๆ 00:22:35.526 --> 00:22:38.027 จิตหนีไปสร้างภพสร้างชาติสร้างทุกข์ 00:22:38.027 --> 00:22:39.628 ไม่รู้กี่ร้อยรอบแล้ว 00:22:39.628 --> 00:22:43.883 กว่าจะเดินได้แถวตลอดแนวนี่ 00:22:43.883 --> 00:22:46.235 เพราะฉะนั้นกิเลสมันไม่ช้าด้วยหรอก 00:22:46.235 --> 00:22:49.892 ถึงเราแกล้งเดินให้ช้ากิเลสมันไม่ช้าด้วย 00:22:49.892 --> 00:22:51.364 จิตนี้ก็เหมือนกัน 00:22:51.364 --> 00:22:55.575 ไม่ต้องไปแกล้งทำให้ช้าๆ เอ๋อๆ นิ่งๆ 00:22:55.575 --> 00:22:58.270 เงียบๆ อะไรอย่างนี้ 00:22:58.270 --> 00:23:01.063 กิเลสมันไม่ช้าด้วย 00:23:01.063 --> 00:23:05.029 เพราะฉะนั้นมันเป็นอย่างไร รู้อย่างที่มันเป็นให้ได้ 00:23:05.029 --> 00:23:08.946 หลวงพ่อฝึกดูอ่านจิตตัวเองได้จริงๆ 00:23:08.946 --> 00:23:11.093 4 เดือนเท่านั้น 00:23:11.093 --> 00:23:13.943 หลวงพ่อก็เข้าใจจิตแล้ว 00:23:13.943 --> 99:59:59.999 จิตมีธรรมชาติที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของมันไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 คราวนี้ไปส่งการบ้านกับหลวงปู่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลวงปู่บอกว่าอย่างนี้ช่วยตัวเองได้แล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่จำเป็นต้องเรียนที่ไหนแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เรียนที่จิตใจตัวเองนี่ไปได้เอาตัวรอดแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ท่านสอน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มีพระมาถามหลวงพ่อ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อันนี้อีกวัดหนึ่งอยู่กับ ครูบาอาจารย์เหมือนกัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พระอุปัฏฐากท่าน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ได้ยินหลวงพ่อส่งการบ้าน กับหลวงปู่ครูบาอาจารย์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วหลวงพ่อออกจากหลวงปู่มา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลวงปู่ก็ชมหลวงพ่อใหญ่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พระอุปัฏฐากท่านก็ฟัง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตอนเย็นไปเจอท่าน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ท่านก็มาถามหลวงพ่อว่าโยมๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เป็นฆราวาสแท้ๆ เลย โยมภาวนาอย่างไร 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 โยมทำปีหนึ่ง พระทำ 10 ปี 20 ปี ยังไม่ได้อย่างนี้เลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ท่านถามซื่อๆ เลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 บอกพระทำ 10 ปี 20 ปี ยังไม่ได้อย่างที่โยมทำปีหนึ่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลวงพ่อก็บอกท่านผมทำทั้งวัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ท่านก็งง ทำทั้งวันแล้วไม่ทำมาหากินหรือ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตอนนั้นรับราชการ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วทำอย่างไรทำทั้งวัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เจริญสติในชีวิตประจำวันนั่นล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เวลาเรามีหน้าที่การงานเราต้องทำงาน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สติจดจ่ออยู่กับงาน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สมาธิจดจ่ออยู่กับงาน ปัญญาคิดเรื่องงาน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อันนั้นไม่ใช่เวลาปฏิบัติ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่เป็นเวลาทำงาน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เวลานอกเหนือจากเวลาที่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทำงานกับเวลาทำงานที่ใช้ความคิด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ถ้าทำงานที่ใช้ร่างกายปฏิบัติได้ตลอดเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อย่างที่สุรินทร์เมื่อก่อน เห็นมีสามล้อถีบเยอะเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 คนถีบสามล้อเข้าใจธรรมะก็มี 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เขาเก่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เขาถีบสามล้อไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เขาก็อ่านจิตใจตัวเองไป อ่านร่างกายตัวเองไปเรื่อยๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แม่ค้าขายผักอยู่ในตลาดก็ภาวนาดี 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หน้าใสปิ๊งเลย สว่างสดใส รู้เนื้อรู้ตัว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตใจกิเลสเบาบาง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นี่เขาภาวนาได้อย่างไร 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เขาไม่มีเวลามานั่งสมาธิทั้งวันหรอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่มีเวลามาเดินจงกรม นั่งขายผัก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เขาทำด้วยการเจริญสติ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มีสติรู้สึกกายมีสติรู้สึกใจตัวเองไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นั่งขายผักคนมาซื้อ ดีใจรู้ว่าดีใจ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ขายตั้งนานแล้วไม่มีใครมาซื้อเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ผักชักจะเหี่ยวแล้ว เมืองสุรินทร์หน้าร้อนๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ร้อนจัดเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ผักนี้ชักจะเหี่ยวพอๆ กับคนขายแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 คนขายแก่งั่ก แต่คนขายผ่องใส 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ผักก็เหี่ยวไปแต่คนขายผักผ่องใส 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เขาก็เห็นผักมันเหี่ยวก็เรื่องธรรมชาติ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ใจของเขากังวลว่าขาย ไม่ออกเดี๋ยววันนี้ขาดทุน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เขาเห็นว่าใจกังวล 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ใจของเขาก็ได้ทรัพย์สมบัติที่วิเศษไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ได้อริยทรัพย์ ทรัพย์ทางโลกไม่ค่อยมี 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อย่างคนสุรินทร์ยุคก่อน สมัยหลายสิบปีก่อนจนมาก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จนแต่เขามีอริยทรัพย์กัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เขามีทาน เขามีศีล เขามีสติ เขามีสมาธิ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เขาขยันศึกษาทางธรรม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สงสัยเขาไต่ถามครูบาอาจารย์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ชีวิตเขาวนเวียนอยู่อย่างนี้ เขาภาวนาดี 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่รุ่นหลังนี่หมดแล้ว ไปดู 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ก็กลายเป็นเหมือนคนกรุงเทพฯหมดแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พวกหลงโลกทั้งนั้นล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไปไหนก็เจอแต่พวกหลงโลก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลวงพ่อภาวนาก็ทำอย่างนี้ล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตกเย็นตกค่ำก็นั่งสมาธินิดหน่อย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เดินจงกรมไม่ค่อยได้เดิน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เพราะที่บ้านเป็นบ้านโบราณบ้านไม้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เวลาเดินดังเอี๊ยดๆๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หนวกหูคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน เขารำคาญ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลวงพ่อก็ใช้วิธีนั่งเอา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ฝึกตัวเอง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ที่จะฝึกอ่านใจตัวเอง ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ก่อนจะนอนก็กินน้ำเยอะๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 กินน้ำมากๆ เพื่ออะไร 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ปวดฉี่จะได้ตื่น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พอตื่นมา มาฉี่เสร็จแล้วก็กินน้ำอีกละ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วก็ไปนั่งสมาธิ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าจิตยังมืดมัวอยู่จะไม่นอน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้านั่งแล้วจิตไม่ผ่องใสมัวๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถูกโมหะครอบ จะไม่นอนต่อ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ฝึกตัวเองเข้มงวด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ฝึกไปๆ จนกระทั่งกิเลสมันก็ฉลาด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พอเราตื่นปุ๊บ สว่าง ใจเราสว่างผ่องใส 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อ้าว นอนได้แล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 กิเลสมันเก่งนะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แหม่มันหลอกเราได้สารพัด กว่าจะรู้ทันมัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เออ สว่างก็ดีแล้วนี่ นั่งต่อเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นี่ฝึกตัวเองอย่างนี้ ฝึกไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อยากได้ของดีก็ต้องอดทน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ต้องอดทนให้ถูกทางถูกหลัก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อดทนไม่ถูกหลักก็เหนื่อยเปล่า 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นักปฏิบัติที่ทำผิดมี 2 อัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 กามสุขัลลิกานุโยคกับอัตตกิลมถานุโยค 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 กามสุขัลลิกานุโยคก็หลง หลงตามกิเลสไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อัตตกิลมถานุโยคก็คือทำตัวเองให้ลำบาก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 บังคับกายบังคับใจตัวเอง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เหมือนอย่างพระองค์นี้ท่านสงสัย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ท่านจะมาถามหลวงพ่อ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อยากถามหลวงพ่อภาวนาตั้งนาน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทำไมไม่เจริญ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ท่านติดเพ่งอยู่ ให้ใจนิ่งๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ตอนนี้ใจท่านไม่เหมือนอย่างเมื่อกี้แล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตอนนั่งฟังใหม่ๆ ใจท่านแน่นอึ้ด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ตอนนี้ใจท่านคลายออกแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 รู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา อย่างนี้ถึงจะภาวนาได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้านั่งเพ่งอยู่ กี่ปีมันก็อยู่แค่นั้นล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่มีความเจริญหรอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ฉะนั้นหัดอ่านใจตัวเองบ่อยๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วเราจะได้ๆ ของดี ของดีก็คือธรรมะนั่นล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าเราเข้าใจธรรมะเราจะไม่ตีกับใคร 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เราจะไม่ทะเลาะกับใคร 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เอาธรรมะไปเถียงกันอะไรอย่างนี้ ไม่ทำหรอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ธรรมะเป็นของสูงเป็นของร่มเย็น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ได้เรียนเอาไว้ทะเลาะกัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อันนั้นเรียนแล้วกิเลสแรงกว่าเก่า 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อย่างน้อยเรียนแล้วกูเก่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 กูรู้เยอะกว่าคนอื่นอะไรอย่างนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นี่กิเลสทั้งนั้นเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วพูดธรรมะฉอดๆๆๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ไม่เห็นกิเลส ใช้ไม่ได้หรอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อ่านจิตตัวเองไม่ออก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ฉะนั้นพวกเราหัดอ่านจิตตัวเอง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ใช่เรื่องยากหรอก มันละเลยที่จะอ่าน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 วันนี้เทศน์ไปเทศน์มา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เนื้อหาสาระที่ควรจะบอกๆ หมดแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เอาไปทำเอานะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สังเกตไหมพอหลวงพ่อบอกว่าเทศน์เสร็จแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ใจของเราเปลี่ยนทันทีเลย รู้สึกไหม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เฮ้อ แหม มันออกหน้าออกตามากไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่รู้จักเกรงใจเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นี่รู้สึกไหมใจขำ เห็นไหม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ความรู้สึกขำเกิดขึ้น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 รู้สึกนี่ขำแล้วเอิ๊กๆ อ๊ากๆ เหมือนเด็กทารก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เหมือนพระพุทธเจ้าบอก นะอย่างหัวเราะเอิ๊กอ๊ากๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันอาการของเด็กทารก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่รู้เรื่องไม่มีสติ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อย่างที่วัดหลวงพ่อคอยดูพระเรื่อยๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 คุยกันเสียงดังหลวงพ่อยังดุเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อย่างหัวเราะก๊ากๆ นี่โดนทันทีเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าคุยเสียงดังเดี๋ยวว่างๆ แล้วจะเรียกมาดุ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ถ้าหัวเราะก๊ากๆ นี่โดนทันทีเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เพราะว่านักปฏิบัติไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ต้องมีสติ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สนุกได้ไหม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ความรู้สึกสนุกเกิดขึ้นได้ไหม ได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่อย่าให้ขาดสติ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มีความสุขได้ไหม มีความสุขได้ ไม่ใช่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พระพุทธเจ้าบอกให้รู้ทุกข์ ฉะนั้นกูต้องทุกข์อย่างเดียว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อันนั้นไม่ใช่นะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 คำว่ารู้ทุกข์ก็คือรู้รูปรู้นามรู้กายรู้ใจ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ความสุขก็อยู่ในกองทุกข์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ความสุขก็เป็นตัวทุกข์ชนิดหนึ่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตัวเวทนาเป็นตัวทุกข์อย่างหนึ่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตามรู้ตามเห็น ไม่อยากหรอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ธรรมะก็ประณีตเป็นลำดับๆ ไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เบื้องต้นนี่อ่านใจตัวเองให้ออก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนธรรมะสอนสั้นๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่สอนยาวอย่างหลวงพ่อหรอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าหลวงพ่อเอาอย่างหลวงปู่ดูลย์สอนสั้นๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พวกเราไม่รู้เรื่อง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เพราะอินทรีย์พวกเราอ่อน ขี้เกียจด้วย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ใครยังรู้สึกตัวว่าขี้เกียจบ้าง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ต้องยกๆ ของมันเห็นๆ กันอยู่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ต้องยกหรอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้ายังมีการเว้นวรรค 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 การปฏิบัติของเรายังประมาทเกินไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตอนนี้ขอเล่นเกมสัก ชั่วโมงหนึ่งก่อนอะไรอย่างนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นี่ประมาทนะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ระหว่างเล่นเกมอาจจะช็อกตายก็ได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ดีใจชนะเกม นี่ประมาท 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ฉะนั้นอย่าให้มีช่องโหว่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ช่องโหว่เล็กนิดเดียวกิเลสลุยทันที 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 กิเลสมันเก่งนะไม่ใช่มันไม่เก่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ต้องฝึก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนสั้นๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อย่างถ้าท่านจะสอนให้ จิตเรามีสมาธิตั้งมั่นนี่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ท่านพูดประโยคเดียว “อย่าส่งจิตออกนอก” 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตออกนอกคือจิตไหลไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 บอกอย่าส่งไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ถ้าจิตมันส่งไปเอง ห้ามมันไม่ได้นะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่เราอย่าส่งไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ส่งไปก็คืออุ้ยสนุกจังเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ดูละครสัตว์นี่สนุกจังเลย ส่งจิตไปดู 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไปดูหมูเด้ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันเด้งบ้างไม่เด้งบ้าง ส่วนใหญ่มันนอน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ก็อุตส่าห์ไปดูกัน ไปดู 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เวลาไปดูหมูเด้ง เห็นไหมใจไปอยู่ที่หมูเด้ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าตายไปเราจะต้องแย่งกันไปเป็นฮิปโป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วคราวนี้คนอื่นเขาจะมาดูเราเด้งบ้างแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นี่ใจมันไหลออกไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อย่าส่งจิตออกนอกก็คืออย่ามีโลภะเจตนา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เที่ยวแสวงหากามคุณอารมณ์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะทั้งหลาย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ธรรมชาติของจิตย่อมส่งออกนอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เห็นไหมจิตมันโดยตัวมันชอบส่งออกนอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ห้าม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าจิตส่งออกนอกแล้วให้มีสติรู้ทัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตรงนี้สำคัญนะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นี่คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ประโยคเดียว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่พอกระจายออกมา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 โห มันเป็นหลักการปฏิบัติที่เยอะแยะไปหมดเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าจิตเราไม่ส่งออกนอก จิตเราจะเป็นอย่างไร 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตเราจะตั้งมั่น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตเราจะตั้งมั่น เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลวงพ่อฝึกได้จิตที่ ตั้งมั่นมาตั้งแต่ 10 ขวบ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ฉะนั้นเวลาหลวงปู่สอน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลวงปู่ไม่มาบอกหลวงพ่อว่าอย่าส่งจิตออกนอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลวงปู่ต่อยอดให้เลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 “จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป” 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ท่านสอนตรงนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เวลาตาเราเห็นรูปเราจงใจเห็นไหม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลับตาซิ ทุกคนหลับตา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วลองหันหน้าไปให้มันเปลี่ยนทิศทาง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วลืมตา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เราเจตนาเห็นไหม ไม่ได้เจตนา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อันแรกเลยไม่ได้เจตนา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มีรูปอย่างไรก็เห็นมันไปอย่างนั้น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หันไปแล้วไปเจอสาวสวยก็รู้ รู้รูป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หันไปแล้วไปเจอหมาขี้เรือนวิ่งเข้ามาหรือ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เสือกำลังวิ่งเข้ามาก็รู้ รู้ทัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เหมือนตาเห็นรูป เราไม่เลือกนี่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เราเลือกได้ไหมว่าจะเห็นรูปอะไร 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เราเลือกไม่ได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตาจะเห็นรูปที่ดีหรือรูปที่ไม่ดี 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจ เราเลือกไม่ได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 การดูจิตเขาบอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เราไม่เลือกอารมณ์ของจิต 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อย่างตาก็ไม่เลือกอารมณ์ของตา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มีรูปอะไรก็เห็นไปอย่างนั้น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตนี่เราก็ไม่เลือกอารมณ์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อารมณ์ที่ดีมาเราก็รู้ อารมณ์ที่ไม่ดีมาเราก็รู้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตามรู้อย่างที่มันมีอย่างที่มันเป็นไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มีญาณเห็น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ญาณแปลว่าความหยั่งรู้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เป็นลักษณะของปัญญา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ฉะนั้นไม่ใช่รู้โง่ๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ใช่รู้เอ๋อๆ น้ำลายยืดๆ รู้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ใช่ รู้ต้องมีปัญญา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มีใจที่ตั้งมั่นปัญญาถึงเกิด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันผ่านบทเรียนที่ชื่อว่า อย่าส่งจิตออกนอกมาแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ใจมันตั้งมั่นแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พอใจมันตั้งมั่นแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันถึงจะมีญาณเห็นจิตได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ญาณเป็นปัญญา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ปัญญามีสัมมาสมาธิคือ ความตั้งมั่นเป็นเหตุใกล้ให้เกิด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ฉะนั้นที่หลวงพ่อจะจ้ำจี้จำไชพวกเรา เฮ้ย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตต้องตั้งมั่นนะ จิตต้องถึงฐานนะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เพื่อจะเอาไว้เดินปัญญา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หมายถึงว่ามีอารมณ์อะไร เกิดขึ้นก็สักว่ารู้ว่าเห็นไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 รู้เห็นอย่างที่มันมีอย่างที่มันเป็น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วไม่ได้รู้โง่ๆ รู้แบบมีปัญญา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อันแรกเลยมีสติรู้ว่ามี อารมณ์อะไรเกิดขึ้นกับจิต 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เช่นความสุขความทุกข์ กุศลอกุศลเกิดขึ้นกับจิต 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 รู้ทัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อันที่สองมีปัญญาซ้ำลงไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทุกสิ่งทุกอย่างที่จิตไปรู้เข้า ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ความสุขก็ไม่เที่ยง ความทุกข์ก็ไม่เที่ยง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 กุศลอกุศลก็ไม่เที่ยง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หัดดูอย่างนี้ คำว่า 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 “จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป” 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 คืออย่างนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ใช่นั่งจ้องอยู่ที่จิต 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าไปนั่งจ้องอยู่ที่จิต ไม่ใช่แล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันก็คล้ายๆ เราเข้าห้องปิดประตู 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วก็จุดเทียนไว้อันหนึ่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วก็มองอยู่ที่เทียน ไม่ให้มองอันอื่นเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตาก็ต้องเห็นแต่เทียนนี่ล่ะ เห็นอย่างอื่นไม่ได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ใช่นะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มีตาก็เห็นอย่างที่มันจะต้องเห็น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตของเราจะมีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ให้มันรู้สึกไปอย่างที่มันมีอย่างที่มันเป็น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วเราก็ตามเห็นไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตอนนี้จิตสุข ตอนนี้จิตทุกข์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตอนนี้จิตเป็นกุศล ตอนนี้จิตเป็นอกุศล 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตามรู้ตามเห็นไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พอตามรู้ตามเห็นไปมากพอ มันจะรู้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทำไม่ใช้คำว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทำไมไม่ใช้ว่าโลภโกรธหลงสุขทุกข์ดีชั่วอะไร 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ใช้คำว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หมายถึง Everything ที่เกิด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทั้งหมดนั่นล่ะต้องดับ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ฉะนั้นไม่ใช้คำว่าสุขเกิดแล้วสุขดับ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทุกข์เกิดแล้วทุกข์ดับ กุศลเกิดแล้วก็ดับ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 โลภโกรธหลงเกิดแล้วก็ดับ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อย่างตอนที่เราหัดดูใหม่ๆ ใช่ไหม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เราก็จะเห็นสุขเกิดแล้วดับ ทุกข์เกิดแล้วดับ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 กุศลเกิดแล้วดับ โลภโกรธหลงเกิดแล้วดับ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เราดูแต่ละอันเกิดแล้วดับ แต่ละอันเกิดแล้วดับ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตรงที่ปัญญาแก่รอบเต็มที่แล้วนี่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันไม่มานั่งดูทีละอัน มันสรุปรวบยอด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ปัญญาในอริยมรรคนี่มันสรุปรวบยอดเลยว่า 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 Everything เกิดแล้วดับ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตรงนี้เราจะเข้าใจธรรมะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ก็ได้โสดาบันตรงนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถัดจากนั้นก็ภาวนาของเราแบบเดิมนั่นล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ศีลของเราเต็มที่อยู่แล้วล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สมาธิก็จะแก่กล้าขึ้น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วก็เจริญปัญญาไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พระสกทาคาพระโสดาบันศีลบริบูรณ์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สมาธิเล็กน้อย ปัญญาเล็กน้อย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สมาธิเล็กน้อยคือใจเราวอกแวกๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ได้ต่างกับชาวบ้านธรรมดาหรอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พระโสดาบันปัญญาเล็กน้อย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เห็นไตรลักษณ์เป็นคราวๆ ไม่ได้เห็นได้ตลอดหรอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พระสกทาคามีศีลบริบูรณ์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อันนี้บริบูรณ์ตั้งแต่โสดาบันแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สมาธิปานกลาง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ปัญญาเล็กน้อย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ปัญญาเล็กน้อยก็ยังไม่ได้ รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจอะไร 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ปัญญาเล็กน้อยก็แค่สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่จิตมีกำลังตั้งมั่นมากขึ้น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สมาธิปานกลาง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สมาธิปานกลางก็คือถ้าจะหลง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลงแวบเดียว ฟุ้งไปก็ฟุ้งสั้นๆ ไม่ฟุ้งยาว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าฟุ้งเป็นชั่วโมงไม่ใช่แล้วล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แสดงว่าสมาธิอ่อนเหลือเกิน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วถ้าภาวนาต่อไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 รู้แจ้งแทงตลอดในตัวร่างกายในรูปนี่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ว่าไม่ใช่อย่างอื่นมีแต่ทุกข์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 รู้แจ้งแทงตลอดอย่างนี้จิตมันวางกาย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พอมันวางร่างกาย มันก็จะวางตาหูจมูกลิ้นกายใจ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันก็จะพลอยวางรูปเสียง กลิ่นรสโผฏฐัพพะไปด้วย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตัวที่ทำให้จิตเราฟุ้งซ่านก็คือกามนั่นล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พอเป็นพระอนาคามีมันวาง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตาหูจมูกลิ้นกายลงไปได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วก็วางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะไปด้วย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ความยินดีพอใจในรูปไม่มี 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ความยินร้ายในรูปไม่มี 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ใจก็ไม่วิ่งแส่ส่ายออกไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นี่สมาธิมันบริบูรณ์เพราะเหตุนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เพราะว่าจิตไม่ไหลตามกามออกไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ไหลไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันตั้งมั่นเด่นดวงอยู่กับตัวเองนี่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถึงบอกพระอนาคามีมีสมาธิบริบูรณ์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มีปัญญาปานกลาง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 โสดาบัน สกทาคามี 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สิ่งนั้นก็ดับไป ไม่มีตัวเรา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พระอนาคามีมีปัญญาปานกลาง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 คือเห็นว่ารูปทั้งหลายร่างกายนี่ ไม่มีอย่างอื่นนอกจากทุกข์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่มีอย่างอื่นเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เห็นมีแต่ทุกข์ล้วนๆ เลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นี่เป็นปัญญาปานกลาง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ทำไมปัญญานี้ยังไม่สิ้นสุด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 พระอนาคามียังหลงผิดอยู่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ว่าตัวจิตที่ฝึกดีแล้วนี่มีความสุข 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ฉะนั้นจะมุ่งไปหาความสุขของสมาธิ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จะไปติดในรูปราคะอรูปราคะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทีนี้ภาวนาไปเรื่อยก็จะรู้เลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 รูปราคะอรูปราคะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตเข้าไปติดไปยึดจิตก็ทุกข์อีก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วต่อไปปัญญาแก่รอบจริงๆ จะรู้ว่า 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตนั่นล่ะคือตัวทุกข์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันจะแตกหัก วัฏจักรจะล่มลงก็ตรงที่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันรู้แจ้งแทงตลอดว่าจิตคือตัวทุกข์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ใช่ทุกข์บ้างสุขบ้างอย่างที่เคยเห็นแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตัวนี้คือปัญญาขั้นสุดท้ายเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ก็จะรู้แจ้งแทงตลอด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ปฏิจจสมุปบาทล้างอวิชชา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อวิชชาคืออะไร คือความไม่รู้ทุกข์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่สามารถรู้ทุกข์ได้ ไม่สามารถละสมุทัย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่สามารถแจ้งนิโรธ ไม่สามารถเจริญอริยมรรคได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ตรงที่มันรู้แจ้งแทงตลอดว่า 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตนั้นล่ะคือตัวทุกข์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นี่คือขันธ์ตัวสุดท้าย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ที่เราจะสามารถเห็นได้ว่ามันคือตัวทุกข์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตัวกายดูง่ายว่าเป็นตัวทุกข์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่พอถึงตัวจิตจะให้ดูว่า 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 กระทั่งจิตที่ทรงฌานก็คือตัวทุกข์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ใช่ง่าย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อันนี้เลยเป็นปัญญาอย่างยิ่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 รู้แจ้งแทงตลอดในกองทุกข์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ก็รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจนั่นล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 กว่าจะถึงจุดนี้ก็ต้องสู้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จุดเริ่มต้นของการสู้ ทำอย่างที่หลวงพ่อบอกนั่นล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถือศีล 5 ไว้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทุกวันทำในรูปแบบไหว้พระ สวดมนต์นั่งสมาธิเดินจงกรม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตจะได้มีกำลัง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หัวใจของการปฏิบัตินั้นคือ การเจริญสติในชีวิตประจำวัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าเราทำอย่างนี้ได้มรรคผลไม่ใช่เรื่องไกล 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าเก่งเฉพาะตอนนั่งสมาธิยังอีกไกล 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เพราะอยู่ในชีวิตจริงเราล้มเหลว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เพราะฉะนั้นฝึกนะที่หลวงพ่อบอกให้วันนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เป็นแก่นสารสาระในการฝึกกรรมฐานเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เหมือนที่หลวงปู่มั่นบอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทำสมาธิมากเนิ่นช้า คิดพิจารณามากฟุ้งซ่าน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หัวใจสำคัญของการปฏิบัติ คือการมีสติในชีวิตประจำวัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ขอเบรกแป๊บหนึ่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ปีนี้รู้สึกแก่ลงไปเยอะเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เมื่อก่อนเทศน์สอนใหม่ๆ หลวงพ่อเคยสอน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตอนนั้นยังไม่บวช สอนเพื่อนๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สอนโต้รุ่งเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เนสัชชิกกันแล้วก็นั่งกัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มาบวชทีแรกก็สอน 7 วัน สอนทั้งวัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ต่อมาก็ลดลงเหลือสอน 4 วัน สอนครึ่งวัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เดี๋ยวนี้เหลือ 2 วัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ว่าทุกวันคนไปที่วัดเยอะแยะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ก็สอนให้เหมือนกัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 บางวันหมดแรงจริงๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ก็ต้องพักเหมือนกัน แก่แล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เอาใครก่อนดี เบอร์ 1 เพ่งอยู่นะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เบอร์ 1: ภาวนาในรูปแบบโดยเดินจงกรมเช้าเย็น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ในชีวิตประจำวันดูร่างกายที่เคลื่อนไหว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ทราบว่าตอนนี้จิตตั้งมั่น พร้อมจะเดินปัญญาได้หรือยังครับ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตอนนี้เราบังคับจิตอยู่รู้สึกไหม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันบังคับอยู่นะขณะนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไหนมาเดินให้หลวงพ่อดูซิ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นึกว่าตรงนี้เป็นแคทวอร์ค เดิน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อย่าเสียชื่ออาจารย์นะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อาจารย์เก่งทางเดินจงกรม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ใช้ได้ มานั่งได้แล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันต้องมีสติอย่างนี้ล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ขาดสติมันไม่ได้เรื่องเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ว่าเกร็งเพราะว่าจะคุยกับหลวงพ่อ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จะส่งการบ้านเลยเกร็ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วดูออกไหมจิตมันอยู่ข้างนอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตไปข้างนอก รู้ไหมตัวนี้เห็นไหม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตไม่เข้าฐานตัวนี้เห็นไหม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ลองหายใจซิ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หายใจอย่าไปยุ่งกับจิต หายใจธรรมดา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เห็นร่างกายหายใจด้วยใจธรรมดา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลงคิด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หายใจไปด้วยใจธรรมดา แล้วจิตหลงคิดรู้ทัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หายใจไปอีก มันยังไม่เข้ามา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เริ่มเข้ามาแล้ว รู้สึกไหมไม่เหมือนกัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อ้าวเบอร์ 2 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตต้องทรงสมาธิมันต้องอย่างนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตไปว่างๆ อยู่ข้างนอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นิ่งๆ อยู่ข้างนอก ใช้ไม่ได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันเพลินๆ ไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เบอร์ 2 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ภาวนาในรูปแบบเดินจงกรม วันละหนึ่งชั่วโมงครึ่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ในชีวิตประจำวันดูร่างกายที่เคลื่อนไหว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ยังหลงนาน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 บางครั้งเห็นไหวๆ พุ่งที่กลางอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ใช่การเห็นเกิดดับไหมคะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ใช่ ที่มันไหวๆ เพราะมันไม่เที่ยง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วมันไหวได้เอง รู้สึกไหม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เราไม่ได้สั่ง ดีแล้วไปทำต่อ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เบอร์ 3 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ภาวนาในรูปแบบ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นั่งสมาธิทุกวัน 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ในชีวิตประจำวันเคลื่อนไหวรู้สึก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ดูร่างกายหายใจเข้าออก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หายใจเข้าพุทออกโธเป็นวิหารธรรม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อยากที่จะพ้นทุกข์ ทำให้รีบภาวนา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ความอยากทำให้ลืมทุกอย่าง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จนสุดท้ายจิตทนไม่ไหว และรู้ว่าไม่ใช่ทาง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตวางลงได้ขณะหนึ่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่วางได้สักพักจิตก็หยิบขึ้นมาอีก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ขอหลวงพ่อแนะนำการปฏิบัติต่อค่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ก็ทำอย่างที่ทำนี่ล่ะ อาจารย์สอนมาดีแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ตรงนี้จิตออกนอก รู้สึกไหม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ว่าจิตก็ยังไม่เข้าฐาน รู้สึกไหม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทำอย่างไรมันจะเข้า 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทำไม่ได้เพราะจิตเป็นอนัตตา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าเมื่อไรเรารู้ว่าจิตมันไหล มันจะเข้าฐานเอง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วในความเป็นจริง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าเรามีสติรู้สภาวะที่กำลังมีกำลังเป็น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตจะเข้าฐานเอง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อย่างโกรธแล้วรู้ว่าโกรธ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลงไปคิดรู้ว่าหลงไปคิด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ดูปุ๊บจิตจะเข้าที่เลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เพราะเมื่อไรมีสัมมาสติ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 รู้เท่าทันกายใจของตัวเอง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สัมมาสมาธิจะเกิดร่วมด้วยเสมอ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตจะตั้งมั่น ตรงนี้ไม่ใช่แล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นึกออกไหมมันแน่น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ใช้ได้ เก่ง ไม่เสียชื่ออาจารย์ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เบอร์ 4 เลยกดดันมากเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่รู้จะเสียชื่ออาจารย์ไหม เลยกดดัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ต้องกลัว เก่ง ใช้ได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เบอร์ 4: ภาวนาในรูปแบบ สวดมนต์นั่งสมาธิ 15 นาที 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เดินจงกรม 30-45 นาที 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ในชีวิตประจำวันรู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจทำงาน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 บางทีก็ดูร่างกายหายใจกับบริกรรมพุทโธ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลวงพ่อสอนให้ใช้พุทโธเป็นเครื่องอยู่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ในชีวิตประจำวันยังหลงนาน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ยังคงปฏิบัติในรูปแบบทุกวัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทำอย่างไรการภาวนาในชีวิตประจำวัน จึงจะต่อเนื่องเข้มแข็งกว่านี้ค่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าไม่ชอบพุทโธก็ใช้กรรมฐานอื่นก็ได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อันไหนก็ได้ที่เราถนัด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลวงพ่อเรียนมาจากครูบาอาจารย์ท่านสอนพุทโธ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เวลาพูดก็เลยพุทโธอยู่เรื่อยๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จริงๆ ใช้อะไรก็ได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าจิตอยู่ในอารมณ์อันเดียว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อย่างต่อเนื่องโดยที่เราไม่ได้บังคับ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สมาธิก็เกิด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทีนี้อารมณ์อะไรที่จิตจะอยู่ อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องบังคับได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อารมณ์ที่อยู่แล้วมีความสุข 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ของหนูภาวนาดีนะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ดีมากๆ เลย ใช้ได้เลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นี่สงสัยเป็นตัวเก่ง อาจารย์เลยซ่อนไว้เบอร์ 4 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เบอร์ 1 ก็เก่งนะเสียแต่ว่าเพ่งมากไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เราจงใจปฏิบัติ เราอยากดี 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ อยากดีนี่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตัวนี้ถ่วงเรา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันทำให้จิตใจเราไม่เป็นธรรมชาติ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เบอร์ 5 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แป๊บหนึ่ง เบอร์ 7 ไม่ต้องตั้งท่ามาก ดีอยู่แล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ต้องจะตายขึ้นมานะหายใจ ไม่ได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ดีแล้วอยู่แล้วไม่ต้องกลัว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ดีทั้งหมดล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทั้ง 4 คนที่เหลือใช้ได้ทั้งนั้น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ต้องกังวล 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เบอร์ 5 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ภาวนาในรูปแบบเดินจงกรม และนั่งสมาธิวันละ 1-2 ชั่วโมง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เช้าและก่อนนอน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ใช้กายเป็นเครื่องอยู่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ในชีวิตประจำวันดูกายและจิตที่เปลี่ยนแปลง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ยังชอบบังคับแทรกแซง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เห็นว่าโลกไม่มีอะไรให้ยึด แต่ก็หนีไปไม่ได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ขอหลวงปู่ชี้แนะแนวทางครับ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ที่ฝึกอยู่ใช้ได้ ดีแล้วล่ะ ทำอีก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ส่วนที่เห็นว่าโลกไม่มีอะไรไม่น่ายึด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อันนั้นยังไม่จริง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันก็ยังแอบยึดอยู่เรื่อยๆ แอบอยากอยู่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เรียนรู้ไปจนกระทั่งมันเห็นทุกข์ถ่องแท้แล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันก็ไม่เอาแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 โลกไม่มีอะไรจริงๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 โลกก็เอาไว้หลอกคนหลงเท่านั้น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เก่ง แต่ตอนนี้จิตออกนอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เบอร์ 6 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ภาวนาในรูปแบบนั่งสมาธิวันละ 1 ชั่วโมง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 โดยใจอยู่กับลมหายใจเข้าออก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ในชีวิตประจำวันอยู่กับลมหายใจเข้าออก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มีสติเวลานั่งยืนเดิน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สังเกตตัวเองได้ว่าชอบความสงบ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลังๆ เวลาเข้าสมาธิ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ใจไม่อยากออกจากความสงบ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มีราคะ มีเมตตา มีจิตฟุ้งซ่าน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มาเจือปนตลอดเวลา แต่บังคับไม่ได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เพียงแต่รับรู้ไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ละตัวที่กล่าวมาดับไปบังคับไม่ได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 รู้สึกว่าสมาธิมีคุณภาพ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เนื่องจากมันสงบโดยที่ใจไม่ได้บังคับ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แบบนี้ถูกหรือไม่ครับ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สมาธิดีแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ว่าจะต้องเจริญปัญญา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สมาธิเอาไว้เจริญปัญญา ไม่ได้เอาไว้นอนเล่น 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้าใจเราชอบ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ให้รู้ลงไปตรงๆ เลยว่าใจเราชอบสมาธิอันนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ดูเข้าไปแล้วเวลาเดินปัญญามัน ไม่สงบเหมือนตอนทำสมาธิหรอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 คือเวลาที่เจริญปัญญาจิตมันจะทำงานขึ้นมา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 คล้ายๆ ฟุ้งซ่าน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เพียงแต่มีสติกำกับอยู่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทีนี้คนที่ติดสมาธิพอใจในความสงบ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จะไม่ยอมเดินปัญญา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ก็เสียโอกาส คล้ายๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อยากได้ของดีมากๆ เลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เราไปได้ของระดับรองแล้วเราพอใจแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทำสมาธิให้หลวงพ่อดูสิ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตรงนี้สังเกตเห็นไหมว่าจิตเรา เคลื่อนไปอยู่ที่อารมณ์กรรมฐาน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มองออกไหม ให้รู้ทันตัวนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วเราเดินปัญญาในสมาธิได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ชอบสมาธิก็เดินปัญญาในสมาธินี่ล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ใครจะมาทำไม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทำใหม่ซิ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ต้องตั้งใจแรง ตรงนี้ตั้งใจแรงไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ผ่อนคลายกว่านี้ จงใจแรงไปแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ธรรมดาๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถอยออกมา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันไม่ได้อย่างเมื่อกี้ รู้สึกไหม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เวลาที่จิตเดินปัญญามันไม่สงบเฉยๆ หรอก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เมื่อกี้จิตมัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 หลวงพ่อกระตุ้นให้มันเดินปัญญา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ที่มันไหลไปที่อารมณ์กรรมฐาน พอเรารู้ทัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 คราวนี้มันจะออกไปคอยรู้แล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันก็เลยส่ายไปส่ายมาอยู่ข้างใน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ถ้ามันส่ายๆ อย่างนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 กลับมาทำความสงบเหมือนเดิม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ให้สงบแน่วแน่ลงไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วคลายออก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วดูการทำงานของจิตใจไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เราจะเห็นจิตเราไหลไปอยู่ที่อารมณ์กรรมฐาน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ให้รู้ทันเอา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตอนนี้จิตไหลไปอยู่ในความคิด รู้สึกไหม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 รู้ทันอย่างนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เพราะฉะนั้นอยู่ในสมาธิเราก็เจริญปัญญาได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ออกมาข้างนอกก็ดูได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เพราะว่าเราสามารถเห็นจิตมันไหลไปคิด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นี่เจริญสติในชีวิตประจำวัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ฉะนั้นตอนนั่งสมาธิแล้ว เราเห็นจิตไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อันนี้เราเดินปัญญาอยู่ภายใน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เราเห็นจิตเป็นอนัตตา ไหลไปได้เอง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ออกมาข้างนอกเราเห็นจิตมันไหลไปคิดได้เอง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เพราะฉะนั้นฝึกให้มันเดินปัญญาต่อให้ได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่อย่าให้เสียสมาธิ มีสมาธิดีแล้วล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เบอร์ 7 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ภาวนาในรูปแบบโดยการดูการเคลื่อนไหว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ชอบนั่งสมาธิเพราะเบาสบาย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 กลัวติดเลยไม่นั่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ในชีวิตประจำวันดูการเคลื่อนไหว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แต่ดูได้ไม่ตลอด 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 รู้สึกว่าสติไม่สามารถต่อเนื่องได้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ดูการเคลื่อนไหวที่ทำอยู่ถูกต้องไหมคะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จงใจหายใจรู้ไหม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 รู้ทันนะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เราดูกายอย่างที่มันเป็น ไม่ต้องจงใจ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ที่ฝึกอยู่ดีนะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไปทำได้แล้ว ทำต่อไป ทำถูกแล้ว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อ้าวคนสุดท้าย พักเสียหน่อยดีไหม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อ้าวๆ ส่งเลยก็แล้วกัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เบอร์ 8: ภาวนาในรูปแบบ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สวดมนต์ครึ่งชั่วโมง นั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ดูร่างกายหายใจ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตเกิดความสว่าง มีจิตรู้ ใ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นชีวิตประจำวันดูร่างกายเคลื่อนไหว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตโกรธก็รู้ จิตโมโหรู้ หลงรู้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มีความอยากก็รู้ บางครั้งก็ลืมตัว 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 จิตเข้าถึงฐานและ แยกธาตุแยกขันธ์ได้หรือยังคะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ได้ แต่เบอร์ 8 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ยังชินที่จะบังคับจิตให้นิ่งอยู่ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่ต้องน้อมให้มันนิ่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทำสมาธิก็ทำไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เวลามันจะนิ่งมันก็นิ่งของมันเอง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อย่าพยายามทำมันให้นิ่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ใจมันจะทื่อๆ ไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 มันจะแน่นๆ รู้สึกไหมมันจะแน่นๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ที่แน่นๆ เพราะเราจงใจ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ฉะนั้นเรานั่งสมาธิอะไรก็ทำไปเถอะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 สงบก็ช่างไม่สงบก็ช่าง ทำไปเถอะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วมันสงบเอง อันนั้นถึงจะดี 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 นี่เริ่มบังคับแล้วรู้สึกไหม ตรงจุดนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ให้รู้ทันตรงนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตัวนี้ที่ทำให้เสียเวลา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 กลายเป็นว่าเราน้อมจิต บังคับจิตให้มันไปนิ่งๆ อยู่เฉยๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ทำสมาธิไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วจิตเป็นอย่างไร แอบไปทำอะไร เรารู้ทัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ตรงนี้สติอ่อนลงไปแล้ว โมหะแทรก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ให้รู้ทัน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เออ รู้สึกตัวให้แรงขึ้นนิดหนึ่ง 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 รู้ไประดับนี้ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วคอยดูไปเรื่อยๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เกิดความเปลี่ยนแปลง อะไรขึ้นที่จิตก็คอยรู้ทันไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 แล้วออกจากสมาธิให้พิจารณาร่างกายไปเลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ผมขนเล็บฟันหนังเนื้อเอ็นกระดูก 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เป็นปฏิกูล เป็นอสุภ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ออกจากสมาธิมาพิจารณาตัวนี้เลย 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 วันนี้เอาเท่านี้ก็แล้วกัน 10 โมงพอดี 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ของท่านอาจารย์ติดสมาธิ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไปน้อมจิตให้มันนิ่งๆ เฉยๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 คลายออกให้มันทำงาน 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 รู้สึกร่างกายไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 อาศัยร่างกายเป็นวิหารธรรม 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ขยับเขยื้อนไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 กวาดวัดทำอะไรต่ออะไรไป 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เห็นร่างกายมันทำงานใจเราเป็นคนดู 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ดูอย่างนี้เรื่อยๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 ไม่อย่างนั้นมันจะไม่พัฒนา จะเฉยๆ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 กี่ปีมันก็อยู่อย่างนั้นล่ะ 99:59:59.999 --> 99:59:59.999 เพราะมันติดสมาธิเฉยๆ