1 00:00:00,868 --> 00:00:02,654 เมื่อตอนที่ผมยังเด็ก 2 00:00:02,654 --> 00:00:05,262 ผมเคยใช้กล้องจุลทรรศน์ของคุณพ่อส่องดู 3 00:00:05,262 --> 00:00:08,620 แมลงในแท่งอำพันที่ท่านเก็บไว้ที่บ้าน 4 00:00:08,620 --> 00:00:11,177 และมันถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี 5 00:00:11,177 --> 00:00:13,422 รูปร่างสัณฐานของมันยังอยู่ ในสภาพสมบูรณ์อย่างน่าทึ่ง 6 00:00:13,422 --> 00:00:15,616 และเราเคยคิดว่าสักวัน 7 00:00:15,616 --> 00:00:17,225 มันจะฟื้นคืนชีพกลับมาได้จริงๆ 8 00:00:17,225 --> 00:00:19,222 และมันจะคืบคลานออกจากแท่งอำพัน 9 00:00:19,222 --> 00:00:21,966 และถ้าทำได้ มันคงจะบินหนีไป 10 00:00:21,966 --> 00:00:24,342 ถ้าคุณถามผมสักเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ 11 00:00:24,342 --> 00:00:27,540 ที่เราจะสามารถหาลำดับจีโนม ของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว 12 00:00:27,540 --> 00:00:30,015 ผมคงจะตอบคุณว่า มันไม่น่าจะเป็นไปได้ 13 00:00:30,015 --> 00:00:31,910 ถ้าคุณถามว่าเราจะสามารถที่จะ 14 00:00:31,910 --> 00:00:34,062 คืนชีพสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วได้หรือไม่ 15 00:00:34,062 --> 00:00:35,721 ผมคงต้องตอบว่า ฝันไปเหอะ 16 00:00:35,721 --> 00:00:38,246 แต่ผมมายืนอยู่ ณ ที่นี่ ในวันนี้ ด้วยความอัศจรรย์ใจ 17 00:00:38,246 --> 00:00:40,253 ที่จะบอกกับพวกคุณว่า การหาลำดับพันธุกรรมของสัตว์สูญพันธุ์ไปแล้ว 18 00:00:40,253 --> 00:00:44,443 ไม่ใช่เพียงแค่ความเป็นไปได้ แต่วันนี้เราก็ทำได้แล้วจริงๆ 19 00:00:44,443 --> 00:00:48,736 ส่วนการคืนชีพให้สายพันธุ์สัตว์ที่สูญพันธุ์แล้ว ก็อยู่ใกล้เพียงเอื้อม 20 00:00:48,736 --> 00:00:50,575 บางทีอาจจะไม่ใช่จากแมลงในแท่งอำพัน 21 00:00:50,575 --> 00:00:52,535 ที่จริง ยุงตัวนั้นถูกใช้ 22 00:00:52,535 --> 00:00:54,887 เป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์เรื่อง "กำเนิดใหม่ไดโนเสาร์" (Jurassic Park) 23 00:00:54,887 --> 00:00:57,447 แต่จากแมมมอธขนดกโบราณ ซึ่งซากของมันถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี 24 00:00:57,447 --> 00:00:59,654 ของแมมมอธขนดก ในบริเวณชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (permafrost) 25 00:00:59,654 --> 00:01:01,727 แมมมอธขนดกนั้นน่าสนใจเป็นพิเศษ 26 00:01:01,727 --> 00:01:04,272 เป็นภาพลักษณ์สำคัญของยุคน้ำแข็ง 27 00:01:04,272 --> 00:01:06,098 พวกมันตัวใหญ่ มีขนรุงรัง 28 00:01:06,098 --> 00:01:08,082 มันมีงาที่ใหญ่ยาว และดูเหมือนพวกเราจะ 29 00:01:08,082 --> 00:01:10,982 มีความเชื่อมโยงลึกๆบางอย่างกับพวกมัน คล้ายกับทีเราผูกพันกับช้าง 30 00:01:10,982 --> 00:01:13,497 อาจจะเป็นเพราะเหล่าช้าง 31 00:01:13,497 --> 00:01:15,319 มีหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนกับเรา 32 00:01:15,319 --> 00:01:18,047 พวกมันฝังศพ พวกมันรู้จักสอนลูกหลาน 33 00:01:18,047 --> 00:01:21,067 พวกมันมีความผูกพันทางสังคมที่เหนียวแน่น 34 00:01:21,067 --> 00:01:23,937 หรือบางทีคงเป็นเพราะ เราผูกพันกันด้วยช่วงเวลาที่ยาวนาน 35 00:01:23,937 --> 00:01:27,275 เพราะช้างถือกำเนิดจากทวีปแอฟริกา เช่นเดียวกับเรา 36 00:01:27,275 --> 00:01:29,398 เมื่อราวๆ สักเจ็ดล้านปีที่แล้ว 37 00:01:29,398 --> 00:01:32,192 และเมื่อถิ่นอาศัยของมันเปลี่ยน และสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป 38 00:01:32,192 --> 00:01:35,802 เช่นเดียวกับช้าง พวกเราอพยพหนีออกมา 39 00:01:35,802 --> 00:01:38,022 ยังยุโรป และเอเชีย 40 00:01:38,022 --> 00:01:40,725 ดังนั้นแมมมอธตัวแรกที่ปรากฏขึ้น 41 00:01:40,725 --> 00:01:44,131 คือสายพันธุ์เมริดิโอนัลลิส (meridionalis) ซึ่งสูงราวสี่เมตร 42 00:01:44,131 --> 00:01:47,963 หนักราว 10 ตัน และเป็นสายพันธุ์ที่ปรับตัวเข้ากับป่าไม้ 43 00:01:47,963 --> 00:01:50,925 ได้แพร่กระจายจากยุโรปตะวันตก ไปยังเอเชียกลาง 44 00:01:50,925 --> 00:01:53,175 ผ่านทางเชื่อมทะเลแบริ่ง (Bering land bridge) 45 00:01:53,175 --> 00:01:55,485 ไปยังบางส่วนของทวีปอเมริกาเหนือ 46 00:01:55,485 --> 00:01:58,173 อีกครั้งเมื่อสภาวะอากาศเปลี่ยน ซึ่งเกิดขึ้นเสมอๆ 47 00:01:58,173 --> 00:01:59,683 และถิ่นที่อยู่ใหม่ก็กำเนิดขึ้น 48 00:01:59,683 --> 00:02:02,159 สายพันธุ์ที่ปรับตัวเข้ากับทุ่งราบจึงกำเนิดขึ้น 49 00:02:02,159 --> 00:02:04,407 ที่เรียกว่าสายพันธุ์โทรกอนธีรี (Trogontherii) ในบริเวณเอเชียกลาง 50 00:02:04,407 --> 00:02:07,157 ซึ่งผลักดันให้สายพันธุ์เมริดิโอนัลลิส ไปอยู่ทางยุโรปตะวันตก 51 00:02:07,157 --> 00:02:09,551 และเมื่อดินแดนทุ่งหญ้าสะวันนา เกิดขึ้นในอเมริกาเหนือ 52 00:02:09,551 --> 00:02:11,712 แมมมอธโคลัมเบีย (Columbian Mammoth) จึงกำเนิดขึ้นในอเมริกาเหนือ 53 00:02:11,712 --> 00:02:14,252 เป็นแมมมอธสายพันธุ์ซึ่งมีขนาดใหญ่ และไร้ขน 54 00:02:14,252 --> 00:02:17,163 และถัดมาอีกเพียง 500,000 ปี 55 00:02:17,163 --> 00:02:19,868 แมมมอธขนดกก็ถือกำเนิดขึ้น 56 00:02:19,868 --> 00:02:21,896 เป็นสายพันธุ์ที่เราทุกคนรู้จัก และรักมันเป็นที่สุด 57 00:02:21,896 --> 00:02:25,206 แพร่กระจายจากแหล่งกำเนิดทางตะวันออกของเบริง 58 00:02:25,206 --> 00:02:28,092 ข้ามเอเชียกลาง ผลักดันสายพันธุ์โทรกอนธีรี 59 00:02:28,092 --> 00:02:29,743 ไปยังยุโรปตอนกลาง 60 00:02:29,743 --> 00:02:31,809 และในช่วงเวลานับแสนๆปี 61 00:02:31,809 --> 00:02:34,893 ที่พวกมันอพยพข้ามไปมาระหว่างทางเชื่อมทะเลเบริง 62 00:02:34,893 --> 00:02:36,920 ระหว่างช่วงกลางยุคน้ำแข็ง 63 00:02:36,920 --> 00:02:38,716 และได้พบปะโดยตรงกับ 64 00:02:38,716 --> 00:02:41,520 ญาติสายพันธุ์โคลัมเบีย ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนใต้ 65 00:02:41,520 --> 00:02:44,808 และเป็นที่ที่มันเอาชีวิตรอดเป็นระยะเวลาแสนๆปี 66 00:02:44,808 --> 00:02:46,985 ในช่วงที่โลกเกิดเปลี่ยนแปลง สภาวะอากาศอย่างฉับพลัน 67 00:02:46,985 --> 00:02:51,201 พวกมันเป็นสัตว์ที่ปรับตัวง่าย รับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 68 00:02:51,201 --> 00:02:54,049 ของอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมได้ และทำได้ดี ดีมากๆ 69 00:02:54,049 --> 00:02:58,040 และพวกมันอาศัยอยู่บนแผ่นดินใหญ่ จนกระทั่งถึงเมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว 70 00:02:58,040 --> 00:03:01,193 และอันที่จริงแล้ว มันยิ่งน่าประหลาดใจ ที่ยังมีพวกมันอยู่บนเกาะเล็กๆ นอกไซบีเรีย 71 00:03:01,193 --> 00:03:03,667 และอะแลสกาจนกระทั่งถึงเมื่อ 3,000 ปีที่แล้ว 72 00:03:03,667 --> 00:03:05,356 เมื่อสมัยที่ชนชาวอียิปต์สร้างพีระมิด 73 00:03:05,356 --> 00:03:08,122 ในสมัยนั้นก็ยังมีแมมมอธขนดกที่อาศัยอยู่บนเกาะ 74 00:03:08,122 --> 00:03:09,671 จากนั้นมันก็สูญหายไป 75 00:03:09,671 --> 00:03:11,925 เช่นเดียวกันกับสัตว์ 99% ที่เคยดำรงชีวิตอยู่ 76 00:03:11,925 --> 00:03:15,188 พวกมันสูญพันธุ์ น่าจะเนื่องจากอากาศที่อบอุ่น 77 00:03:15,204 --> 00:03:17,286 และป่าทึบที่คืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว 78 00:03:17,286 --> 00:03:18,787 ขึ้นมาทางตอนเหนือ 79 00:03:18,787 --> 00:03:21,760 และเช่นเดียวกับที่พอล มาร์ติน (Paul Martin) ผู้ยิ่งใหญ่ว่าไว้ 80 00:03:21,760 --> 00:03:23,511 การถูกฆ่ามากเกินไปในยุคไพลสโตซีน (Pleistocene) 81 00:03:23,511 --> 00:03:26,084 นักล่าสัตว์ใหญ่ล่าพวกมันมากเกินไปจนสูญพันธุ์ 82 00:03:26,084 --> 00:03:28,346 โชคดีที่เราพบซากของมันเป็นล้านๆชิ้น 83 00:03:28,346 --> 00:03:31,023 กระจายฝังลึกอยู่ตามจุดต่างๆของชั้นดินเยือกแข็งคงตัว 84 00:03:31,023 --> 00:03:34,148 ในไซบีเรียและอะแลสกา และเราสามารถไปที่นั่น 85 00:03:34,148 --> 00:03:36,058 แล้วเอามันกลับมาได้ 86 00:03:36,058 --> 00:03:37,582 ซากที่ถูกเก็บรักษาไว้นั้น 87 00:03:37,582 --> 00:03:40,152 สมบูรณ์อย่างน่าอัศจรรย์ เช่นเดียวกับกับแมลงในแท่งอำพัน 88 00:03:40,152 --> 00:03:43,672 เราจึงได้ ฟัน กระดูกที่มีเลือด 89 00:03:43,672 --> 00:03:45,712 ซึ่งดูเหมือนเลือดจริงๆ เราได้เส้นขน 90 00:03:45,712 --> 00:03:47,239 และเราได้โครงซึ่งไม่บุบสลาย หรือ ส่วนหัว 91 00:03:47,239 --> 00:03:50,182 ซึ่งยังคงมีสมองอยู่ในนั้น 92 00:03:50,182 --> 00:03:52,553 ดังนั้นการรักษาสภาพ DNA และโอกาสที่มันจะอยู่รอด 93 00:03:52,553 --> 00:03:54,625 ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ซึ่งผมคงต้องยอมรับว่า 94 00:03:54,625 --> 00:03:56,953 ปัจจัยส่วนใหญ่ เรายังไม่เข้าใจดีนัก 95 00:03:56,953 --> 00:03:59,025 แต่มันขึ้นอยู่กับว่าสิ่งมีชีวิตนั้นตายเมื่อไร 96 00:03:59,025 --> 00:04:03,514 ถูกฝังไว้รวดเร็วแค่ไหน ความลึกที่ถูกฝัง 97 00:04:03,514 --> 00:04:06,816 ความสม่ำเสมอของอุณหภูมิในสภาพแวดล้อมที่ฝังมันไว้ 98 00:04:06,816 --> 00:04:09,384 จะเป็นตัวบ่งบอกว่า DNA คงอยู่ 99 00:04:09,384 --> 00:04:12,245 ผ่านยุคสำคัญๆ ทางธรณีวิทยา ได้นานเท่าไร 100 00:04:12,245 --> 00:04:13,889 และมันคงจะทำให้หลายท่านในที่นี้แปลกใจ 101 00:04:13,889 --> 00:04:17,029 ว่ามันไม่ใช่เรื่องของระยะเวลา 102 00:04:17,029 --> 00:04:18,656 ไม่ใช่ความนานของการรักษาสภาพ 103 00:04:18,656 --> 00:04:22,638 แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอของอุณหภูมิ 104 00:04:22,638 --> 00:04:25,457 ดังนั้นถ้าเราเจาะลึกเข้าไปในกระดูก 105 00:04:25,457 --> 00:04:28,432 และฟัน ซึ่งรอดจากกระบวนการ แปลงสภาพเป็นฟอสซิล 106 00:04:28,432 --> 00:04:31,824 DNA ของมันซึ่งเคยสมบูรณ์ ขดอย่างแน่นหนา 107 00:04:31,824 --> 00:04:34,192 อยู่รอบๆโปรตีนฮิสโตน จะถูกโจมตี 108 00:04:34,192 --> 00:04:37,158 ด้วยแบคทีเรียซึ่งอาศัยอยู่ในแมมมอธ 109 00:04:37,158 --> 00:04:38,968 หลายปีตลอดช่วงชีวิตของมัน 110 00:04:38,968 --> 00:04:42,169 ด้วยแบคทีเรียเหล่านั้น และแบคทีเรียในสภาพแวดล้อม 111 00:04:42,169 --> 00:04:45,872 น้ำและออกซิเจนจากภายนอก ได้สลาย DNA 112 00:04:45,872 --> 00:04:48,417 เป็นชิ้นส่วน DNA ย่อยที่เล็กลง เล็กลง เล็กลง 113 00:04:48,417 --> 00:04:50,738 จนกระทั่งเราได้ชิ้นเล็กๆ 114 00:04:50,738 --> 00:04:53,419 ที่อยู่ระหว่าง 10 คู่ฐานไปจนถึง ในกรณีที่ดีที่สุด 115 00:04:53,419 --> 00:04:55,792 คือความยาวราวไม่กี่ร้อยคู่ฐาน 116 00:04:55,792 --> 00:04:58,103 ดังนั้นซากฟอสซิลส่วนใหญ่ที่ได้รับการบันทึกไว้ 117 00:04:58,103 --> 00:05:00,816 จึงแทบไม่หลงเหลือข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตใดๆเลย 118 00:05:00,816 --> 00:05:03,249 แต่ซากฟอสซิลจำนวนหนึ่งซึ่งมีชิ้นส่วนย่อยของ DNA อยู่ 119 00:05:03,249 --> 00:05:05,123 ซึ่งอยู่รอดมานับพัน 120 00:05:05,123 --> 00:05:08,872 หรือนับล้านๆปี 121 00:05:08,872 --> 00:05:11,060 และด้วยการใช้เทคโนโลยีห้องปลอดฝุ่นอันทันสมัย 122 00:05:11,060 --> 00:05:13,724 เราได้ประดิษฐ์วิธีการใหม่ ที่จะสามารถดึงเอา DNA เหล่านี้ 123 00:05:13,724 --> 00:05:16,228 ออกมาจากซากสิ่งปฏิกูลที่เหลือในนั้นได้ 124 00:05:16,228 --> 00:05:18,427 และมันคงไม่น่าประหลาดใจกับทุกท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ 125 00:05:18,427 --> 00:05:20,548 ว่าถ้าผมนำเอากระดูกหรือฟันของช้างแมมมอธ 126 00:05:20,548 --> 00:05:23,547 มาสกัดเอา DNA ของมันออกมา ผมก็จะได้ DNA ของแมมมอธ 127 00:05:23,547 --> 00:05:27,358 แถมผมก็ยังได้แบคทีเรียทั้งหมดที่เคยอาศัยอยู่กับแมมมอธมาด้วย 128 00:05:27,358 --> 00:05:29,605 และที่ยิ่งซับซ้อนไปกว่านั้นคือ ผมยังได้ DNA ของสิ่งมีชีวิต 129 00:05:29,605 --> 00:05:31,789 ที่อยู่ในสภาวะแวดล้อม ณ ตอนนั้นมาด้วย 130 00:05:31,789 --> 00:05:34,963 ได้มาทั้งแบคทีเรีย เชื้อรา และอื่นๆอีกมากมาย 131 00:05:34,963 --> 00:05:37,368 ไม่น่าแปลกใจเช่นกัน ที่เจ้าแมมมอธ 132 00:05:37,368 --> 00:05:39,040 ซึ่งถูกคงสภาพไว้ในชั้นดินเยือกแข็งคงตัว 133 00:05:39,040 --> 00:05:41,908 จะมี DNA ราว 50% ที่เป็น DNA ของแมมมอธ 134 00:05:41,908 --> 00:05:43,931 ในทางตรงกันข้าม สายพันธุ์อื่นๆ เช่น แมมมอธโคลัมเบีย 135 00:05:43,931 --> 00:05:46,548 ที่อยู่อาศัยในอุณหภูมิหนึ่ง และถูกฝังในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นกว่า 136 00:05:46,548 --> 00:05:50,365 ในหลุมของมันจะมี DNA ของมัน หลงเหลือเพียงแค่ 3 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น 137 00:05:50,365 --> 00:05:52,808 แต่เราก็มีวิธีการที่ชาญฉลาด 138 00:05:52,808 --> 00:05:55,914 ในการที่เราจะแบ่งแยก ตรวจจับและแบ่งแยก 139 00:05:55,914 --> 00:05:57,889 DNA ของแมมมอธออกจากสิ่งที่ไม่ใช่แมมมอธ 140 00:05:57,889 --> 00:06:00,439 และด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การถอดรหัสพันธุกรรมที่มีประสิทธิภาพ 141 00:06:00,439 --> 00:06:03,276 เราสามารถดึงเอาข้อมูลทางชีวภาพ 142 00:06:03,276 --> 00:06:06,245 ต่อชิ้นส่วนเล็กๆของแมมมอธเหล่านี้ทั้งหมดกลับเข้าไป 143 00:06:06,245 --> 00:06:08,542 และใส่มันไว้ในแกนหลักของโครโมโซม 144 00:06:08,542 --> 00:06:11,101 ของช้างแอฟริกา หรือช้างเอเชีย 145 00:06:11,101 --> 00:06:13,677 ด้วยการทำเช่นนั้น เราสามารถเก็บข้อมูลทุกจุดเล็กๆน้อยๆ 146 00:06:13,677 --> 00:06:16,502 ซึ่งแบ่งแยกระหว่างแมมมอธ กับช้างเอเชียออกจากกัน 147 00:06:16,502 --> 00:06:19,541 และสิ่งที่เรารู้ต่อจากนั้น เกี่ยวกับช้างแมมมอธคืออะไร 148 00:06:19,541 --> 00:06:22,694 คือ กลุ่มยีนของช้างแมมมอธค่อนข้างจะเสร็จสมบูรณ์ 149 00:06:22,694 --> 00:06:26,235 และเรารู้ว่ามันค่อนข้างจะใหญ่มาก มันคือช้างแมมมอธนะ 150 00:06:26,235 --> 00:06:29,420 สำหรับกลุ่มยีนของมนุษย์ คือประมาณสามล้านคู่ฐาน 151 00:06:29,420 --> 00:06:30,997 แต่กลุ่มยีนของช้างและช้างแมมมอธ 152 00:06:30,997 --> 00:06:33,653 มีมากกว่ามนุษย์ราวสองล้านคู่ฐาน ส่วนใหญ่นั้น 153 00:06:33,653 --> 00:06:36,277 ประกอบด้วยชุด DNA สั้นๆ ที่ซ้ำๆกัน 154 00:06:36,277 --> 00:06:40,910 ซึ่งทำให้ยากมาก ในการประกอบโครงสร้างทั้งหมดของกลุ่มยีนขึ้นมาใหม่ 155 00:06:40,910 --> 00:06:43,271 ดังนั้นการมีข้อมูลเหล่านี้ ทำให้เราสามารถตอบคำถาม 156 00:06:43,271 --> 00:06:45,406 คำถามหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับ ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ที่น่าสนใจ 157 00:06:45,406 --> 00:06:47,578 ระหว่างช้างแมมมอธ กับเครือญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ของมัน 158 00:06:47,578 --> 00:06:49,622 ช้างแอฟริกา และ ช้างเอเชีย 159 00:06:49,622 --> 00:06:52,789 ซึ่งเมื่อเจ็ดล้านปีที่ผ่านมาต่างก็มีบรรพบุรุษเดียวกัน 160 00:06:52,789 --> 00:06:54,878 แต่กลุ่มยีนของช้างแมมมอธ แสดงให้เห็นว่ามัน 161 00:06:54,878 --> 00:06:57,658 เป็นบรรพบุรุษล่าสุดร่วมกันกับช้างเอเชีย 162 00:06:57,658 --> 00:06:59,074 เมื่อหกล้านปีก่อน 163 00:06:59,074 --> 00:07:01,547 มันจึงใกล้เคียงกับช้างเอเชียมากกว่าเล็กน้อย 164 00:07:01,547 --> 00:07:04,271 ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี DNA จากซากโบราณ 165 00:07:04,271 --> 00:07:06,224 ในตอนนี้เราสามารถที่จะเริ่มเรียงลำดับ 166 00:07:06,224 --> 00:07:09,535 กลุ่มยีนของรูปแบบช้างแมมมอธอื่นๆ ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ซึ่งผมได้กล่าวไปแล้วนั้น 167 00:07:09,535 --> 00:07:11,422 และผมอยากจะพูดถึงพวกมันซักสองชนิด 168 00:07:11,422 --> 00:07:13,476 ช้างแมมมอธขนดก และ แมมมอธโคลัมเบีย 169 00:07:13,476 --> 00:07:15,894 พวกมันทั้งสองต่างอยู่ใกล้ชิดกัน 170 00:07:15,894 --> 00:07:18,519 ในช่วงกลางของยุคน้ำแข็ง 171 00:07:18,519 --> 00:07:20,682 ดังนั้นเมื่อธารน้ำแข็งปกคลุมไปทั่วทวีปอเมริกาเหนือ 172 00:07:20,682 --> 00:07:23,277 ช้างแมมมอธขนดก ถูกผลักเข้าไปในเขตรอยต่อน้ำแข็ง 173 00:07:23,277 --> 00:07:26,488 และได้พบกับบรรดาญาติของมันที่อยู่ทางใต้ 174 00:07:26,488 --> 00:07:28,500 พวกมันใช้ที่หลบภัยร่วมกัน 175 00:07:28,500 --> 00:07:30,884 และที่มากไปกว่าที่หลบภัยร่วมกัน เป็นที่ปรากฎว่า 176 00:07:30,884 --> 00:07:33,384 ดูเหมือนพวกมันจะผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์ 177 00:07:33,384 --> 00:07:35,017 และนี่เป็นสิ่งที่พบไม่บ่อยนัก 178 00:07:35,017 --> 00:07:36,655 ในสัตว์ตระกูลช้าง (Proboscideans) เพราะมันกลายเป็นว่า 179 00:07:36,655 --> 00:07:39,568 ช้างเพศผู้ตัวใหญ่แห่งทุ่งสะวันนา จะเอาชนะ 180 00:07:39,568 --> 00:07:42,936 ช้างป่าตัวเล็กกว่า เพื่อช้างเพศเมีย 181 00:07:42,936 --> 00:07:45,248 ดังนั้นช้างแมมมอธโคลัมเบียไร้ขน ซึ่งตัวใหญ่กว่า 182 00:07:45,248 --> 00:07:47,051 เอาชนะแมมมอธขนดกที่ตัวเล็กกว่าได้ 183 00:07:47,051 --> 00:07:49,669 มันทำให้ผมนึกถึงตอนที่ยังเรียนอยู่นะครับ ไม่ไหวเลยแฮะ 184 00:07:49,669 --> 00:07:52,008 (เสียงหัวเราะ) 185 00:07:52,008 --> 00:07:54,702 แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ การมีแนวคิดที่เราต้องการจะ 186 00:07:54,702 --> 00:07:56,907 คืนชีพให้กับสายพันธุ์ที่สิ้นสูญ เพราะมันกลายเป็นว่า 187 00:07:56,907 --> 00:07:58,727 เจ้าช้างแอฟริกา และ ช้างเอเชีย 188 00:07:58,727 --> 00:08:00,822 สามารถผสมพันธุ์ระหว่างสายพันธุ์ได้ และมีทายาทที่มีชีวิต 189 00:08:00,822 --> 00:08:02,963 และนี่ได้เกิดขึ้นจริงโดยบังเอิญ ที่สวนสัตว์ 190 00:08:02,963 --> 00:08:06,005 ในเมืองเชสเตอร์ (Chester) ประเทศอังกฤษ ในปี 1978 191 00:08:06,005 --> 00:08:09,151 นั่นหมายความว่า เราสามารถนำเอาโครโมโซมของช้างเอเชีย 192 00:08:09,151 --> 00:08:11,309 มาปรับเปลี่ยนทุกตำแหน่งที่เรารู้ 193 00:08:11,309 --> 00:08:13,693 ว่ามีความแตกต่างกับกลุ่มยีนช้างแมมมอธได้ 194 00:08:13,693 --> 00:08:16,474 เราสามารถนำมันไปใส่ในเซลส์ที่ไม่มีนิวเคลียส 195 00:08:16,474 --> 00:08:18,733 แปลงสภาพให้มันให้เป็นสเต็มเซลล์ 196 00:08:18,733 --> 00:08:21,053 และอาจแปลงสภาพต่อเป็นตัวอสุจิ 197 00:08:21,053 --> 00:08:23,677 ผสมเทียมกับไข่ของช้างเอเชีย 198 00:08:23,677 --> 00:08:26,784 และโดยขั้นตอนที่ยาวนานและแสนลำบาก 199 00:08:26,784 --> 00:08:30,293 จะนำสิ่งที่หน้าตาแบบนี้กลับมาได้ 200 00:08:30,293 --> 00:08:31,983 ทีนี้ นี่ยังไม่ได้เป็นสำเนาที่ถูกต้องเสียทีเดียว 201 00:08:31,983 --> 00:08:34,465 เพราะเศษเสี้ยวของ DNA ที่ผมเคยบอก 202 00:08:34,465 --> 00:08:36,946 จะทำให้เราไม่สามารถสร้างโครงสร้างที่เหมือนเป๊ะได้ 203 00:08:36,946 --> 00:08:38,482 แต่มันจะทำให้ได้บางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือน และรู้สึกราวกับว่า 204 00:08:38,482 --> 00:08:41,589 มันเป็นช้างแมมมอธขนดก 205 00:08:41,589 --> 00:08:44,333 ทีนี้ เมื่อผมเอ่ยถึงเรื่องนี้กับเพื่อนๆ 206 00:08:44,333 --> 00:08:46,941 เรามักจะพูดถึง เรื่องที่ว่า เราจะเอามันไปไว้ที่ไหน 207 00:08:46,941 --> 00:08:48,629 เราจะเอาแมมมอธไปเลี้ยงไว้ที่ไหนได้ 208 00:08:48,629 --> 00:08:50,669 ไม่มีสภาพอากาศ หรือที่อยู่อาศัยใดเหมาะสม 209 00:08:50,669 --> 00:08:52,009 ที่จริงนั่นไม่เชิงเป็นปัญหา 210 00:08:52,009 --> 00:08:54,902 ปรากฏว่า มีทุ่งหญ้าหลายแห่ง 211 00:08:54,902 --> 00:08:57,237 ในตอนเหนือของไซบีเรีย และยูคอน 212 00:08:57,237 --> 00:08:58,443 ซึ่งสามารถเป็นที่อยู่อาศัยของช้างแมมมอธได้ 213 00:08:58,443 --> 00:09:00,688 จำได้ไหมครับ นี่เป็นสัตว์ที่ปรับตัวได้เก่งมาก 214 00:09:00,688 --> 00:09:03,349 ซึ่งมีชีวิตอยู่ท่ามกลาง การเปลี่ยนแปลงของอากาศแบบสุดขั้ว 215 00:09:03,349 --> 00:09:06,249 ดังนั้นภูมิประเทศนี้จึงเป็นทีอยู่อาศัย ของมันได้อย่างง่ายดาย 216 00:09:06,249 --> 00:09:09,891 และผมคงต้องสารภาพว่า ยังมีความเป็นเด็กในตัวผม 217 00:09:09,891 --> 00:09:11,176 เด็กผู้ชายในตัวผม ที่ต้องการเห็น 218 00:09:11,176 --> 00:09:14,022 สัตว์ที่น่าเกรงขามเช่นนี้ เดินข้ามชั้นดินเยือกแข็งคงตัว 219 00:09:14,022 --> 00:09:16,477 ในทางเหนืออีกครั้ง แต่ผมคงต้องยอมรับว่า 220 00:09:16,477 --> 00:09:18,621 บางครั้ง ส่วนที่เป็นผู้ใหญ่ในตัวผมก็นึกฉงนว่า 221 00:09:18,621 --> 00:09:21,026 เราควรจะทำเช่นนี้ดีหรือไม่ 222 00:09:21,026 --> 00:09:22,711 ขอบคุณมากครับ 223 00:09:22,711 --> 00:09:27,909 (เสียงปรบมือ) 224 00:09:27,909 --> 00:09:29,426 ไรอัน ฟีลัน (Ryan Phelan): อย่าเพิ่งไปค่ะ 225 00:09:29,426 --> 00:09:31,158 คุณทิ้งคำถามไว้ให้เรา 226 00:09:31,158 --> 00:09:34,682 ฉันแน่ใจว่าทุกท่านคงจะถาม เมื่อคุณบอกว่า "ควรไหม" 227 00:09:34,682 --> 00:09:37,291 รู้สึกว่าคุณจะบอกใบ้เราบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ 228 00:09:37,291 --> 00:09:40,362 และคุณยังให้เราเห็นภาพมันว่ามีความเป็นไปได้สูง 229 00:09:40,362 --> 00:09:41,750 อะไรคือเงื่อนงำของคุณคะ 230 00:09:41,750 --> 00:09:42,532 เฮนดริค พอยนาร์ (Hendrik Poinar): ผมไม่คิดว่ามันเป็นเงื่อนงำอะไรนะครับ 231 00:09:42,532 --> 00:09:46,699 ผมแค่คิดว่า เราต้องคิดให้รอบคอบ 232 00:09:46,699 --> 00:09:49,250 ว่าจะมันจะสื่อถึงอะไร และผลกระทบอะไรตามมา 233 00:09:49,250 --> 00:09:51,450 และถ้าเราได้ถกกันอย่างละอียดลึกซึ้ง 234 00:09:51,450 --> 00:09:53,466 เหมือนดังที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้ ผมคิดว่า 235 00:09:53,466 --> 00:09:56,172 เราคงจะได้บทสรุปที่ดี ว่าทำไมเราจึงควรจะทำมัน 236 00:09:56,172 --> 00:09:57,809 ผมแค่อยากจะให้แน่ใจว่าเราได้ใช้เวลา 237 00:09:57,809 --> 00:09:59,658 คิดใคร่ครวญว่าทำไมเราจึงต้องทำมันก่อนครับ 238 00:09:59,658 --> 00:10:02,439 ไรอัน: เป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบ ขอบคุณมากค่ะ เฮนดริค 239 00:10:02,439 --> 00:10:04,903 เฮนดริค: ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)