1 00:00:06,372 --> 00:00:09,415 หากคุณลองใช้เศษกระดาษไปจับจ่ายใช้สอยล่ะก็ 2 00:00:09,439 --> 00:00:11,350 คุณอาจจะเจอปัญหาก็ได้ 3 00:00:11,374 --> 00:00:15,311 นอกเสียจากว่า เจ้ากระดาษใบนั้น มันคือธนบัตรใบละร้อยดอลล่าร์ 4 00:00:15,335 --> 00:00:18,890 แต่อะไรล่ะ ที่สามารถทำให้ธนบัตรใบนั้น น่าสนใจและมีมูลค่ามากมาย 5 00:00:18,914 --> 00:00:20,769 กว่าแผ่นกระดาษใบอื่นๆ 6 00:00:20,793 --> 00:00:23,421 หลังจากทั้งหมดแล้ว คุณก็ทำอะไรกับมันไม่ได้มากนัก 7 00:00:23,445 --> 00:00:25,055 คุณไม่สามารถกินมันเข้าไปได้ 8 00:00:25,079 --> 00:00:26,556 เอาไปใช้สร้างอะไรก็ไม่ได้ 9 00:00:26,580 --> 00:00:28,272 และการเผามันก็เป็นสิ่งผิดกฎหมายด้วย 10 00:00:29,089 --> 00:00:30,460 แล้วทำไมมันถึงสำคัญนักล่ะ 11 00:00:30,770 --> 00:00:32,991 แน่นอน คุณอาจจะรู้คำตอบอยู่แล้ว 12 00:00:33,015 --> 00:00:35,410 ธนบัตร 100 ดอลล่าร์นั้น ถูกพิมพ์ขึ้นมาโดยรัฐบาล 13 00:00:35,434 --> 00:00:37,460 และถูกกำหนดให้เป็นสกุลเงิน อย่างเป็นทางการ 14 00:00:37,484 --> 00:00:39,511 โดยที่กระดาษใบอื่นๆ นั้น เป็นไม่ได้ 15 00:00:40,384 --> 00:00:42,332 แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้มันถูกกฎหมาย 16 00:00:42,356 --> 00:00:45,261 อะไรล่ะที่ทำให้ธนบัตร 100 ดอลล่าร์มีมูลค่า หรือในทางกลับกัน 17 00:00:45,285 --> 00:00:47,546 มีธนบัตรพวกนี้อยู่เท่าไหร่ 18 00:00:48,031 --> 00:00:51,472 ในอดีตที่ผ่านมา ค่าเงินส่วนใหญ่ รวมทั้งดอลล่าห์สหรัฐ 19 00:00:51,496 --> 00:00:53,499 จะเชื่อมโยงกับกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ 20 00:00:53,523 --> 00:00:55,352 และจำนวนของธนบัตรที่ใช้ในการหมุนเวียน 21 00:00:55,376 --> 00:00:58,372 จะขึ้นอยู่กับทองคำสำรอง และเงินสำรอง (silver) ของรัฐบาล 22 00:00:59,166 --> 00:01:01,930 แต่หลังจากที่ทางสหรัฐฯ ได้ยกเลิกระบบนี้ไปในปีค.ศ. 1971 23 00:01:01,954 --> 00:01:05,762 เงินดอลล่าร์ก็ได้ถูกรู้จักในนามของ "เงินในระบบเงินกระดาษ" 24 00:01:05,786 --> 00:01:08,197 หมายความว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ทรัพยากรภายนอกอื่นใด 25 00:01:08,221 --> 00:01:11,159 แต่ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐเพียงอย่างเดียว 26 00:01:11,183 --> 00:01:13,620 ที่จะตัดสินใจว่า ต้องพิมพ์ค่าของเงินออกมาเท่าไหร่ 27 00:01:13,644 --> 00:01:16,582 แล้วหน่วยงานไหนของรัฐบาลที่กำหนดนโยบายนี้? 28 00:01:16,606 --> 00:01:19,572 ฝ่ายบริหาร, สภานิติบัญญัติ, หรือ ตุลาการศาล? 29 00:01:19,596 --> 00:01:22,044 คำตอบที่น่าตกใจคือ ไม่ใช่เลยซักอย่างที่ว่ามา 30 00:01:22,068 --> 00:01:26,801 อันที่จริง นโยบายการเงินถูกกำหนดโดย ระบบของหน่วยงานธนาคารกลางอิสระ 31 00:01:26,825 --> 00:01:28,552 หรือที่เรียกว่า เฟด (Fed) 32 00:01:28,576 --> 00:01:32,595 ซึ่งประกอบไปด้วย ธนาคารระดับภูมภาคหลักๆ 12 แห่ง ทั่วประเทศ 33 00:01:32,619 --> 00:01:33,930 สภาผู้ว่าการของธนาคาร 34 00:01:33,954 --> 00:01:36,979 ซึ่งถูกแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี และได้รับความเห็นชอบโดยวุฒิสภา 35 00:01:37,003 --> 00:01:38,097 จะรายงานไปที่สภาคองเกรส 36 00:01:38,121 --> 00:01:41,595 แล้วรายได้ของธนาคารกลางทั้งหมด จะไหลไปสู่กระทรวงการคลังสหรัฐ 37 00:01:41,619 --> 00:01:43,572 แต่เพื่อที่จะไม่ให้ เฟด ได้รับอิทธิพล 38 00:01:43,596 --> 00:01:45,762 จากความฝันผวนทางการเมืองในแต่ละวัน 39 00:01:45,786 --> 00:01:49,238 มันจึงไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรง ของหน่วยงานใดๆ ของรัฐ 40 00:01:49,262 --> 00:01:52,678 แล้วทำไม เฟด ถึงไม่พิมพ์ธนบัตร 100 ดอลล่าร์ออกมาอย่างไม่สิ้นสุด 41 00:01:52,702 --> 00:01:54,227 ทุกคนจะได้มีความสุขและร่ำรวย? 42 00:01:54,251 --> 00:01:56,871 ถ้าเป็นอย่างนั้น ธนบัตรก็จะไร้ค่าไปเลย 43 00:01:56,895 --> 00:01:58,996 ลองคิดถึงจุดประสงค์ของการมีสกุลเงินสิ 44 00:01:59,020 --> 00:02:01,832 ซึ่งก็คือการเอาไปใช้แลกเปลี่ยน กับสินค้าและบริการ 45 00:02:01,856 --> 00:02:04,047 ถ้าปริมาณของเงินตราทั้งหมด ที่หมุนเวียนใช้อยู่ 46 00:02:04,071 --> 00:02:08,794 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกินกว่ามูลค่าของสินค้า และบริการในระบบเศรษฐกิจ 47 00:02:08,818 --> 00:02:10,675 แล้วธนบัตรแต่ละใบนั้นก็จะสามารถนำไป 48 00:02:10,699 --> 00:02:13,342 ซื้อของในสัดส่วนที่น้อยลงกว่าเมื่อก่อน 49 00:02:13,366 --> 00:02:15,204 นี่คือที่เรียกว่า เงินเฟ้อ 50 00:02:15,228 --> 00:02:16,652 หรือในทางกลับกัน 51 00:02:16,676 --> 00:02:18,438 ถ้าปริมาณเงินยังคงเหมือนเดิม 52 00:02:18,462 --> 00:02:20,594 ในขณะที่สินค้าและบริการถูกผลิตออกมามากกว่า 53 00:02:20,618 --> 00:02:22,564 ค่าของแต่ละดอลล่าร์ก็จะเพิ่มขึ้น 54 00:02:22,588 --> 00:02:24,817 ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า เงินฝืด 55 00:02:24,841 --> 00:02:26,616 แล้วอะไรจะแย่กว่ากันล่ะ 56 00:02:26,640 --> 00:02:27,823 ภาวะเงินเฟ้อมากเกินไป 57 00:02:27,847 --> 00:02:31,133 หมายถึง เงินที่อยู่ในกระเป๋าคุณวันนี้ จะมีค่าน้อยลงในวันพรุ่งนี้ 58 00:02:31,157 --> 00:02:33,156 ซึ่งทำให้คุณอยากจะใช้เงินทันทีเลย 59 00:02:33,180 --> 00:02:37,013 ในขณะที่มันจะช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจ มันยังสามารถทำให้เกิดการบริโภคมากเกิน 60 00:02:37,037 --> 00:02:39,875 หรือกักตุนสินค้า เช่นอาหารและเชื้อเพลิง 61 00:02:39,899 --> 00:02:41,620 ทำให้พวกนั้นราคาสูงขึ้น 62 00:02:41,644 --> 00:02:44,481 และนำไปสู่ภาวะขาดแคลนผู้บริโภค และยิ่งเกิดเงินเฟ้อมากขึ้น 63 00:02:45,704 --> 00:02:49,096 แต่ภาวะเงินฝืด ทำให้ผู้คน อยากจะถือเงินพวกนี้ไว้ 64 00:02:49,120 --> 00:02:51,009 และเมื่อการใช้จ่ายบริโภคลดลง 65 00:02:51,033 --> 00:02:52,567 จะทำให้กำไรในภาคธุรกิจลดลง 66 00:02:52,591 --> 00:02:55,930 นำไปสู่ภาวะการว่างงานมากขึ้น และตามด้วยการลดค่าใช้จ่าย 67 00:02:55,954 --> 00:02:58,227 ทำให้ระบบเศรษฐกิจหดตัว 68 00:02:58,251 --> 00:03:01,894 ดังนั้น นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า มันอันตรายถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งมากไป 69 00:03:01,918 --> 00:03:06,806 ภาวะเงินเฟ้อเล็กน้อยนั้น จำเป็นที่จะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นได้ 70 00:03:07,787 --> 00:03:10,234 เฟด ใช้ข้อมูลในเชิงเศรษฐกิจมากมาย 71 00:03:10,258 --> 00:03:13,597 เพื่อประเมินว่าต้องมีค่าเงิน มาหมุนเวียนมากแค่ไหน 72 00:03:13,621 --> 00:03:15,575 รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อก่อนหน้านั้น 73 00:03:15,599 --> 00:03:17,881 แนวโน้มของต่างชาติ และอัตราการว่างงาน 74 00:03:18,739 --> 00:03:20,443 อย่างเช่นในนิทานเรื่องโกลดี้ล๊อคส์ (Goldilocks) 75 00:03:20,467 --> 00:03:22,325 พวกเขาต้องได้มาซึ่งตัวเลขที่ถูกต้อง 76 00:03:22,349 --> 00:03:24,921 เพื่อที่จะกระตุ้นการเจริญเติบโต และประชาชนยังมีงานทำ 77 00:03:24,945 --> 00:03:27,670 โดยไม่ให้ภาวะเงินเฟ้อไปถึงระดับที่แตกหัก 78 00:03:27,694 --> 00:03:29,044 เฟด ไม่เพียงแต่กำหนด 79 00:03:29,068 --> 00:03:32,219 ว่ากระดาษที่อยู่ในกระเป๋าคุณมีค่าแค่ไหน 80 00:03:32,243 --> 00:03:34,962 แต่ยังรวมถึงโอกาสในการที่คุณ จะได้งาน หรือรักษางาน 81 00:03:34,986 --> 00:03:48,514 ที่ให้รายได้กับคุณอีกด้วย