ถ้าคุณมีเวลาพูด 21 นาที
สองล้านปีก็ดูจะเป็นเวลาที่นานเหลือเกิน
แต่ในแง่ของวิวัฒนาการ สองล้านปีมันสั้นนิดเดียว
แต่ก็ภายในแค่สองล้านปีนี่เอง ที่มวลสมองของมนุษย์เพิ่มขึ้นถึงสามเท่า
จากสมองขนาดหนึ่งปอนด์เศษของฮาบิลิส บรรพบุรุษของเรา
มาเป็นก้อนเนื้อขนาดสามปอนด์ที่พวกเรามีอยู่ระหว่างหูสองข้าง
สมองใหญ่แล้วมันดีอย่างไร ทำไมธรรมชาติถึงอยากให้เรามีสมองใหญ่ๆ
ก็นั่นล่ะ มันกลายเป็นว่า เมื่อสมองมีขนาดเพิ่มขึ้นสามเท่า
มันไม่ได้แค่ใหญ่ขึ้นสามเท่า แต่มันมีโครงสร้างใหม่เพิ่มขึ้นมาด้วย
ที่สมองเราใหญ่ขึ้นก็เพราะมันมีเจ้าส่วนใหม่นี้ ที่เรียกว่า
สมองส่วนหน้า (frontal lobe) หรือจะเรียกให้เจาะจงลงไปว่าพรีฟรอนทัล คอร์เท็กซ์
แล้วเจ้าพรีฟรอนทัล คอร์เท็กซ์ทำหน้าที่อะไรหรือ มนุษย์เราถึงต้องยกเครื่อง
เปลี่ยนกะโหลกใหม่แบบเร่งรัด ในเวลาวิวัฒนาการเพียงช่วงสั้นๆ
พรีฟรอนทัล คอร์เท็กซ์ทำหน้าที่หลายอย่างครับ
แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ
มันสร้างภาพจำลองประสบการณ์ได้
นักบินหัดขับเครื่องบินด้วยเครื่องจำลองสภาพการบิน
จะได้ไม่ทำผิดพลาดบนเครื่องบินจริงๆ
มนุษย์มีความสามารถในการปรับตัวที่น่าทึ่งอันนี้
โดยสามารถจำลองสถานการณ์ในหัว
ก่อนที่จะลงมือทำในชีวิตจริง
กลยุทธ์แบบนี้ บรรพบุรุษของเราทำไม่ได้นะครับ
และไม่มีสัตว์สายพันธุ์อื่นใดทำได้ มันเป็นการปรับตัวที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
เช่นเดียวกับการมีนิ้วหัวแม่มือที่พับขวางฝ่ามือได้ ยืนตรงได้ และมีภาษา
เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คนเราออกจากป่า
ไปเดินในห้างสรรพสินค้าแทน
ทีนี้ (เสียงหัวเราะ) คุณทุกคนต้องเคยจำลองสถานการณ์
ผมหมายถึง, ก็อย่างเช่น
ไอศครีมเบน แอนด์ เจอร์รี่ ก็ไม่มีไอศครีมรสตับกับหัวหอม
ไม่ใช่เพราะเขาลองทำ ลองชิม แล้ว "แหวะ"
แต่เพราะเขาคิดได้ล่วงหน้าว่ารสชาติมันจะเป็นยังไง
แค่คิดถึงรสแบบนั้น ก็แหวะได้โดยไม่ต้องลองทำเลย
ลองมาดูกันว่ากลไกการจำลองประสบการณ์ของคุณทำงานยังไง
มาทดสอบกันหน่อย ก่อนที่ผมจะพูดต่อ
นี่เป็นสถานการณ์อนาคตสองอย่าง ที่ผมอยากให้คุณลองจินตนาการดู
แล้วบอกผมว่า คุณชอบอันไหนมากกว่า
อย่างแรกคือ ถูกล็อตเตอรี่สัก 314 ล้านเหรียญ
อีกอย่างคือเป็นอัมพาตครึ่งล่าง
ลองใช้เวลาคิดดูสักนิดหนึ่งครับ
คุณอาจรู้สึกว่าไม่เห็นต้องใช้เวลาคิดเลย
น่าสนใจนะครับ นี่คือข้อมูลของคนสองกลุ่มนี้
ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหน
เหมือนที่คุณคิดเลยใช่ไหมครับ
แต่นี่ไม่ใช่ข้อมูลจริง ผมมั่วขึ้นมาเอง
นี่ต่างหากข้อมูลของจริง คุณสอบตกแล้ว นี่ยังฟังเลคเชอร์ไปไม่ถึงห้านาทีเลย
เพราะที่จริง หนึ่งปีหลังจากที่ขาใช้การไม่ได้
กับหนึ่งปีหลังจากถูกล็อตเตอรี่ คนที่ถูกล็อตเตอรี่กับคนที่เป็นอัมพาต
มีความสุขกับชีวิตพอๆ กัน
เอาล่ะ คุณไม่ต้องรู้สึกแย่ที่สอบตกหรอกครับ
เพราะทุกคนตอบผิดหมดเหมือนคุณนั่นแหละ
งานวิจัยที่แล็บของผมทำอยู่
ที่นักเศรษฐศาสตร์ และนักจิตวิทยาทั่วประเทศกำลังทำอยู่
ได้ให้ผลที่ทำให้เรางงเอามากๆ
เราเรียกมันว่า การประเมินผลกระทบเกินจริง (impact bias)
ซึ่งหมายถึงแนวโน้มที่ระบบจำลองเหตุการณ์ของเราทำงานผิดพลาด
โดยทำให้คุณเชื่อว่าผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
มันต่างกันมากเกินกว่าที่มันเป็นจริงๆ
ทั้งงานวิจัยภาคสนาม และในห้องทดลอง
เราพบว่า ชนะหรือแพ้เลือกตั้ง มีแฟนหรือแฟนทิ้ง
ได้เลื่อนขั้นหรือไม่ได้เลื่อนขั้น สอบผ่านหรือไม่ผ่าน
และอื่นๆ อีกมากมาย มีผลกระทบน้อยกว่า รุนแรงน้อยกว่า
และมีผลอยู่ไม่นานเท่าที่คนเราคาด
ที่จริง งานวิจัยล่าสุด ที่ทำเอาผมเกือบล้มตึง
งานนี้เป็นการศึกษาว่าเหตุการณ์สะเทือนใจมีผลกระทบกับคนเรายังไง
แล้วผลออกมาว่า ถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อสามเดือนที่แล้ว
เว้นแต่ว่าจะมีอะไรพิเศษจริงๆ
เหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบใดๆ กับความสุขของคุณเลย
ทำไมล่ะ?
ก็เพราะว่าความสุขเป็นสิ่งที่สร้างได้ !
เซอร์ โทมัส บราวน์ เขียนไว้ในปี 1642 ว่า "ฉันเป็นคนที่มีความสุขที่สุด
ฉันสามารถเปลี่ยนความจนเป็นความรวย เปลี่ยนความแร้นแค้นเป็นความมั่งคั่ง
ฉันอยู่ยงคงกระพันยิ่งกว่าอคิลลิส ไม่มีจุดอ่อนที่ใครจะทำอะไรได้เลย
ผู้ชายคนนี้เขามีกลไกพิเศษอะไรในหัวหรือครับ?
มันก็กลไกเดียวกันกับที่เราทุกคนมีอยู่นั่นแหละครับ
มนุษย์เรามีสิ่งที่เรียกว่าระบบภูมิคุ้มกันทางจิต
เป็นกระบวนการทางความคิด ซึ่งส่วนใหญ่เราไม่ค่อยรู้ตัว
แต่ช่วยให้เราเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อโลก
แล้วทำให้เรารู้สึกดีขึ้นกับโลกรอบตัว
คุณก็มีกลไกตัวนี้เหมือนกับเซอร์ โทมัส
แต่ที่ต่างคือ คุณไม่รู้ตัวว่าคุณมีมันอยู่
เราสังเคราะห์ความสุขเองได้ แต่เราชอบคิดว่าความสุขเป็นสิ่งที่ต้องไปแสวงหา
ทีนี้ ผมว่าคุณไม่ต้องให้ผมบอกคุณก็คงนึกตัวอย่างคนที่สังเคราะห์ความสุขได้เยอะแยะ
แต่อีกเดี๋ยวผมจะเล่าเรื่องหลักฐานจากการทดลองให้ฟัง
คุณไม่ต้องมองหาที่ไหนไกลเลย
ไหนลองดูสิ ผมพูดเรื่องนี้ไปบ้างแล้วในเลกเชอร์ของผม
ผมเอาหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์มาดู แล้วหาตัวอย่างของคนที่สังเคราะห์ความสุขเอง
ผมเจอสามคนนี้ที่สังเคราะห์ความสุขเองครับ
"ผมดีขึ้นเยอะ ทั้งทางร่างกาย การเงิน อารมณ์ จิตใจ
และในแทบทุกๆ ด้าน" "ผมไม่รู้สึกเสียดายเลยแม้แต่นาทีเดียว
มันเป็นประสบการณ์ที่งดงามยิ่งใหญ่" "ผมเชื่อว่าผลมันออกมาดีที่สุดเลย"
คนพวกนี้เป็นใคร ทำไมมีความสุขกันนัก?
เอ่อ คนแรกคือจิม ไรท์
พวกคุณบางคนที่อายุมากหน่อยคงจำได้ เขาเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร
เขาลาออกจากตำแหน่งพร้อมชื่อเสียงที่เสื่อมเสีย เมื่อนักการเมืองหนุ่มจากพรรครีพับลิกัน
ชื่อนายนิว กินริช เปิดโปงเรื่องการคอรัปชั่นของเขา
จากสมาชิกพรรคเดโมแครตที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศ
เขาสูญเสียหมดทุกอย่าง
ทั้งเงิน ทั้งอำนาจ
ผ่านไปหลายปี เขาพูดถึงเรื่องนี้ยังไงนะ?
"ผมดีขึ้นเยอะ ทั้งทางร่ายกาย การเงิน จิตใจ
และในแทบทุกเรื่อง"
คนเราจะดีขึ้นในด้านไหนได้อีกล่ะครับ?
ด้านพืชผัก? เกลือแร่? หรือว่าสรรพสัตว์? เขาพูดครอบคลุมหมดทุกด้านแล้ว
โมรีส บิคแฮมเป็นอีกคนที่คุณคงเคยได้ยินชื่อ
โมรีส บิคแฮมพูดประโยคเหล่านี้ ตอนที่เขาได้รับการปล่อยตัว
ตอนนั้นเขาอายุ 78 ปี และได้ใช้เวลา 37 ปี
อยู่ในคุกที่หลุยเซียน่า ด้วยอาชญากรรมที่เขาไม่ได้เป็นคนทำ
เขาได้รับการปล่อยตัว
ตอนอายุ 78 ปี เพราะหลักฐานทาง DNA
แล้วเขาพูดถึงประสบการณ์ของเขายังไงนะ?
"ผมไม่เสียใจเลยแม้แต่นาทีเดียว มันเป็นประสบการณ์ที่งดงามยิ่งใหญ่"
งดงามยิ่งใหญ่เหรอ! เขาไม่ได้แค่บอกว่า
"เอ่อ ก็มีคนดีๆ อยู่เหมือนกันนะ มียิมด้วย"
เขาพูดว่า "งดงามยิ่งใหญ่"
คำนี้เรามักเอาไว้ใช้กับประสบการณ์ทางศาสนา อะไรทำนองนั้นนะ
แฮรี่ เอส แลงเกอร์แมน เขาเป็นใครคนหนึ่งที่คุณน่าจะได้รู้จัก
แต่ก็ไม่รู้จัก เพราะเมื่อปี 1949 เขาอ่านข่าวเล็กๆ ในหนังสือพิพม์
เกี่ยวกับซุ้มขายแฮมเบอร์เกอร์ที่มีสองพี่น้องตระกูลแม็คโดนัลเป็นเจ้าของ
เขาคิดว่า "ไอเดียเจ๋งแฮะ!"
เขาก็เลยไปหาสองพี่น้องแม็คโดนัล
"เราขายแฟรนไชส์ให้คุณได้ในราคา 3,000 ดอลล่าร์"
แฮรี่กลับไปนิวยอร์ค ถามพี่ชายที่เป็นนายธนาคารด้านการลงทุน
เพื่อขอกู้เงิน 3,000 ดอลล่าร์
ประโยคอมตะของพี่ชายเขาคือ
"ไอ้โง่ ใครเขากินแฮมเบอร์เกอร์กัน"
แล้วก็ไม่ให้ยืมเงิน แล้วหกเดือนต่อมา
เรย์ ครอคเกิดไอเดียเหมือนกันเลย
และปรากฏว่าคนกินแฮมเบอร์เกอร์ครับ
และเรย์ ครอคก็กลายเป็นคนที่รวยที่สุดในอเมริกาอยู่พักหนึ่ง
สุดท้าย ประโยคเด็ดสุดๆ
พวกคุณบางคนอาจจะจำภาพตอนหนุ่มๆ ของพีท เบส ภาพนี้ได้
เขาเป็นมือกลองคนแรกของวงบีทเทิล
จนกระทั่งคนในวงส่งเขาไปทำธุระแล้วแอบหนี
ไปรับตัวริงโก สตาร์ไปออกทัวร์คอนเสิร์ต
ในปี 1994 มีคนไปสัมภาษณ์พีท เบสท์
ใช่ เขายังเป็นมือกลองอยู่ ยังเล่นดนตรีอัดเสียงในห้องอัด
เขาบอกว่าอย่างนี้ครับ "ผมมีความสุขมากกว่าอยู่กับวงบีทเทิลส์"
โอเค นี่คือสิ่งสำคัญที่เราต้องเรียนรู้จากคนเหล่านี้
นี่เป็นเคล็ดลับของความสุข
ที่ได้ถูกเปิดเผยในที่สุด
ข้อแรก สั่งสมทรัพย์สิน อำนาจ และเกียรติยศ
แล้วทำยังไงก็ได้ให้สูญเสียมันให้หมด (เสียงหัวเราะ)
ข้อสอง ใช้ชีวิตอยู่ในคุกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ (เสียงหัวเราะ)
ข้อสาม ทำให้คนอื่นรวย รวยมากๆ (เสียงหัวเราะ)
และสุดท้าย อย่าเข้าร่วมวง เดอะ บีทเทิลส์ (เสียงหัวเราะ)
โอเค ผมก็เหมือน ซี แฟรงค์ ที่เดาได้ว่าคุณจะคิดอะไรต่อ
คุณก็คงว่า "อ๋อ เหรอ" เพราะว่า เมื่อ
คนเราสังเคราะห์ความสุขเอง เหมือนที่คุณๆ พวกนี้เค้าทำ
เรายิ้มให้เขา แต่เราก็คงจะกลอกตาไปมา
"อ๋อ เหรอ คุณไม่ได้อยากได้งานพวกนี้จริงๆ นะเหรอ"
"อ่อ ใช่ๆ คุณไม่ได้
มีอะไรที่เข้ากับเธอได้เลยจริงๆ
แล้วคุณก็เพิ่งคิดออกตอนที่เธอ
เพิ่งปาแหวนหมั้นใส่หน้าคุณนี่เอง"
เรายิ้มเยาะคนพวกนี้เพราะเราเชื่อว่าความสุขแบบสังเคราะห์
มีคุณภาพต่ำกว่าความสุขที่เราเรียกว่า ความสุขตามธรรมชาติ
คำพวกนี้มันหมายถึงอะไรเหรอครับ?
ความสุขธรรมชาติ คือความรู้สึกเมื่อเราได้ในสิ่งที่เราต้องการ
และความสุขสังเคราะห์ คือสิ่งที่เราสร้างขึ้นเองเมื่อเราไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการ
และในสังคมของเรา เรามีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่า
ความสุขสังเคราะห์มันด้อยกว่า
ทำไมเราจึงเชื่ออย่างนั้นครับ?
ง่ายมากครับ กลไกทางเศรษฐกิจตัวไหนบ้าง
ที่จะเดินได้
ถ้าเราเชื่อว่า การไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการจะทำให้เรามีความสุขเท่ากับการได้มันมา?
ผมต้องขอโทษแมทธิเออ ริการ์ เพื่อนของผมจริงๆ ครับ
ห้างสรรพสินค้าที่เต็มไปด้วยพระเซ็น
คงจะไม่ค่อยมีกำไรหรอกครับ
เพราะพวกท่านไม่ต้องการข้าวของต่างๆ มากพอ
แต่ผมอยากจะบอกกับคุณว่า ทุกๆ อณูของความสุขสังเคราะห์
นั้นเป็นจริงและยั่งยืน
ไม่ต่างจากความสุขที่คุณบังเอิญได้เจอ
เมื่อคุณได้ในสิ่งที่คุณหวังไว้ ...ทีนี้ ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์
ฉะนั้นผมจะไม่พูดเปล่าๆ
ผมจะจับคุณลงไปแช่ในบ่อข้อมูลสักหน่อย
ผมขอเล่าวิธีการทดลองที่ใช้ในการ
ทดสอบให้เห็นการสังเคราะห์ความสุข
ที่เคยทำกันมาก่อนนะครับ อันนี้ไม่ใช่การทดลองของผม
นี่เป็นวิธีการที่ใช้กันมาห้าสิบปีแล้ว เรียกว่าการให้ตัดสินใจเลือกโดยอิสระ
วิธีการง่ายมากครับ
คุณเอาของมาสักหกอย่าง
ให้ผู้ร่วมการทดลองจัดอันดับจากที่ชอบมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด
ในกรณีนี้ การทดลองที่ผมจะเล่าให้ฟังเขาใช้
ภาพพิมพ์จากภาพวาดของโมเน่
ผู้ร่วมการทดลองแต่ละคนจัดอันดับภาพของโมเน่
จากที่เขาชอบมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด
ทีนี้ เราให้ผู้ร่วมการทดลองเลือก
เราบอกเขาว่า "บังเอิญเรามีภาพพวกนี้เหลืออยู่ในตู้
เราจะให้คุณเอากลับบ้านได้ใบหนึ่งเป็นรางวัลตอบแทน
บังเอิญว่าเรามีภาพอันดับ 3 กับอันดับ 4"
นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากอยู่
เพราะผู้ร่วมการทดลองไม่ได้ชอบตัวเลือกไหนเป็นพิเศษ
แต่ตามธรรมชาติ ผู้ร่วมการทดลองก็จะเลือกอันดับที่สาม
เพราะเขาชอบมากกว่าอันดับสี่นิดหน่อย
ต่อมาอีก 15 นาที หรือ 15 วันในบางเงื่อนไขการทดลอง
ของชุดเดิมถูกนำมาวางต่อหน้าผู้ร่วมการทดลองอีกครั้ง
แล้วเราก็ขอให้ผู้ร่วมการทดลองจัดอันดับใหม่
"บอกเราหน่อยว่าตอนนี้คุณชอบของแต่ละชิ้นมากแค่ไหน"
เกิดอะไรขึ้นครับ? ดูสิครับ ความสุขถูกสังเคราะห์แล้ว
นี่เป็นผลที่ได้รับการยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คุณกำลังมองดูความสุขถูกสังเคราะห์ เห็นไหมครับ
อยากดูอีกทีไหมครับ? โอ้ ความสุข!
"ภาพที่ฉันได้เป็นเจ้าของมันดียิ่งกว่าที่ฉันคิดทีแรกซะอีก!
ส่วนภาพที่ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของมันห่วย!"
(เสียงหัวเราะ) นี่แหละคือการสังเคราะห์ความสุข
ทีนี้ คุณจะมีปฏิกิริยาตอบสนองยังไง "อ๋อ เหรอ คงใช่หรอกนะ!"
ทีนี้ นี่เป็นงานวิจัยที่เราทำ
และผมหวังว่านี่จะทำให้คุณเชื่อว่า
"อ๋อ เหรอ คงใช่หรอกนะ!" เนี่ย ไม่ใช่ปฏิกิริยาตอบสนองที่ถูกต้อง
เราทำการทดลองกับผู้ป่วยกลุ่มหนึ่ง
ที่มีอาการความจำในปัจจุบันเสื่อม ผู้ป่วยเหล่านี้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ส่วนใหญ่มีอาการคอร์ซาคอฟ ซินโดรม
โรคทางจิตประสาทที่เกิดเพราะว่าดื่มเหล้ามากเกินไป
จนไม่สามารถเก็บความทรงจำใหม่ๆ ได้
ผู้ป่วยเหล่านี้จำวัยเด็กของตัวเองได้ แต่ถ้าคุณเข้าไปแนะนำตัว
แล้วออกจากห้องไป
เมื่อคุณกลับมาใหม่ เขาจะไม่รู้แล้วว่าคุณคือใคร
เราเอาชุดภาพโมเน่ไปโรงพยาบาล
ขอให้ผู้ป่วยเหล่านี้จัดอันดับ
จากที่เขาชอบมากที่สุดไปน้อยที่สุด
แล้วให้เขาเลือกภาพเก็บไว้ใบหนึ่ง ระหว่างอันดับที่ 3 กับอันดับที่ 4
เช่นเดียวกับคนอื่น พวกเขาตอบว่า
"โอ้ ขอบคุณครับหมอ! นี่มันยอดมาก! ผมจะได้มีภาพพิมพ์ใบใหม่
ผมเลือกภาพอันดับ 3 ครับ"
เราอธิบายว่า เราจะส่งภาพอันดับ 3 ที่เขาเลือกไปให้ทางไปรษณืย์
เราเก็บข้าวของ แล้วออกจากห้องไป
จับเวลาให้ครบครึ่งชั่วโมง
แล้วกลับเข้าไปในห้องใหม่ "เฮ้ เรากลับมาแล้ว"
ผู้ป่วยที่น่ารักของเราตอบว่า "อ่า หมอครับ ผมขอโทษ
ผมมีปัญหาเรื่องความจำ ผมถึงได้มาอยู่โรงพยาบาลนี่
ถ้าผมเคยพบคุณมาก่อน ผมก็จำไม่ได้ซะแล้วล่ะ"
"จริงเหรอจิม คุณจำไม่ได้เลยเหรอ? เมื่อกี้ผมอยู่ตรงนี้กับภาพพิมพ์ของโมเน่ไง จำได้ไหม?"
"ขอโทษครับหมอ ผมจำอะไรไม่ได้เลย"
"ไม่เป็นไร จิม ผมแค่อยากให้คุณช่วยจัดอันดับภาพพวกนี้
จากภาพที่คุณชอบมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด"
เอาล่ะ เรามาเช็คดูก่อนให้แน่ใจว่า
เขาจำไม่ได้จริงๆ เราถามผู้ป่วยเหล่านี้
ว่าเขาจำได้ไหมว่าภาพไหนที่เขาได้เป็นเจ้าของ
ภาพไหนที่เขาเลือกเมื่อรอบแรก ภาพไหนที่เป็นของเขา
เราพบว่า ผู้ป่วยความจำเสื่อมได้แค่เดา
นี่คือกลุ่มควบคุมที่เป็นคนปกติ คือ ถ้าผมทำแบบนี้กับคุณ
คุณทุกคนจะจำได้ว่าภาพไหนที่คุณเลือก
แต่ถ้าผมถามผู้ป่วยความจำเสื่อม
เขาจำอะไรไม่ได้เลย เขาไม่สามารถเลือกรูปภาพของเขาจากตัวเลือกทั้งหกได้
นี่คือสิ่งที่กลุ่มควบคุมที่เป็นคนปกติทำ เขาสังเคราะห์ความสุข
ใช่ไหมครับ? นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงของคะแนนความชอบ
ซึ่งเปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่เขาจัดอันดับ
ในกลุ่มควบคุมที่เป็นคนปกติ เราได้ผล
เหมือนกลวิเศษที่ผมให้คุณดูไปแล้ว
ทีนี้ ผมจะให้คุณดูกราฟเทียบกัน
"รูปที่ฉันเป็นเจ้าของมันดียิ่งกว่าที่ฉันเคยคิด รูปที่ฉันไม่ได้เป็นเจ้าของ
รูปที่ฉันไม่ได้เลือก มันไม่ได้ดีเท่าที่ฉันเคยคิด"
ผู้ป่วยความจำเสื่อมทำเหมือนกับคนปกติเป๊ะเลย คิดดูดีๆ สิครับ
จากผลการวิจัยนี้ คนเหล่านี้ชอบรูปที่เขาเป็นเจ้าของมากขึ้น
ทั้งที่เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเจ้าของภาพนั้น
คุณจะตอบว่า "อ๋อ เหรอ, คงใช่หรอก" ไม่ได้แล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อคนเหล่านี้สังเคราะห์ความสุข
พวกเขาเปลี่ยนปฏิกิริยาตอบสนองทาง
ความรู้สึก ความพึงพอใจ สุนทรียสัมผัสที่มีต่อภาพนั้นไปจริงๆ
เขาไม่ได้ตอบไปอย่างนั้นเพียงเพราะเขาได้เป็นเจ้าของมัน
เพราะกรณีนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นเจ้าของภาพพวกนั้น
ทีนี้ เวลานักจิตวิทยาให้คุณดูภาพกราฟแท่ง
คุณคงรู้ว่ามันหมายถึงค่าเฉลี่ยของคนจำนวนมาก
คนทุกคนมีระบบภูมิคุ้มกันทางจิต
ซึ่งสามารถสังเคราะห์ความสุขได้
แต่บางคนก็สังเคราะห์ความสุขได้เก่งกว่าคนอื่น
และสถานการณ์บางอย่างก็เอื้อให้เราสังเคราะห์ความสุข
ได้อย่างมีประสิทธิกว่าสถานการณ์อื่น
ปรากฏว่า เสรีภาพ
--การที่คนเราสามารถที่จะตัดสินใจ และเปลี่ยนใจ--
คือ เพื่อนแท้ของความสุขตามธรรมชาติ เพราะว่าคุณมีโอกาสเลือก
ระหว่างอนาคตที่หอมหวาน และเลือกทางที่คุณชอบมากที่สุด
แต่เสรีภาพที่จะเลือก
--ที่จะเปลี่ยนใจ และตัดสินใจด้วยตัวเอง-- เป็นศัตรูกับความสุขสังเคราะห์
ผมจะอธิบายให้คุณฟังว่าทำไม
ดิลเบิร์ตรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
คุณอ่านการ์ตูนดูนะ ผมจะพูดไปด้วย
"ด็อกเบิร์ต เทค การช่าง จะให้เราแกล้งคุณยังไงดีครับวันนี้?"
"พรินเตอร์ของผมพิมพ์กระดาษเปล่าออกมาแผ่นนึงหลังผมพิมพ์เอกสารทุกครั้ง"
"คุณได้กระดาษฟรีแล้วจะบ่นไปทำไม?"
"ฟรีเหรอ? นั่นมันกระดาษของผมเองไม่ใช่เหรอ?"
"เฮ้ คุณลองดูคุณภาพกระดาษฟรีพวกนี้
เทียบกับกระดาษห่วยๆ ธรรมดาของคุณซะก่อน!
มีแต่คนโง่หรือจอมโกหกเท่านั้นล่ะที่จะบอกว่ามันเหมือนกัน!"
"อ่า! ฟังที่คุณพูดแล้ว มันก็ดูเนื้อเนียนกว่าหน่อยนึงจริงๆ ด้วย!"
"นายทำอะไรน่ะ?"
"ฉันช่วยให้คนยอมรับสิ่งที่เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไงล่ะ" จริงของเค้านะ
ระบบภูมิคุ้มกันทางจิตทำงานได้ดีที่สุด
เมื่อเราติดกับ แก้ไขอะไรไม่ได้
นี่คือความแตกต่างระหว่างการเป็นแฟนกับการแต่งงาน ใช่ไหมครับ?
คือ คุณไปออกเดทกับหนุ่มสักคน
แล้วเขาแคะขี้มูก คุณก็ไม่อยากไปกับเขาอีก
ถ้าคุณแต่งงานกับผู้ชายที่แคะขี้มูกล่ะ?
อ่อ เขาเป็นคนจิตใจงามอย่างกับทองคำ
แต่อย่ามาแตะเค้กผลไม้นั่นแล้วกัน ใช่ไหมครับ (เสียงหัวเราะ)
คุณหาทางมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้
ทีนี้ ประเด็นที่ผมอยากให้แสดงคุณดูก็คือ
คนเราไม่รู้หรอกครับว่าตัวเราเองเป็นอย่างนี้
และการที่เราไม่รู้ ก็ทำให้เราเสียประโยชน์ไปเยอะมากนะครับ
นี่เป็นการทดลองที่เราทำที่ฮาร์วาร์ด
เราสร้างวิชาการถ่ายภาพขาวดำขึ้นมาวิชาหนึ่ง
ให้นักศึกษามาเรียนรู้การใช้ห้องมืด
เอากล้องให้เขา ให้ไปตระเวนทั่วมหาวิทยาลัย
ถ่ายภาพมา 12 ภาพ จะเป็นภาพอาจารย์คนโปรด หอพัก สุนัข
และอะไรก็ตามที่เขาอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำเกี่ยวกับฮาร์วาร์ด
พอเขากลับมา เราก็อัดรูปกัน
เราให้เขาเลือกภาพที่เขาคิดว่าดีที่สุดสองภาพ
เราใช้เวลาหกชั่วโมงสอนเขาใช้ห้องมืด
แล้วให้เขาอัดภาพขยายสองภาพที่เขาเลือก
ทีนี้เขาก็มีภาพขนาด 8x10 นิ้วสุดสวยสองภาพ
ที่มีความหมายกับเขา แล้วเราก็บอกเขาว่า
"เอาล่ะ ภาพไหนที่คุณไม่เอา?"
"อ่าว ผมต้องเลือกทิ้งภาพนึงเหรอ?"
"อ่อ ใช่ เราต้องการภาพถ่ายใบหนึ่งไว้เป็นหลักฐานของวิชานี้
คุณต้องให้ภาพผมใบหนึ่ง คุณต้องเลือกละ
คุณเก็บไว้ใบหนึ่ง ผมเก็บไว้ใบหนึ่ง"
ทีนี้ การทดลองนี้มีสองสถานการณ์
ในสถานการณ์หนึ่ง เราบอกนักศึกษาว่า "อ่อ แต่ว่า
ถ้าคุณเปลี่ยนใจ เราก็ยังเก็บภาพนี้ไว้ที่นี่แหละนะ
ภายในสี่วันข้างหน้า ก่อนที่เราจะส่งมันไปที่สำนักงานใหญ่
ผมยินดี "-- (เสียงหัวเราะ) -- ใช่ ผมพูดว่า "สำนักงานใหญ่" --
ผมยินดีที่จะให้คุณสลับภาพนะ ที่จริง
ผมไปหาคุณที่หอเลยก็ได้ หรือว่า
-- ให้อีเมล์ผมไว้ เอางี้เลยดีกว่า เดี๋ยวผมอีเมล์ไปถามคุณเลย
ถ้าคุณเปลี่ยนใจ คุณเอามาเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ได้"
แล้วเราก็บอกนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งตรงกันข้ามเลย
"ตัดสินใจเลือกเลย อ้อ
เราจะส่งภาพพวกนี้ไปยังอังกฤษทางไปรษณีย์ภายในสองนาทีนี้แล้ว
ภาพถ่ายของคุณจะบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปอังกฤษ
คุณจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว"
แล้วเราก็ให้ครึ่งหนึ่งของนักศึกษา
ในแต่ละสถานการณ์ข้างต้นทำนายว่า
ตัวเขาเองจะชอบภาพที่เขาเลือกเก็บไว้
กับภาพที่เขาไม่ได้เลือกมากแค่ไหน
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของนักศึกษาในแต่ละสถานการณ์ เราแค่ปล่อยให้กลับไปเฉยๆ
เราตามไปสำรวจความเห็นนักศึกษาเหล่านี้ภายในสามถึงหกวันให้หลัง
เกี่ยวกับความชอบ ความพอใจที่เขามีต่อภาพถ่ายของเขา
ดูสิว่าเราพบอะไร
ประการแรก นี่คือสิ่งที่นักศึกษาคิดว่าจะเกิดขึ้น
พวกเขาคิดว่าเขาจะชอบภาพที่ตัวเองเลือก
มากกว่าภาพที่เขาไม่ได้เลือก
แต่ไม่ได้แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
แค่ชอบมากขึ้นเล็กน้อย และไม่ได้มีผลอะไรนัก
กับการที่เขาจะเปลี่ยนภาพ หรือเปลี่ยนไม่ได้ ก็ยังทำนายแบบเดียวกัน
แต่ว่า ผิดครับ กลไกสร้างภาพจำลองของเรามันแย่ เพราะนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ทั้งก่อนจะถึงวันสุดท้ายที่เปลี่ยนได้ และห้าวันให้หลัง
คนที่เปลี่ยนภาพไม่ได้
คนที่ไม่มีทางเลือก
คนที่ไม่สามารถเปลี่ยนใจได้ ชอบภาพที่ตัวเองเลือกมากๆ!
ส่วนคนที่คิดว่า "เอ ควรจะเอาไปเปลี่ยนไหมนะ?
เราเลือกถูกหรือเปล่า บางทีภาพนี้อาจไม่ใช่ภาพที่ดีที่สุด หรือเปล่า?"
หรือว่าเราทิ้งภาพที่ดีกว่าไป?" ความคิดนี้ทำร้ายตัวเขาเอง
พวกเขาไม่ชอบภาพที่ตัวเองเลือก
แม้ว่าโอกาสที่จะเปลี่ยนได้ ได้ผ่านไปแล้ว
พวกเขาก็ยังคงไม่ชอบภาพที่ตัวเองเลือกมา ทำไมล่ะ?
เพราะสถานการณ์ที่เปลี่ยนใจได้
ไม่เอื้อต่อการสังเคราะห์ความสุข
เอาล่ะ นี่เป็นตอนจบของการทดลองนี้
เราเอานักศึกษาฮาร์วาร์ดกลุ่มใหม่มา
บอกพวกเขาว่า "เรากำลังจะเปิดวิชาการถ่ายภาพ
เราจัดวิชานี้ได้สองแบบ
แบบแรกคือ ให้คุณถ่ายภาพสองภาพ
แล้วมีเวลาสี่วันให้เปลี่ยนใจได้ว่าจะเลือกเก็บภาพไหนไว้
หรืออีกแบบหนึ่ง คุณถ่ายภาพสองภาพ
แล้วคุณตัดสินใจเลือกภาพทันที
แล้วเปลี่ยนใจไม่ได้นะ คุณจะเรียนคอร์สไหน?
"โธ่เอ๋ย! นักศึกษา 66% นั่นคือสองในสาม
เลือกเรียนคอร์สที่เขามีโอกาสเปลี่ยนใจหลังเลือกภาพได้
อะไรเนี่ย? 66% ของนักศึกษาเลือกลงวิชาที่จะทำให้เขา
ไม่พึงพอใจกับภาพที่ตัวเองเลือกในที่สุด
เพราะเขาไม่รู้ว่าสภาวะที่ความสุขสังเคราะห์งอกงามได้ดีต้องเป็นอย่างไร
เชกเสปียร์กล่าวไว้ว่าทุกอย่างล้วนดีที่สุด แน่นอนครับ นั่นตรงกับที่ผมต้องการพูดเลย
แต่เชกเสปียร์ก็พูดเกินไป
"สิ่งอันเลวหรือดีหามีไม่ / หากเพราะใจ เพราะความคิดขีดให้เป็น"
เป็นบทกวีที่เพราะดีครับ แต่นั่นก็ไม่ถูกซะทีเดียว
มันไม่มีอะไรที่ดีจริงๆ หรือเลวจริงๆ เลยหรือ?
จริงหรือที่การผ่าตัดถุงน้ำดี กับการไปเที่ยวปารีส
มันจะดีพอๆ กัน? เหมือนคำถามทดสอบไอคิวที่แสนง่ายเลยนะครับ
มันไม่มีทางเหมือนกันได้
ในงานเขียนทื่อๆ แต่ว่าใกล้เคียงความจริงมากกว่า
โดยบิดาของระบบทุนนิยมสมัยใหม่ อดัม สมิธ กล่าวว่า
เรื่องนี้น่าคิดนะครับ
ท่านบอกว่า "ที่มาของทั้งความทุกข์และความวุ่นวายของชีวิตมนุษย์
ดูเหมือนจะมาจากการประเมินสถานการณ์ที่ถาวรอันหนึ่ง
ว่าแตกต่างจากอีกสถานการณ์หนึ่งมากเกินจริง
แน่นอนว่า สถานการณ์เหล่านี้ บางอย่างก็เป็นที่ปรารถนามากกว่าสถานการณ์อื่นๆ
แต่ไม่มีสถานการณ์ไหนที่เราสมควรจะไขว่คว้า
ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า จนผลักดันให้เราละเมิดหรือละเลยกฎเกณฑ์
ไม่ว่าจะเป็นด้านความรอบคอบหรือความยุติธรรม หรือทำลายความสงบสุขของจิตใจตัวเอง
ไม่ว่าจะด้วยความอับอายเมื่อระลึกถึงการกระทำโง่ๆ
หรือความรู้สึกผิดในความอยุติธรรมอันเลวร้ายของเราเอง"
พูดอีกอย่างก็คือ ใช่ บางอย่างมันดีกว่าบางอย่าง
เราควรเลือกสิ่งที่เราชอบมากกว่า ซึ่งจะนำเราไปสู่อนาคตแบบหนึ่งที่แตกต่างจากแบบอื่น
แต่เมื่อความพอใจของเรามันผลักดันเรารุนแรง หรือรวดเร็วเกินไป
เพราะเราประเมินว่าของสองอย่างมันดีเลวกว่ากันมากเกินจริง
เราก็ตกอยู่ในความเสี่ยง
เมื่อความทะเยอทะยานของเรามีขอบเขต มันนำเราไปสู่การทำงานอย่างเบิกบาน
เมื่อความทะเยอทะยานของเราไม่มีขอบเขต มันทำให้เราโกหก โกง ขโมย ทำร้ายคนอื่น
ยอมละทิ้งสิ่งที่มีคุณค่าแท้จริง ...เมื่อความกลัวของเรามีขอบเขต
เราจะรอบคอบ ระมัดระวัง
เมื่อความกลัวของเราไม่มีขอบเขต เมื่อเรากลัวมากเกินไป
เราจะไร้สติ และกลัวลนลาน
บทเรียนที่ผมอยากทิ้งท้ายไว้ให้คุณจากข้อมูลเหล่านี้
คือ ความต้องการและความกังวลของเรา มันเกินขอบเขตอยู่ไม่มากก็น้อย
เพราะที่จริง ภายในใจของเราทุกคน มีกลไกสำหรับสร้างสิ่งที่เราต้องการ (ความสุข) อยู่แล้ว
สิ่งเดียวกับที่เราไขว่คว้าไม่หยุดหย่อน เมื่อเราตัดสินใจเลือกประสบการณ์ต่างๆ นั่นเอง
ขอบคุณครับ