เมื่อคุณนึกถึงเด็กน้อย เพื่อนสนิท คู่ชีวิต คำว่า "รัก" อาจผุดขึ้นในใจ และทันใดนั้น อารมณ์อื่น ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามา ความปลื้มปิติ และความหวัง ความตื่นเต้น ความไว้ใจและความรู้สึกปลอดภัย และจริงอยู่ บางครั้งก็มีความเศร้า และความผิดหวัง มันอาจจะไม่มีคำใดในพจนานุกรม ที่เกี่ยวข้องกับคนมากไปกว่าคำว่ารัก แม้ว่ามันจะเป็นศูนย์กลาง ความสำคัญแห่งชีวิตเรา แต่แปลกที่ว่าเราไม่เคยได้รับการสั่งสอน อย่างจริงจังว่าจะรักอย่างไร เราสร้างมิตรภาพ คลำทางหาความสัมพันธ์แบบโรแมนติกในระยะแรก แต่งงานและรับลูกน้อยกลับจากโรงพยาบาล พร้อมความหวังว่า เดี๋ยวเราก็หาทางได้เองล่ะน่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรามักจะทำร้าย และข่มเหงคนที่เรารัก มันอาจไม่ชัดเจน ทำให้เพื่อนรู้สึกผิด จะได้มาใช้เวลากับคุณบ้าง หรือแอบอ่านข้อความบนมือถือของแฟน หรือดุให้ลูกละอายที่ไม่ตั้งใจเรียน พวกเราทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เป็นฝ่ายรับผล ของพฤติกรรมความสัมพันธ์ที่รอวันเลิกรา และพวกเราร้อยทั้งร้อย ก็ทำในเรื่องที่เสียสุขภาพจิตด้วย เป็นมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้แหละ รูปแบบที่แย่ที่สุดของการทำร้ายคนที่เรารัก คือการปรามาสและใช้ความรุนแรง และการข่มเหงที่เกิดในความสัมพันธ์ เป็นสิ่งที่ผู้หญิงหนึ่งในสาม และผู้ชายหนึ่งในสี่ เผชิญในช่วงชีวิตของพวกเขา หากคุณเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ พอได้ยินสถิติเหล่านั้น คุณคงว่า "โอ ไม่หรอก นั่นไม่มีทางเกิดขึ้นกับตัวฉันแน่" มันเป็นสัญชาตญาณที่เราจะถอยห่างจาก คำว่า "การข่มเหง" และ "ความรุนแรง" เมื่อคิดว่ามันเกิดขึ้นกับคนอื่น ที่อื่น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความสัมพันธ์ ที่ให้โทษ และการข่มเหงมีอยู่รอบตัวเรา เราแค่เรียกมันด้วยชื่ออื่น และมองข้ามความเกี่ยวเนื่องของมัน การข่มเหงแอบย่องมาหาเรา แฝงตัวอยู่ในความรักให้โทษ ฉันทำงานให้กับองค์กรชื่อรักเดียว (One Love) ก่อตั้งโดยครอบครัวหนึ่งที่ลูกสาว ยาร์ดลีย์ ถูกอดีตแฟนหนุ่มของเธอฆ่า นี่เป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด แต่เมื่อมองย้อนกลับไป พวกเขาก็ตระหนักว่า มันมีสัญญาณบ่งชี้ให้เห็นตลอด แค่ไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาเห็น อาจเรียกว่าความบ้า หรือดราม่า หรือแค่เมาเกินไป ไม่มีใครเข้าใจการกระทำของเขา ตามที่มันสื่อออกมาจริง ๆ เลย ซึ่งมันเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นสัญญาณอันตราย ครอบครัวของเธอตระหนักว่าหากมีใครสักคน มีความรู้เรื่องการตีความสัญญาณเหล่านี้ เราอาจป้องกันได้และเธอคงไม่ตาย ทุกวันนี้ เราจึงมุ่งมั่นสร้างความมั่นใจ ว่าคนอื่น ๆ มีข้อมูล ที่ยาร์ดลีย์และเพื่อนของเธอไม่มี เรามีเป้าหมายสามประการ เราให้ภาษาเพื่อสื่อสารในเรื่องนี้ เรื่องที่น่าอึดอัดและลำบากใจที่จะพูดคุย เสริมพลังให้กับแนวหน้า นั่นคือเพื่อน ๆ ในการให้ความช่วยเหลือ และ ระหว่างทางก็พัฒนา ความสามารถในการรักให้ถูกทาง จะทำเช่นนั้นได้ เราจำเป็นต้องเริ่มจากการเผยให้เห็น สัญญาณอันตราย ที่เรามักมองข้ามไปเสียก่อน และงานของเราเน้นไปที่การสร้างเนื้อหา เพื่อให้เกิดการสนทนาระหว่างคนหนุ่มสาว อย่างที่คุณคาด เนื้อหาของเราส่วนใหญ่ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างหนัก ตามหัวข้อที่เรากำลังรับมืออยู่ แต่ในวันนี้ ฉันจะยกตัวอย่างที่ไม่หนักนัก แต่ยังกระตุ้นความคิดอยู่ ชื่อเรื่อง "The Couplets" มาเผยให้เห็น สัญญาณอันตรายทั้งห้าของรักให้โทษ ข้อแรกคือ ความเข้มข้นรุนแรง (วิดีโอ) บลู: ผมไม่ได้เจอคุณมาสองสามวัน คิดถึงคุณจังเลย ส้ม: ฉันคิดถึงคุณเหมือนกัน (#นั่นคือรัก) บลู: ผมไม่ได้เจอคุณตั้งห้านาที มันยาวนานราวชั่วชีวิต คุณทำอะไรอยู่โดยไม่มีผมได้ตั้งห้านาทีเต็ม ส้ม: นั่นแค่สามนาทีเองนะ (#นั่นไม่ใช่รัก) เคที ฮู้ด: มีใครจำเรื่องนี้ได้คะ ไม่รู้สิ หรือจำได้ ความสัมพันธ์อันทารุณ ไม่ได้เริ่มจากการทารุณ มันเริ่มด้วยความตื่นเต้นและสดชื่น ความรักและอารมณ์ที่หลั่งเข้ามาช่างเข้มข้น มันรู้สึกดีมาก คุณรู้สึกว่าโชคดีมากที่เจอแจ็คพ็อต แต่ในความรักให้โทษ ความรู้สึกเหล่านี้ จะเปลี่ยนไปเมื่อเวลาผ่านไป จากตื่นเต้นเป็นท่วมท้นและบางครั้งอึดอัด คุณรู้สึกได้เองจากข้างใน อาจจะเป็นตอนที่แฟนคนใหม่ของคุณ บอกว่า "ฉันรักเธอ" เร็วเกินที่คุณคาดคิด หรือเริ่มปรากฏตัวขึ้นในทุกที่ ส่งข้อความและโทรหาตลอดเวลา เขาอาจจะอดรนทนไม่ได้หากคุณตอบรับช้า แม้ว่าเขาจะรู้ว่า วันนั้นคุณยุ่งเรื่องอื่นอยู่ทั้งวัน มันจำเป็นที่จะต้องชี้ให้เห็นว่า มันไม่สำคัญว่าความสัมพันธ์เริ่มต้นอย่างไร แต่มันพัฒนาไปในทางไหนต่างหาก ในช่วงแรกของความสัมพันธ์ คุณจำเป็นต้อง ฟังความรู้สึกของตัวเองให้ดี คุณรู้สึกสบายใจกับ จังหวะการพัฒนาของความใกล้ชิดหรือไม่ คุณรู้สึกมีที่ว่างพอหายใจไหม อีกอย่างที่สำคัญคือคุณต้องฝึกมีปากมีเสียง เพื่อสื่อความต้องการของตัวเอง คำขอของคุณได้รับการรับฟังหรือไม่ สัญญาณที่สองคือ การแยกตัวออกห่าง (วิดีโอ) ส้ม 2: มาสังสรรค์กันไหม ส้ม 1: วันจันทร์ฉันกับแฟนนัดกันไว้แล้ว ส้ม 2: มาสังสรรค์กันไหม ส้ม 1: วันจันทร์ฉันกับแฟนนัดกันตลอด ส้ม 2: พรุ่งนี้ล่ะ ส้ม 1: อังคารเป็นวันนอนเล่นด้วยกันน่ะ ส้ม 2: พุธละกัน ส้ม 1: พุธเป็นวันปลอดเพื่อน KH: ฉันคิดว่าการแยกตัวออกห่าง เป็นสัญญาณรักให้โทษที่ถูกมองข้าม และเข้าใจผิดมากที่สุด ทำไมน่ะหรือ เพราะในความสัมพันธ์ใหม่ ๆ ทุกคู่ เริ่มจากความปรารถนาอันรุนแรง ที่จะใช้เวลาอยู่ด้วยกัน มันจึงสังเกตยากเมื่อบางอย่างเปลี่ยนไป การแยกตัวคืบคลานเข้ามาเมื่อแฟนของคุณ เริ่มดึงคุณออกห่างจากเพื่อนฝูงและครอบครัว และเครือข่ายผู้ช่วยเหลือของคุณ และผูกติดกับเข้ามากขึ้นทุกที เขาอาจพูดทำนองนี้ว่า "ไปเกลือกกลั้วกับคนพวกนี้ทำไม พวกไม่เอาไหนอย่างนี้" เกี่ยวกับเพื่อนของคุณ หรือ "พวกเขาอยากให้เราเลิกกัน พวกเขาไม่ชอบเรา" เกี่ยวกับครอบครัวของคุณ การแยกตัว คือการหว่านเมล็ดพันธ์ุ แห่งความสงสัย เกี่ยวกับทุกคนตั้งแต่ ชีวิตก่อนเริ่มความสัมพันธ์ รักที่ดีต้องมีอิสระ สองคนที่รักกันใช้เวลาอยู่ร่วมกัน แต่ก็ยังคงติดต่อกับคนอื่นและกิจกรรมอื่น ๆ ที่รักและสนใจมาก่อนด้วย ขณะที่ตอนช่วงแรก คุณอาจจะใช้เวลาทุกนาทีอยู่ด้วยกัน แต่ต่อมาความเป็นอิสระเป็นส่วนสำคัญ คุณทำเช่นนั้นได้ด้วยการวางแผนกับเพื่อน แล้วทำตามแผนนั้น และส่งเสริมให้คู่ของคุณทำเช่นเดียวกัน สัญญาณรักให้โทษอย่างที่สามคือความหึงหวงจัด (วิดีโอ) บลู 2: มีความสุขเรื่องอะไรหรือ บลู 1: เธอเพิ่งเริ่มติดตามฉันในอินสตาแกรม! บลู 2: กังวลเรื่องอะไร บลู 1: เธอเริ่มติดตามฉัน เอ้อ ไปทุกที่ (#นั่นไม่ใช่รัก) KH: เมื่อช่วงฮันนีมูนเริ่มจางไป ความหึงหวงรุนแรงก็คืบคลานเข้ามา คู่ของคุณอาจเริ่มเรียกร้องมากขึ้น ต้องการรู้ตลอดเวลา ว่าตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร หรืออาจจะเริ่มติดตามคุณไปทุกที่ ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ ความหึงหวงอย่างรุนแรงมาพร้อมกับ ความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของและความไม่ไว้วางใจ มักกล่าวหาว่า ทำตัวเจ้าชู้กับคนอื่นหรือนอกใจ และปฏิเสธที่จะฟังคำอธิบายของคุณ ว่าเขาไม่ต้องห่วงอะไร และคุณรักเขาคนเดียว ความหึงหวงเป็นส่วนหนึ่ง ในความสัมพันธ์ของมนุษย์ แต่หึงหวงรุนแรงนั้นต่างออกไป มันมีแง่มุมของการคุกคามและจนตรอก และโกรธเคืองติดมาด้วย ความรักไม่ควรให้ความรู้สึกเช่นนี้ สัญญาณที่สี่คือการดูแคลน (วิดีโอ) บลู: มาสังสรรค์กันไหม ส้ม: ต้องอ่านหนังสือ บลู: เธอได้ A อยู่แล้วน่า A อเมซิ่ง (#นั่นคือรัก) บลู: มาสังสรรค์กันไหม ส้ม: ต้องอ่านหนังสือ บลู: เธอได้ F อยู่แล้ว F ก็ F ก็ โง่ไง (#นั่นไม่ใช่รัก) KH: ช่าย อืมมม ในรักให้โทษ คำพูดถูกใช้เป็นอาวุธ การสนทนาที่เคยสนุกและไม่จริงจัง กลายเป็นร้ายกาจและน่าอับอาย คู่ของคุณอาจจะล้อเลียนคุณทำให้คุณเจ็บใจ ไม่ก็เล่าเรื่อง หรือพูดติดตลก ที่ทำให้คุณขายหน้า เมื่อคุณพยายามจะอธิบาย ให้เขารู้ว่าคุณเสียความรู้สึก เขาจะกลบเกลื่อนแล้วหาว่าคุณเกินกว่าเหตุ "ทำไมเธออ่อนไหวขนาดนี้ เป็นอะไรน่ะ หยุดคร่ำครวญซะที" คุณจึงต้องสงบปากสงบคำด้วยถ้อยคำเหล่านี้ มันดูเหมือนเป็นเรื่องแน่นอน ที่คู่ของคุณควรจะสนับสนุนคุณ คำพูดของเขาควรจะให้กำลังใจ ไม่ใช่ทำร้ายจิตใจคุณ เขาควรรักษาความลับของคุณและซื่อสัตย์กับคุณ เขาควรทำให้คุณรู้สึกมั่นใจมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง ประการสุดท้าย สัญญาณอย่างที่ห้า ความผันผวน (วิดีโอ) ส้ม 1: ฉันต้องเศร้าแน่ถ้าเราเลิกกัน ส้ม 2: ผมก็คงเศร้าเหมือนกัน (#นั่นคือรัก) ส้ม 1: ฉันคงหดหู่มากหากเราต้องเลิกกัน ฉันคงกระโจนจากขั้นบันไดนี้ไปเลย จริง ๆ นะ อย่าพยายามห้ามฉันเลย (#นั่นไม่ใช่รัก) KH: เดี๋ยวเลิกกัน เดี๋ยวดีกัน เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ยิ่งตึงเครียดมากยิ่งผันผวนมาก การทะเลาะกันทั้งน้ำตาและความหงุดหงิด แล้วกลับมาคืนดีกัน ใช้คำที่เกลียดชังสร้างความเจ็บปวด เช่น "เธอมันไร้ค่า ไม่รู้ว่าฉันทนอยู่กับเธอได้ยังไง!" ตามติดมาด้วยการขอโทษและคำสัญญา ว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว เมื่อถึงจุดนี้ คุณก็คุ้นเคยกับ สภาพความสัมพันธ์ขึ้น ๆ ลง ๆ นี้ เสียจนคุณอาจมองไม่ออกว่า ความสัมพันธ์ของคุณให้โทษอย่างไร และอาจเป็นอันตรายได้ด้วย มันมองออกยากว่า เมื่อไหร่ที่รักให้โทษกลายมาเป็นการข่มเหง แต่มันก็พูดได้ว่าหากความสัมพันธ์ของคุณ มีสัญญาณเหล่านี้มากแค่ไหน ก็ยิ่งให้โทษและเป็นอันตรายมากขึ้นเท่านั้น หากสัญชาตญาณของคุณบอกให้เลิกและออกห่าง ซึ่งก็เป็นคำแนะนำที่ พวกเราหลายคนบอกเพื่อนเรา ที่ตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่ให้โทษ แต่นั่นอาจไม่ใช่คำแนะนำที่ดีที่สุดก็ได้ เวลาบอกเลิกนั้น อาจกระตุ้นให้เกิดการใช้ความรุนแรง หากคุณกลัวว่าคุณกำลังจะเผชิญ การคุกคามหรือกำลังถูกข่มเหง คุณต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาวิธีออกห่างอย่างปลอดภัย แต่นี่ไม่ใช่สำหรับ ความสัมพันธ์แบบคนรักเท่านั้น และไม่ได้เกี่ยวเฉพาะกับการใช้ความรุนแรง การทำความเข้าใจกับสัญญาณของรักให้โทษ ยังสามารถช่วยให้คุณตรวจสอบและทำความเข้าใจ กับความสัมพันธ์แทบทุกประเภท คุณอาจจะเพิ่งเข้าใจว่าทำไม คุณถึงผิดหวังกับมิตรภาพที่มี หรือทำไมการปฏิสัมพันธ์ กับสมาชิกในครอบครัวบางคน ทำให้คุณรู้สึกท้อแท้และเป็นทุกข์ คุณอาจจะเพิ่งเริ่มเห็นว่าทำไม ความเอาจริงเอาจังและขี้อิจฉาของคุณ สร้างปัญหากับเพื่อนร่วมงาน การเข้าใจเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่การปรับปรุง คุณอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนความสัมพันธ์ให้โทษ ให้มาดีได้ คุณบางคนคงต้องทิ้งมันไว้ข้างหลัง และเดินจากไป แต่คุณก็สามารถทำหน้าที่ของคุณทุกวัน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น และนี่ก็เป็นข่าวดี มันไม่ใช่เรื่องยากเหมือนสร้างจรวด แค่การเปิดใจสื่อสาร เคารพซึ่งกันและกัน มีความเมตตา และอดทน เราสามารถฝึกเรื่องเหล่านี้ได้ในทุก ๆ วัน การฝึกฝนจะทำให้คุณดีขึ้นได้แน่ ฉันรับรองได้ แต่มันจะไม่ได้ทำให้คุณเพอร์เฟ็คหรอกนะ ฉันมีอาชีพนี้ ฉันรู้ และทุกวัน ฉันคิดและพูด เรื่องความสัมพันธ์ที่ดี แต่ฉันเองก็ยังทำในเรื่องที่ไม่ดีอยู่ วันหนึ่งในขณะที่ฉันกำลังพยายาม จัดการลูก ๆ สี่คนให้ออกจากบ้าน ท่ามกลางเสียงทะเลาะเบาะแว้ง และเสียงบ่นเรื่องอาหารเช้า ฉันก็หลุดเลยทีเดียว ด้วยน้ำเสียงแฝงความโกรธอย่างตั้งใจ ฉันตะโกนออกมาว่า "ทุกคนเงียบเดี๋ยวนี้และทำตามที่ฉันสั่ง! พวกเธอน่ะแย่ที่สุด! แม่จะงดเวลาดูทีวี และงดขนม และทุกอย่างในชีวิตที่ลูกชอบ!" (เสียงหัวเราะ) ใครเคยเป็นอย่างนี้บ้าง? (เสียงปรบมือ) ผันผวน ดูหมิ่น ลูกชายคนโตของฉันหันมามองและบอกว่า "แม่ นั่นไม่ใช่ความรัก" (เสียงหัวเราะ) ครู่หนึ่งที่ฉันอยากจะอัดลูกชาย ที่จับฉันได้เช่นนี้ เชื่อได้เลย แต่แล้ว ฉันก็รวบรวมสติ และคิดได้ว่า จริง ๆ แล้วฉันภูมิใจ ที่เขามีคำพูดที่ทำให้ฉันได้หยุดและคิด ฉันอยากให้ลูก ๆ เข้าใจว่า เส้นขอบเขตของการปฏิบัติ ที่พวกเขาควรได้รับอยู่ตรงไหน และมีคำพูดและปากเสียงเอ่ยออกมา หากไม่ได้รับการปฏิบัติตามขอบเขต ไม่ใช่แค่ก้มหน้ายอมรับ เราทำเหมือนความสัมพันธ์ เป็นเรื่องหาสาระไม่ได้กันมานาน ในขณะที่ทักษะความสัมพันธ์ เป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุด และฝึกฝนยากในชีวิต การเข้าใจสัญญาณโทษเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะ ช่วยให้คุณเลี่ยง การตกหลุมพรางที่นำไปสู่รักให้โทษ แต่การทำความเข้าใจ และฝึกฝนศิลปะของการอยู่อย่างสุข นี้สามารถปรับปรุง แทบทุกแง่มุมของชีวิตคุณได้ด้วย ฉันแน่ใจว่า ขณะที่ความรักเป็นเรื่องของ สัญชาตญาณและอารมณ์ ความสามารถในการรักให้ดีขึ้นนั้น เป็นทักษะที่เราสร้างได้ และพัฒนาได้หากให้เวลากับมัน ขอบคุณค่ะ (เสียงปรบมือ)