-
Title:
การเป็นพ่อแม่เด็ก ๆ ในเขตสงครามนั้นเป็นเช่นไร
-
Description:
พ่อแม่จะปกป้องและช่วยให้ลูก ๆ ของพวกเขารู้สึกปลอดภัยอีกครั้งหนึ่งได้อย่างไร ในเมื่อบ้านของพวกเขาถูกทำลายอย่างย่อยยับจากสงคราม ในการบรรยายอันแสนอบอุ่นหัวใจนี้ นักจิตวิทยา อาลา เอล-คาห์นี จะมากล่าวถึงงานของเธอในการช่วยเหลือ และเรียนรู้จากครอบครัวผู้ลี้ภัยที่ได้รับผลกระทบจากสงครามกลางเมืองในซีเรีย เธอตั้งคำถามว่า เราจะช่วยเหลือพ่อแม่เหล่านี้ในการมอบการเลี้ยงดูที่ให้ความอบอุ่นและปลอดภัยแก่ลูก ๆ อันเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุดได้อย่างไร
-
Speaker:
อาลา เอล-คาห์นี (Aala El-Khani)
-
ผู้คนทั่วโลกกว่า 1.5 พันล้านคน
ประสบกับความขัดแย้งด้วยอาวุธ
-
ด้วยเหตุนี้
ผู้คนจึงถูกบีบให้ลี้ภัยจากประเทศตัวเอง
-
ทำให้เกิดผู้อพยพมากกว่า 15 ล้านคน
-
ส่วนเด็ก ๆ แน่นอนว่า
-
เป็นผู้บริสุทธิ์และเหยื่ออันแสนเปราะบาง
-
แต่มิใช่แค่เพียง
ภัยคุกคามทางกายภาพที่เด่นชัดเท่านั้น
-
บ่อยครั้งที่ภัยเงียบจากสงคราม
ส่งผลต่อครอบครัวเด็ก ๆ
-
การผ่านประสบการณ์สงคราม
ทำให้เด็ก ๆ ตกอยู่ในความเสี่ยงสูง
-
ที่จะมีปัญหาพัฒนาการทางอารมณ์
และพฤติกรรม
-
ซึ่งเราทำได้เพียงนึกภาพ ว่าเด็กเหล่านี้
-
คงจะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ถูกคุกคาม
และตกอยู่ในความเสี่ยง
-
แต่ก็ยังมีข่าวดีอยู่บ้าง
-
คุณภาพของความเอาใจใส่ที่เด็ก ๆ ได้รับ
จากครอบครัวของพวกเขา
-
จะส่งผลต่อสุขภาวะของเด็ก ๆ
อย่างมีนัยยะสำคัญ
-
มากยิ่งกว่าประสบการณ์จริงจากสงคราม
ที่เด็ก ๆ ต้องพบเจอเสียอีก
-
ดังนั้น เราจึงสามารถปกป้องเด็ก ๆ ได้
-
ด้วยอุ่นไอรัก ด้วยการอุ้มชูที่ให้ที่พึ่งทางใจ
ทั้งในระหว่างและภายหลังภัยขัดแย้ง
-
เมื่อ ปี ค.ศ. 2011
ฉันเป็นนักศึกษาปริญญาเอกปีแรก
¶
-
ในสถาบันวิทยาศาสตร์จิตวิทยา
แห่งมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์
-
เช่นเดียวกับทุกท่าน ณ ที่แห่งนี้
-
ฉันได้ดูข่าววิกฤตการณ์ในซีเรีย
ที่ปรากฏต่อหน้าจากโทรทัศน์
-
ครอบครัวฉันเองก็มีถิ่นฐานมาจากซีเรีย
-
และในช่วงแรก ๆ นั้น
-
ฉันต้องสูญเสียสมาชิกครอบครัวหลายคน
ไปอย่างน่าใจหาย
-
ทั้งฉันและครอบครัวต่างมานั่งดูทีวีร่วมกัน
-
เราทุกคนต่างเคยเห็นภาพต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
-
ระเบิดทำลายล้างตึกรามบ้านช่อง
-
ความโกลาหล ความเสียหาย
-
ผู้คนต่างกรีดร้องและวิ่งหนี
-
ภาพที่ผู้คนร้องโหยหวนและวิ่งหนีนั้น
เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันปวดใจที่สุดเสมอ
-
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ภาพเด็ก ๆ ที่แลดูหวาดผวา
-
ตัวฉันก็เป็นคุณแม่ลูกสองที่มีความอยากรู้
อยากเห็นตามประสาเด็กทั่วไป
-
ในเวลานั้นเขาทั้งสองมีอายุ 5 และ 6 ขวบ
-
เป็นช่วงอายุที่เด็ก ๆ มักจะชอบถามคำถามมากมาย
-
และหวังจะได้รับคำตอบที่แท้จริงและน่าเชื่อถือ
-
ฉันจึงเริ่มสงสัยว่า จะเป็นอย่างไรนะ
-
หากฉันต้องดูแลลูกในเขตสงคราม
และค่ายผู้ลี้ภัย
-
ลูก ๆ ของฉันจะเปลี่ยนไปไหม
-
นัยน์ตาอันสดใสและมีความสุขของลูกสาวฉัน
จะจางหายไปไหม
-
ลักษณะนิสัยสบาย ๆ และไร้กังวลของลูกชาย
จะกลายเป็นหวาดกลัวและเก็บตัวไหม
-
ฉันจะรับมือได้อย่างไร
-
แล้วตัวฉันจะเปลี่ยนไปไหม
-
ในฐานะที่ฉันเป็นนักจิตวิทยา
และผู้สอนการเลี้ยงดูบุตร
¶
-
เรารู้ว่าการฝึกให้ผู้ปกครอง
มีทักษะการเลี้ยงดูบุตรที่ดี
-
สามารถส่งผลต่อสุขภาวะของเด็ก ๆ
อย่างมากมายเหลือคณานับ
-
เราเรียกสิ่งนี้ว่าการฝึกฝนการเลี้ยงดู
-
คำถามที่ฉันเคยคิดถึงก็คือ
-
โปรแกรมการฝึกฝนการเลี้ยงดู
จะเป็นประโยชน์ต่อครอบครัว
-
ในขณะที่พวกเขายังอยู่ในเขตสงคราม
หรือค่ายผู้ลี้ภัยได้หรือไม่
-
เราจะสามารถนำคำแนะนำและการฝึก
ให้เข้าไปถึงพวกเขาได้หรือไม่
-
อันจะสามารถช่วยให้ผ่านความยากลำบากนี้ไปได้
-
ฉันจึงเข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษาในระดับปริญญาเอก
-
ศาสตราจารย์เรเชล คาแลม
-
ด้วยแนวคิดที่จะใช้ความรู้ทางวิชาการ
เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกแห่งความเป็นจริง
-
ในตอนนั้นฉันเองก็ยังไม่แน่ใจนัก
ว่าต้องการทำอะไร
-
เธอฟังฉันอย่างตั้งใจและใจเย็น
-
แล้วฉันก็ดีใจ เมื่อเธอพูดว่า
-
"หากนั่นคือสิ่งที่คุณอยากทำ
และถ้ามันมีความหมายมากสำหรับคุณ
-
เช่นนั้นก็ลงมือทำมันเลยสิ
-
มาหาคำตอบกันว่าโปรแกรมฝึกการเลี้ยงดู
-
จะเป็นประโยชน์แก่ครอบครัว
ในสถานการณ์เช่นนี้ไหม"
-
ฉะนั้น จากห้าปีที่ผ่านมา
ทั้งตัวฉันและเพื่อนร่วมงาน
¶
-
อย่างศาสตราจารย์คาแลม
และดร.คิม คาร์ทไรท์
-
ได้ร่วมกันทำงาน
เพื่อช่วยเหลือครอบครัวเหล่านี้
-
ที่ต้องมาพานพบกับสงคราม
และการพลัดพรากถิ่นฐาน
-
ฉะนั้น การที่จะรู้ว่าเราจะช่วยเหลือครอบครัว
ที่ต้องเผชิญกับภัยขัดแย้งได้อย่างไร
-
จะประคับประคองเด็ก ๆ อย่างไร
-
ขั้นแรกคือการถามพวกเขาตรง ๆ
ว่ากำลังมีปัญหาเรื่องอะไร
-
ใช่ไหมล่ะคะ
-
เข้าใจว่ามันอาจจะดูตรงไปหน่อย
-
แต่บ่อยครั้งที่คนที่เปราะบางมากที่สุด
-
ก็คือกลุ่มคนที่เราพยายามจะช่วยเหลือ
-
แต่เรากลับไม่ถามอย่างจริงจัง
-
กี่ครั้งแล้ว ที่เราทึกทักกันไปเอง
ว่าเรารู้เรื่องจริง
-
แล้วเข้าไปช่วยเหลือพวกเขา
โดยเราไม่ปริปากถามก่อน
-
ฉะนั้น ฉันจึงเดินทางไปค่ายผู้ลี้ภัย
ทั้งในซีเรียและตุรกี
¶
-
ฉันนั่งลงและรับฟังปัญหาของพวกเขา
-
ฉันรับฟังอุปสรรคในการเลี้ยงดู
-
รับฟังความยากลำบากในการเลี้ยงดู
-
และรับฟังคำร้องขอความช่วยเหลือ
-
และบางที ทุกอย่างก็ต้องชะงัก
-
เพราะฉันทำได้เพียงแค่กุมมือพวกเขาไว้
-
ร่วมร้องไห้อย่างเงียบ ๆ
และสวดภาวนาไปพร้อมกัน
-
พวกเขาเล่าถึงความยากลำบากให้ฉันฟัง
-
พวกเขาเล่าถึงเงื่อนไขยุ่งยากในค่ายผู้ลี้ภัย
-
ที่ทำให้ไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้สักอย่าง
เว้นแต่งานง่าย ๆ
-
เช่น การกักตุนน้ำสะอาด
-
พวกเขาบอกฉันว่า
เขาต้องทนเฝ้ามองลูก ๆ นั่งเก็บตัว
-
จมปลักไปกับความโศกเศร้า, หดหู่, โกรธแค้น
-
ฉี่รดที่นอน, ดูดนิ้ว, หวาดกลัวเสียงดัง
-
หวาดกลัวต่อฝันร้าย
-
ฝันร้ายอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง
-
ครอบครัวเหล่านี้ต้องประสบชะตากรรม
เหมือนเช่นที่เราเห็นกันในโทรทัศน์
-
ตัวผู้เป็นแม่
-
ที่กลายเป็นหม้ายมีจำนวนเกือบครึ่ง
-
หรือไม่รู้กระทั่งว่าสามีเป็นหรือตาย
-
พยายามอธิบายถึงความรู้สึกอันเลวร้าย
ว่าพวกเธอรับมือกับมันยากเย็นเพียงใด
-
พวกเธอเฝ้ามองเด็ก ๆ เปลี่ยนไป
และไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร
-
ไม่รู้จะตอบคำถามที่ลูก ๆ เพียรถามอย่างไร
-
แต่สิ่งที่ฉันพบว่าช่างน่าอัศจรรย์
และก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจ
¶
-
คือ การที่ครอบครัวเหล่านี้
มีกำลังใจที่จะช่วยลูก ๆ มากเหลือเกิน
-
แม้ว่าจะต้องพบกับอุปสรรคทั้งหมดนี้
-
พวกเขาก็คอยช่วยเหลือลูก ๆ ของเขา
-
พวกเขาพยายามขอความช่วยเหลือ
เหล่าผู้ที่ทำงานใน NGO
-
จากครูในค่ายผู้ลี้ภัย
-
หน่วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
-
พ่อแม่ครอบครัวอื่น ๆ
-
ฉันเจอคุณแม่ท่านหนึ่ง
ที่เพิ่งมาอยู่ในค่ายได้เพียง 4 วัน
-
แต่ได้พยายามถึง 2 หน
-
ในการขอความช่วยเหลือ
ให้ลูกสาวตัวน้อยวัย 8 ขวบ
-
ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงฝันร้าย
-
แต่น่าเศร้า ที่ความพยายามเหล่านี้
มักจะไร้ประโยชน์เสียส่วนใหญ่
-
เมื่อใดที่มีคณะแพทย์มาค่ายผู้ลี้ภัย
-
ก็จะยุ่งอยู่ตลอดเวลาเสมอ
-
หรือไม่มีความรู้ และเวลา
ในการช่วยเหลือการเลี้ยงดูขั้นพื้นฐาน
-
คุณครูและพ่อแม่คนอื่น ๆ
ในค่ายผู้ลี้ภัยก็เช่นเดียวกัน
-
ส่วนหนึ่งของชุมชนผู้ลี้ภัยหน้าใหม่
ที่กำลังต่อสู้เพื่อความจำเป็นใหม่ ๆ
-
ฉะนั้น เราจึงเริ่มคิดหาทาง
¶
-
ว่าเราจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร
-
ผู้ที่กำลังต่อสู้กับสิ่งที่หนักเกินจะรับไหว
-
วิกฤตการณ์ซีเรียครั้งนี้ชี้ชัดแล้วว่า
-
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าช่วยเหลือ
ครอบครัวเหล่านี้ในระดับปัจเจกบุคคล
-
เราจะช่วยพวกเขาอย่างไรได้อีก
-
เราจะเข้าถึงพวกเขาในระดับประชากร
-
และมีค่าใช้จ่ายน้อย
-
ในช่วงเวลาอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร
-
หลังจากที่ใช้เวลาพูดคุยกับผู้ทำงานใน NGO
¶
-
หนึ่งในนั้น ได้แนะนำไอเดียอันแสนบรรเจิด
-
ในการแจกใบปลิวความรู้การเลี้ยงดูบุตร
ผ่านกระดาษห่อขนมปัง
-
กระดาษห่อขนมปังที่จะถูกส่งไปให้
ครอบครัวในพื้นที่ขัดแย้งของซีเรีย
-
โดยผู้ปฏิบัติงานด้านมนุษยธรรม
-
นั่นคือสิ่งที่เราได้ทำไปค่ะ
-
กระดาษห่อขนมปังนั้น
ไม่ได้ถูกดัดแปลงรูปโฉมแต่อย่างใด
-
ที่เพิ่มมามีเพียงกระดาษอีกสองแผ่น
-
แผ่นแรก คือใบข้อมูล
และคำแนะนำขั้นพื้นฐานในการเลี้ยงดูบุตร
-
ที่จะช่วยให้สิ่งที่ผู้เป็นพ่อแม่อาจต้องเจอ
-
และสิ่งที่ลูก ๆ ของพวกเขาอาจต้องเจอ
กลับสู่สภาวะปกติ
-
และข้อมูลวิธีในการช่วยเหลือตนเอง
และลูก ๆ
-
เช่นข้อมูลในการใช้เวลาพูดคุยกับลูก ๆ
-
แสดงออกถึงความรักให้มากขึ้น
-
และใจเย็นกับลูก ๆ ให้มากขึ้น
-
ยามที่พูดคุยกับพวกเขา
-
ส่วนกระดาษอีกแผ่น คือ
แบบสอบถามข้อเสนอแนะ
-
แน่นอนว่ามีปากกาแนบไปด้วยค่ะ
-
ฉะนั้น การแจกจ่ายใบปลิวอันเรียบง่ายนี้
-
หรือนี่จะเป็นวิถีทางที่เป็นไปได้
ในการส่งมอบการปฐมพยาบาลด้านจิตใจ
-
ที่มอบความอบอุ่น ความปลอดภัย
และการเลี้ยงดูที่เปี่ยมไปด้วยรักกันแน่นะ
-
เพียงสัปดาห์เดียว เราสามารถแจก
ใบปลิวได้ถึง 3,000 แผ่น
¶
-
แต่สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ
เรามีอัตราตอบรับถึง 60 เปอร์เซ็นต์
-
60 เปอร์เซ็นต์
จาก 3,000 ครอบครัวที่ตอบรับเรา
-
ดิฉันไม่ทราบนะคะ
ว่าเรามีนักวิจัยอยู่กี่ท่าน ณ ที่แห่งนี้
-
แต่อัตราการตอบรับที่ว่านี้มันน่าประทับใจจริง ๆ
-
และหากมีผลตอบรับแบบนี้ในแมนเชสเตอร์
คงจะเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
-
แทบไม่ต้องพูดถึงพื้นที่ขัดแย้งในซีเรีย
-
เป็นการชี้ชัดถึงความสำคัญของข้อความ
ที่มีต่อครอบครัวเหล่านั้น
-
ฉันจำได้ว่าเราตื่นเต้นและกระตือรือร้นแค่ไหน
ที่ได้รับแบบสอบถามคืน
-
หลายครอบครัวได้ส่งข้อความกลับมานับร้อย
-
ส่วนใหญ่แล้วเป็นไปในทางบวกและสนับสนุน
-
แต่ข้อความที่ฉันชอบเป็นพิเศษคงจะเป็น
-
"ขอบคุณที่ไม่ลืมพวกเราและลูก ๆ ของเรา"
-
นี่แสดงให้เห็นถึงวิธีช่วยเหลือที่มีศักยภาพ
-
ในการส่งมอบการปฐมพยาบาลด้านจิตใจ
แก่ครอบครัว
-
และข้อเสนอแนะที่ตอบกลับมาก็เช่นกัน
-
ลองนึกภาพถึงการให้ความช่วยเหลือนี้
ด้วยวิธีอื่น
-
เช่น การแจกจ่ายนมสำหรับทารกแรกเกิด
หรือเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้หญิง
-
หรือแม้แต่ตะกร้าอาหารดูนะคะ
-
ฉะนั้น มาทำให้พวกเขา
ใกล้ชิดความเป็นบ้านมากขึ้นจะดีกว่า
¶
-
เพราะวิกฤตผู้ลี้ภัยในครั้งนี้
-
คือวิกฤตที่กระทบถึงเราทุกคน
-
เราถูกถาโถมด้วยรูปภาพ
และสถิตินี้อยู่ทุกคืนวัน
-
และนั่นก็ไม่น่าแปลกใจเลย
-
เพราะเมื่อเดือนที่แล้ว
-
ผู้ลี้ภัยกว่าล้านคนได้เดินทางมาถึงยุโรป
-
หนึ่งล้านคนเชียวนะคะ
-
ผู้ลี้ภัยทั้งหลายก็เข้าร่วมสังคมพวกเรา
-
และพวกเขาจะกลายเป็นเพื่อนบ้านเรา
-
ลูก ๆ ของพวกเขาก็จะเข้าโรงเรียน
แห่งเดียวกันกับลูก ๆ ของเรา
-
เราจึงปรับเปลี่ยนใบปลิวให้ตรง
กับความต้องการของผู้ลี้ภัยในยุโรป
-
และเราจะเปิดให้เข้าถึงโดยเสรีผ่านออนไลน์ได้
-
ในพื้นที่ที่มีการหลั่งไหลเข้ามา
ของผู้ลี้ภัยในปริมาณสูง
-
เช่น ระบบบริการสุขภาพของสวีเดน
ได้อัพโหลดใบปลิวลงเว็บไซต์พวกเขา
-
และภายใน 45 นาทีแรก
-
มันก็ถูกดาวน์โหลดไปถึง 343 ครั้ง
-
เป็นการชี้ให้เห็น
ว่ามันมีความสำคัญถึงเพียงไหน
-
สำหรับอาสาสมัคร, ผู้ปฏิบัติงาน
และครอบครัวอื่น
-
ในการเข้าถึงข้อมูล
การปฐมพยาบาลทางจิตใจได้โดยเสรี
-
ในปี ค.ศ. 2013 ฉันนั่งอยู่บนพื้นแข็ง ๆ
และเย็นเยียบที่เต็นท์ในค่ายผู้ลี้ภัย
¶
-
พร้อมด้วยบรรดาคุณแม่ที่นั่งรายล้อม
ขณะที่ฉันกำลังดำเนินการสนทนากลุ่ม
-
มีหญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่ตรงข้ามกับฉัน
-
และคนที่ดูเหมือนเด็กผู้หญิงวัย 13
เอนตัวพิงอยู่ข้าง ๆ
-
โดยศีรษะของเธออยู่ตรงเข่าของหญิงชรา
-
เด็กสาวคนนี้นิ่งเงียบตลอดระยะการสนทนากลุ่ม
-
นั่งชันเข่าแนบชิดอก
-
โดยไม่ปริปากอะไรทั้งสิ้น
-
เมื่อเหลือเวลาอีกเล็กน้อย
ก่อนยุติการสนทนากลุ่ม
-
ขณะที่ฉันกำลังขอบคุณ
บรรดาคุณแม่ที่สละเวลามาร่วม
-
หญิงชราคนนั้นก็มองมาที่ฉัน
พลางชี้ไปที่สาวน้อย
-
แล้วพูดกับฉันว่า
"คุณช่วยพวกเราเรื่อง..ได้ไหม?"
-
ฉันเองก็ไม่มั่นใจ
ว่าเธออยากให้ฉันช่วยอะไร
-
ฉันมองที่เด็กหญิงและยิ้มให้
-
แล้วพูดเป็นภาษาอาหรับว่า
-
"สวัสดีจ้ะ เธอชื่ออะไร"
-
"เธอชื่ออะไรเหรอ"
-
เธอมองมาที่ฉันด้วยความสับสน
-
แล้วตอบว่า "ฮาลูล"
-
ฮาลูล เป็นชื่อเล่นของชื่อผู้หญิง
ในภาษาอาหรับ "ฮาลา"
-
และจะใช้คำนี้ก็ต่อเมื่อเอ่ยถึงสาวน้อย
ที่อายุน้อยมาก ๆ
-
จากจุดนี้ฉันจึงรู้ว่า จริง ๆ แล้ว
ฮาลา น่าจะมีอายุมากกว่า 13
-
ปรากฏว่าเธอเป็นคุณแม่วัย 25 ปี
ของลูกน้อยถึงสามคน
-
ฮาลา เคยเป็นคุณแม่ที่ร่าเริงสดใส
มั่นใจ เปี่ยมด้วยความรักและความห่วงใย
-
แก่ลูก ๆ ของเธอเป็นอย่างมาก
-
ทว่าสงครามแปรเปลี่ยนทุกอย่างไปจนหมด
-
เธอผ่านเหตุการณ์การทิ้งระเบิดในเมือง
-
เธออยู่ในช่วงเวลาแห่งการระเบิด
-
เมื่อเครื่องบินขับไล่
บินวนไปมาเหนืออาคารบ้านเรือน
-
แล้วทิ้งระเบิดลงมา
-
ลูก ๆ ของเธอคงจะกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
-
ฮาลาจึงรีบปรี่ไปคว้าหมอนมาปิดหูลูก ๆ ของเธอ
-
เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงดังอื้ออึง
-
ในขณะที่ตัวเธอเองก็กรีดร้องเช่นกัน
-
และเมื่อเธอและลูก ๆ มาถึงค่ายผู้ลี้ภัย
-
เธอรู้ว่าในที่สุดเธอและลูกก็ปลอดภัยแล้ว
-
เธอจึงเริ่มปิดกั้นตัวเอง
ทำเหมือนอย่างที่ตัวเธอเคยเป็นครั้งยังเด็ก
-
เธอปฏิเสธครอบครัวของเธออย่างสิ้นเชิง
-
ทั้งลูก ๆ ของเธอ, สามีของเธอ
-
ฮาลาไม่อาจแบกรับอะไรได้อีกแล้ว
-
นี่คือความยากลำบากในการเลี้ยงดู
ที่มีจุดจบอันร้ายแรง
¶
-
แต่น่าเศร้าที่มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
-
สำหรับผู้ที่ต้องประสบกับความขัดแย้ง
และการพลัดพรากถิ่นฐาน
-
จะต้องเผชิญความขัดแย้งทางอารมณ์อย่างรุนแรง
-
และนั่นคือสิ่งที่เราทุกคนพอจะเข้าใจความรู้สึก
-
ถ้าคุณเคยผ่านช่วงเวลาที่ย่ำแย่มาในชีวิตคุณ
-
หากคุณสูญเสียใครสักคนหรือสิ่งที่คุณรักมาก
-
คุณจะรับมือต่อไปได้อย่างไร
-
คุณจะยังสามารถดูแลตัวเอง
และครอบครัวคุณได้อยู่หรือไม่
-
ลองคิดดูสิว่าช่วงปีแรก ๆ ของชีวิตนั้น
สำคัญอย่างยิ่งยวด
¶
-
ต่อพัฒนาการทางร่างกายและอารมณ์ที่ดี
-
และคนร่วมพันห้าร้อยล้าน
กำลังประสบกับความขัดแย้งทางอาวุธ
-
หลายคนในจำนวนเหล่านั้นได้เข้ามา
เป็นส่วนหนึ่งของสังคมเราในปัจจุบัน
-
เราไม่อาจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อีกต่อไป
-
กับความต้องการของผู้ที่ประสบสงคราม
และการพลัดถิ่น
-
เราต้องให้ความสำคัญแก่ความต้องการ
ของครอบครัวเหล่านั้นเป็นลำดับต้น ๆ
-
ทั้งผู้พลัดถิ่นในประเทศตัวเอง
และคนที่เป็นผู้ลี้ภัยทั่วโลก
-
ความต้องการเหล่านี้ต้องได้รับความสำคัญ
จากผู้ที่ทำงานใน NGO และผู้วางนโยบาย
-
ทั้งองค์กร WHO, องค์กร UNHCR
และพวกเราทุกคน
-
ไม่ว่าเราจะทำงานอยู่ในตำแหน่งใด
ในสังคมของเราก็ตาม
-
เมื่อเราเริ่มรับรู้ถึงตัวผู้ประสบภัยขัดแย้ง
¶
-
เมื่อเราเริ่มสังเกตถึงอารมณ์อันซับซ้อน
ที่ปรากฏบนในหน้าของพวกเขา
-
เราก็จะเห็นพวกเขาในฐานะมนุษย์เฉกเช่นเรา
-
เราจะเห็นความต้องการของครอบครัวเหล่านั้น
-
และนั่นคือความต้องการของมนุษย์อย่างแท้จริง
-
เมื่อความต้องการของครอบครัวเหล่านี้
ได้รับการให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก
-
การเข้าแทรกแซงช่วยเหลือเด็กในด้านมนุษยธรรม
-
จะได้รับการให้ความสำคัญและรับรู้ถึงหน้าที่
พื้นฐานของครอบครัวในการช่วยเหลือเด็ก ๆ
-
"สุขภาพจิตของครอบครัว"
จะต้องประกาศให้ดังก้องและชัดเจน
-
ไปในระดับโลกและระดับนานาชาติ
-
เด็ก ๆ จะมีแนวโน้มที่จะเข้ารับ
บริการทางสังคมน้อยลง
-
ในประเทศที่ไปตั้งรกราก
-
เพราะว่าครอบครัวเหล่านี้
จะต้องได้รับการช่วยเหลือในช่วงแรก
-
แล้วเราก็จะเปิดใจให้มากขึ้น
-
ต้อนรับเขามากขึ้น ดูแลเขามากขึ้น
-
และเชื่อใจในตัวผู้ที่มา
เข้ารวมสังคมของพวกเรากันมากขึ้น
-
เราจะต้องหยุดยั้งสงครามทั้งหลาย
¶
-
เราต้องสร้างโลกใบใหม่ที่เด็ก ๆ จะสามารถ
ฝันถึงเครื่องบินมาโปรยแจกของขวัญได้
-
ไม่ใช่มาทิ้งระเบิด
-
จนกว่าเราจะหยุดยั้งความขัดแย้งด้วยอาวุธ
ที่คุกรุ่นไปทั่วโลกได้
-
ครอบครัวเหล่านี้จะพลัดถิ่น
-
ทิ้งให้เด็ก ๆ ต้องเปราะบางร่ำไป
-
แต่จากการปรับปรุงการเลี้ยงดู
และการช่วยเหลือผู้ดูแล
-
มันก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะบรรเทาความสัมพันธ์
ระหว่างสงครามและความทุกข์ทางจิตใจ
-
ในตัวเด็ก ๆ และครอบครัวได้
-
-