Subtitles translated from English
Showing Revision 1 created 04/03/2012 by Retired user.
-
Title:
นีล แม็คเกรเกอร์: ประวัติศาสตร์ 2,600 ปีผ่านวัตถุหนึ่งชิ้น
-
Description:
กระบอกดินที่ปกคลุมไปด้วยตัวอักษรลิ่มสมัยอัคคาเดียนซึ่งมีร่องรอยแตกหักเสียหาย ที่เรียกกันว่า กระบอกไซรัส (Cyrus Cylinder) คือสัญลักษณ์อันทรงพลังของขันติธรรมต่อความแตกต่างทางศาสนาและวัฒนธรรม ในปาฐกถาที่ชวนติดตามนี้ นีล แม็คเกรเกอร์ ผู้อำนวยการของบริติช มิวเซียม จะพาเราย้อนกลับไปสู่ประวัติศาสตร์โลกตะวันออกกลางเมื่อ 2,600 ปีก่อนผ่านวัตถุชิ้นนี้
-
สิ่งที่มนุษย์เราสร้างขึ้น
-
มีคุณสมบัติพิเศษสุดอย่างหนึ่ง
-
นั่นคือ มันอายุยืนยาวกว่าเรา
-
เราล้มหายตายจาก มันอยู่รอด
-
เรามีหนึ่งชีวิต มันมีหลายชีวิต
-
และในแต่ละชีวิต มันมีความหมายได้หลากหลาย
-
ซึ่งหมายความว่า ในขณะที่เรามีชีวประวัติหนึ่งเดียว
-
มันมีชีวประวัติมากมาย
-
เช้าวันนี้ ผมอยากจะพูดถึง
¶
-
เรื่องราวหรือชีวประวัติอันหลากหลาย
-
ของวัตถุชิ้นหนึ่ง
-
วัตถุอันน่าทึ่ง
-
ผมเห็นด้วย
-
มันไม่ได้ดูพิเศษสักเท่าไหร่
-
ขนาดของมันประมาณลูกรักบี้
-
ถูกทำขึ้นจากดิน
-
และขึ้นรูปเป็น
-
ทรงกระบอก
-
ปกคลุมไปด้วยตัวอักษรแน่นขนัด
-
จากนั้นถูกนำไปตากแดดจนแห้ง
-
แล้วก็อย่างที่คุณเห็น
-
มันถูกกะเทาะออกไปบางส่วน
-
ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
-
เพราะมันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ 2,600 ปีก่อน
-
และถูกขุดขึ้นมา
-
ในปี 1879
-
แต่ในปัจจุบัน
-
ผมเชื่อว่าวัตถุชิ้นนี้
-
เป็นผู้เล่นหลัก
-
ในการเมืองของโลกตะวันออกกลาง
-
มันเป็นวัตถุที่
-
เต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าหลงใหล
-
และเรื่องราวเหล่านั้นยังไม่สิ้นสุด
-
-
เกิดขึ้นในสงครามอิหร่าน-อิรัก
-
ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์ต่างๆ
-
ที่นำไปสู่
-
การบุกอิรัก
-
โดยกองกำลังต่างชาติ
-
การโค่นล้มผู้นำเผด็จการ
-
และการเปลี่ยนแปลงระบอบอย่างฉับพลัน
-
ผมจึงอยากเริ่มต้นด้วย
-
เรื่องราวตอนหนึ่งจากเหตุการณ์เหล่านั้น
-
ซึ่งพวกคุณน่าจะคุ้นเคยกันดี
-
งานเลี้ยงของเบลชัซซาร์
-
เรากำลังพูดถึงสงครามอิหร่าน-อิรัก
-
เมื่อ 539 ปีก่อนคริสตกาล
-
แต่ความสอดคล้องของเหตุการณ์
-
ในช่วง 539 ปีก่อนคริสตกาล
-
กับปี 2003 และในระหว่างนั้น
-
เป็นสิ่งที่น่าตกใจ
-
นี่คือภาพของเรมแบรนด์ท
-
ซึ่งตอนนี้อยู่ที่เนชันแนล แกลเลอรีในลอนดอน
-
แสดงเรื่องราวจากพระคัมภีร์ฮีบรู
-
ของโหรชื่อดาเนียล
-
พวกคุณน่าจะพอรู้เรื่องราวอยู่แล้ว
-
เบลชัซซาร์เป็นบุตรของเนบูชัดเนซซาร์
¶
-
ผู้พิชิตอิสราเอล ปล้นนครเยรูซาเล็ม
-
และกวาดต้อนชาวยิว
-
กลับไปยังนครบาบิลอน
-
นอกจากชาวยิว พระองค์ยังเอาวัตถุในวิหารกลับไปด้วย
-
พระองค์ปล้นสะดมและทำลายวิหารต่างๆ
-
ภาชนะทองคำล้ำค่าจากวิหารในเยรูซาเล็ม
-
ถูกนำกลับไปยังบาบิลอน
-
เบลชัซซาร์ บุตรของพระองค์
-
ตัดสินใจให้มีงานเฉลิมฉลองขึ้น
-
และเพื่อให้เร้าใจกว่าเดิม
-
พระองค์เพิ่มการดูหมิ่นสิ่งเคารพเข้าไปในงานรื่นเริง
-
โดยนำภาชนะศักดิ์สิทธิ์ออกมาใช้
-
ขณะนั้นพระองค์เข้าสู่สงครามกับอิหร่านแล้ว
-
กับกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย
-
และในคืนนั้นเอง ตามคำบันทึกของดาเนียล
¶
-
ขณะที่งานเลี้ยงกำลังสนุกสุดเหวี่ยง
-
มีมือหนึ่งปรากฏขึ้นและเขียนลงบนผนังว่า
-
"เจ้าได้ถูกชั่งบนตราชูและพบว่ายังพร่องอยู่
-
อาณาจักรของเจ้าจะถูกส่งต่อ
-
ให้ชาวมีดส์และเปอร์เซีย"
-
และในคืนนั้นเอง
-
ไซรัส กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย บุกเข้าบาบิลอน
-
และระบอบของเบลชัซซาร์ก็จบสิ้นลง
-
แน่นอนว่านั่นคือชั่วขณะอันยิ่งใหญ่
-
ในประวัติศาสตร์
-
ของชาวยิว
-
มันเป็นเรื่องราวยิ่งใหญ่ ที่เราทุกคนรู้จักดี
-
"ข้อความบนผนัง"
-
ยังอยู่ในภาษาที่เราใช้กันทุกวันนี้
-
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
-
เป็นเรื่องน่าทึ่ง
-
และเป็นจุดที่กระบอกของเรา
-
เข้าไปเกี่ยวข้อง
-
ไซรัส กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย
¶
-
บุกเข้าบาบิลอนโดยไม่ต้องต่อสู้
-
อาณาจักรบาบิลอนอันยิ่งใหญ่
-
ซึ่งกินบริเวณตั้งแต่อิรักตอนใต้
-
ไปจรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
-
ตกเป็นของไซรัส
-
และไซรัสได้ออกพระราชโองการ
-
และนั่นคือสิ่งที่กระบอกนี้เป็น
-
ประกาศิตของผู้นำที่ทำตามบัญชาของพระเจ้า
-
ผู้โค่นล้มกษัตริย์อิรัก
-
และกำลังจะนำเสรีภาพมาสู่ประชาชน
-
เพื่อสื่อสารกับชาวบาบิโลเนีย
-
มันจึงถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาบาบิโลเนีย
-
ไซรัสตรัสว่า "ข้าคือไซรัส กษัตริย์แห่งเอกภพทั้งมวล
-
ราชาผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงอำนาจ
-
กษัตริย์แห่งบาบิลอน เจ้าผู้ครองโลกทั้ง 4 ทิศ"
-
คงเห็นนะครับว่าพวกเขาไม่อายที่จะพูดเกินจริง
-
เป็นไปได้ว่านี่คือ
-
ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับแรก
-
โดยกองทัพของผู้มีชัย
-
เท่าที่เรามีอยู่
-
อีกเดี๋ยวเราจะได้เห็นว่า มันถูกเขียนขึ้น
-
โดยนักประชาสัมพันธ์มากประสบการณ์
-
ฉะนั้นจะพูดเกินจริงไปสักหน่อยก็ไม่แปลกอะไร
-
แล้วราชาผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงอำนาจ
¶
-
เจ้าผู้ครองโลกทั้ง 4 ทิศ จะทำอะไรหรือ
-
ไซรัสตรัสต่อว่า เมื่อเอาชนะบาบิลอนได้
-
พระองค์จะปลดปล่อยผู้คน
-
ที่เนบูชัดเนซซาร์และเบลชัซซาร์
-
จับตัวมาเป็นทาส
-
ให้เป็นอิสระทันที
-
พระองค์จะให้พวกเขาได้กลับดินแดนของตนเอง
-
และที่สำคัญกว่านั้นคือ
-
พระองค์จะให้พวกเขา
-
ได้นำเทพเจ้า รูปปั้น
-
และภาชนะศักดิ์สิทธิ์
-
ซึ่งถูกริบมา กลับคืนไป
-
ผู้ที่เคยถูกกดขี่และถูกเนรเทศ
-
จะได้กลับบ้าน
-
พร้อมกับพระเจ้าของพวกเขา
-
พวกเขาจะได้ฟื้นฟูแท่นบูชาขึ้ันมาใหม่
-
และบูชาพระเจ้าของตน
-
ในวิถีทางและพื้นที่ของตัวเอง
-
นี่คือพระราชโองการ
-
ที่มีวัตถุชิ้นนี้เป็นหลักฐาน
-
เกี่ยวกับความจริงที่ว่าชาวยิว
-
หลังจากถูกเนรเทศมาอยู่บาบิลอน
-
วันปีที่พวกเขาต้องนั่งอยู่ริมน้ำ
-
คร่ำครวญหวนไห้ถึงนครเยรูซาเล็ม
-
ชาวยิวเหล่านั้นได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน
-
พวกเขาได้รับอนุญาตให้กลับคืนสู่เยรูซาเล็ม
-
และสามารถสร้างวิหารขึ้นใหม่
-
วัตถุชิ้นนี้คือเอกสารสำคัญ
¶
-
ในประวัติศาสตร์ชนชาติยิว
-
พระธรรมพงศาวดารและเอสราในภาษาฮีบรู
-
พูดถึงเหตุการณ์เดียวกันนี้
-
และนี่คือเรื่องราวเดียวกัน
-
ในเวอร์ชั่นของชาวยิว
-
"แล้วไซรัส กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย จึงตรัสว่า
-
'อาณาจักรทั้งปวงในโลกนี้ที่พระผู้เป็นเจ้ามอบให้แก่ท่าน
-
พระองค์ทรงมีพระบัญชาให้ข้า
-
สร้างพระนิเวศน์ของพระองค์ขึ้นในเยรูซาเล็ม
-
ในเหล่าพวกท่าน ผู้ใดคือประชาชนของพระองค์
-
ขอพระองค์จงสถิตอยู่กับเขา
-
และขอให้เขาขึ้นไปที่นั่น'"
-
"ขึ้นไปที่นั่น" สู่พระเจ้า
-
ใจความหลักยังคงเป็นเรื่องของ
-
การหวนคืน
-
ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ
-
ของศาสนายูดาย
-
อย่างที่คุณรู้ การกลับคืนดินแดนในครั้งนั้น
-
วิหารแห่งที่สอง
-
ก่อร่างศาสนายูดายขึ้นมาใหม่
-
และความเปลี่ยนแปลงนั้น
-
เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่นั้น
-
เกิดขึ้นได้ด้วยไซรัส กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย
-
ดังที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ด้วยภาษาฮีบรู
-
และบนแผ่นดินด้วยภาษาบาบิโลเนีย
-
-
เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องการเมือง
-
สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นคือจุดเปลี่ยนสำคัญ
-
ในประวัติศาสตร์ตะวันออกกลาง
-
อาณาจักรอิหร่านของชาวมีดส์และเปอร์เซีย
-
รวมกันเป็นหนึ่งภายใต้ไซรัส
-
มันกลายเป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่แห่งแรกของโลก
-
ไซรัสเริ่มปกครองในช่วง 530 ปีก่อนคริสตกาล
-
และเมื่อถึงรัชสมัยของดาริอุส บุตรชายของพระองค์
-
ดินแดนฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
-
ล้วนตกอยู่ภายใต้อำนาจของเปอร์เซีย
-
อาณาจักรแห่งนี้ แท้จริงก็คือ
-
ดินแดนตะวันออกกลางที่เรารู้จักในปัจจุบัน
-
และเป็นรากฐานของตะวันออกกลางอย่างที่เราเข้าใจ
-
มันเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จักในขณะนั้น
-
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ
-
มันเป็นรัฐแห่งแรก
-
ที่หลอมรวมวัฒนธรรมและศรัทธาอันหลากหลาย
-
ในระดับกว้าง
-
การปกครองจึงต้องเป็นไปด้วยวิถีทางใหม่
-
ด้วยภาษาที่แตกต่างหลากหลาย
-
เห็นได้จากการที่โองการนี้อยู่ในภาษาบาบิโลเนีย
-
และรัฐนี้ยังต้องตระหนักถึงพฤติกรรมที่แตกต่าง
-
ของผู้คน ศาสนา และศรัทธาอันหลากหลาย
-
ซึ่งทั้งหมดได้รับการยอมรับจากไซรัส
-
-
วิธีบริหารสังคม
-
ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศรัทธา และวัฒนธรรม
-
และผลลัพธ์ที่ตามมา
-
คืออาณาจักรที่ครอบคลุมพื้นที่ที่คุณเห็นบนจอ
-
และอยู่รอดอย่างมีเสถียรภาพมาถึง 200 ปี
-
จนกระทั่งถูกตีแตกโดยอเล็กซานเดอร์
-
มันทิ้งความฝันของตะวันออกกลางที่เป็นหนึ่งเดียว
-
ดินแดนที่ผู้คนซึ่งมีศรัทธาอันแตกต่าง
-
สามารถอยู่ร่วมกันได้
-
การบุกรุกของกรีกดับความฝันนั้นลง
-
แน่นอนว่า อเล็กซานเดอร์ไม่สามารถปกครองได้
-
ทำให้เปอร์เซียแตกออกเป็นส่วนๆ
-
แต่สิ่งที่ไซรัสแสดงให้เห็น
-
ยังคงเป็นหัวใจสำคัญ
-
เซโนโฟน นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก
¶
-
เขียนเอาไว้ในหนังสือ "ไซโรพีเดีย"
-
ยกย่องไซรัสในฐานะผู้นำที่ยิ่งใหญ่
-
และในประวัติศาสตร์ตะวันตกหลังจากนั้น
-
ไซรัสยังคงเป็นบุคคลต้นแบบ
-
นี่คือภาพจากศตวรรษที่ 16
-
เพื่อแสดงให้คุณเห็นว่าไซรัส
-
เป็นที่เคารพอย่างกว้างขวางเพียงใด
-
และหนังสือเกี่ยวกับไซรัสของซีโนโฟน
-
ที่พูดถึงวิธีในการบริหารสังคมที่หลากหลาย
-
ถือเป็นตำราสำคัญเล่มหนึ่ง
-
ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบิดาผู้สร้างชาติ
-
สมัยการปฏิวัติอเมริกา
-
เจฟเฟอร์สันคือหนึ่งในผู้ชื่นชม
-
อุดมคติของไซรัสส่งอิทธิพล
-
ต่อแนวคิดในสมัยศตวรรษที่ 18 อย่างเด่นชัด
-
ถึงการสร้างขันติธรรมทางศาสนา
-
ในรัฐใหม่
-
ในระหว่างนั้น กลับมาที่บาบิลอน
¶
-
สถานการณ์ไม่ได้ดำเนินไปด้วยดีนัก
-
หลังจากอเล็กซานเดอร์และอาณาจักรอื่นๆ ล่มสลาย
-
บาบิลอนเสื่อมลง กลายเป็นสิ่งปรักหักพัง
-
และร่องรอยของอาณาจักรบาบิลอนอันยิ่งใหญ่ก็สูญหายไปจนสิ้น
-
จนกระทั่งปี 1879
-
เมื่อกระบอกนี้ถูกค้นพบ
-
ในนครบาบิลอน โดยคณะนักโบราณคดีจากบริติช มิวเซียม
-
ถึงตอนนี้ อีกเรื่องราวหนึ่งเกิดขึ้นมา
-
และมันก็เข้าสู่วิวาทะครั้งใหญ่
-
ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 --
-
คำบันทึกนั้นเชื่อถือได้หรือไม่ เราจะไว้ใจมันได้หรือเปล่า
-
เรารู้เฉพาะเรื่องราว
-
การคืนกลับถิ่นของชาวยิวและโองการของไซรัส
-
จากพระคัมภีร์ในภาษาฮีบรู
-
ไม่มีหลักฐานอื่นใดอีก
-
แต่แล้ว วัตถุนี้ก็ปรากฏขึ้น
-
สร้างความตื่นเต้น
-
ให้กับโลกของผู้ที่เชื่อในพระคัมภีร์นั้น
-
ผู้ซึ่งศรัทธาถูกทำให้สั่นคลอน
-
โดยทฤษฎีวิวัฒนาการ ธรณีวิทยา
-
นี่ไงคือหลักฐาน ว่าข้อความ
-
ในพระคัมภีร์ถูกต้องจริงตามประวัติศาสตร์
-
มันเป็นชั่วขณะอันยิ่งใหญ่ในช่วงศตวรรษที่ 19
-
แต่แน่นอนว่า นี่คือส่วนที่ทำให้เรื่องราวซับซ้อน
¶
-
สิ่งที่ถูกบันทึกไว้เป็นของแท้
-
น่ายินดีสำหรับโบราณคดี
-
แต่การตีความนั้นค่อนข้างจะซับซ้อนกว่ามาก
-
เหตุเพราะเนื้อหาบนกระบอกและในพระคัมภีร์ฮีบรู
-
มีสิ่งหนึ่งที่ต่างกันในสาระสำคัญ
-
กระบอกบาบิลอนถูกบันทึก
-
โดยนักบวชผู้บูชามาร์ดุค
-
พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งบาบิลอน
-
จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะบอกคุณว่า
-
มาร์ดุคคือผู้ที่ทำให้ทุกสิ่งเกิดขึ้น
-
"มาร์ดุคที่เคารพ เรียกชื่อไซรัส"
-
มาร์ดุคคว้ามือของไซรัส
-
และตรัสสั่งให้ดูแลประชาชนของพระองค์
-
และมอบตำแหน่งผู้ปกครองแห่งบาบิลอนให้
-
มาร์ดุคตรัสกับไซรัสว่า
-
เขาจะเป็นผู้กระทำสิ่งที่เอื้ออารีและยิ่งใหญ่
-
นั่นคือ การปลดปล่อยผู้คนให้เป็นอิสระ
-
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราควรสำนึกในบุญคุณ
-
และบูชามาร์ดุค
-
สำหรับผู้บันทึกภาษาฮีบรู
¶
-
ในพันธสัญญาเก่า
-
คุณจะไม่แปลกใจที่ได้รู้ว่า
-
พวกเขาเห็นต่างออกไป
-
แน่นอนว่าสำหรับพวกเขา
-
หาใช่มาร์ดุคที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดขึ้น
-
หากแต่เป็นพระยะโฮวาห์
-
ในพระธรรมอิสยาห์
-
มีบทบันทึกอันแสนวิเศษ
-
ยกความดีความชอบทั้งหมด
-
ไม่ใช่แด่มาร์ดุค
-
หากมอบแด่พระผู้เป็นเจ้าแห่งอิสราเอล
-
พระผู้เป็นเจ้าแห่งอิสราเอล
-
ผู้เรียกขานชื่อของไซรัส
-
และจับมือของไซรัสเอาไว้
-
บอกให้เขาช่วยดูแลคนของพระองค์
-
นี่เป็นตัวอย่างอันน่าทึ่ง
-
ของการฉกฉวยอำนาจในการถ่ายทอด
-
เหตุการณ์ทางการเมืองอันเดียวกัน
-
ตามมุมมองของแต่ละศาสนา
-
-
มักอยู่ข้างคนหมู่มากเสมอ
-
คำถามก็คือ พระเจ้าของใคร
-
วิวาทะนี้สร้างความปั่นป่วน
-
ให้กับทุกคนในช่วงศตวรรษที่ 19
-
ที่ได้ทราบว่าบทบันทึกในคัมภีร์ฮีบรู
-
เป็นส่วนหนึ่งของโลกที่กว้างกว่าโลกทางศาสนา
-
และค่อนข้างชัดเจนว่า
-
กระบอกเก่าแก่กว่าบทบันทึกในพระธรรมอิสยาห์
-
กระนั้นพระดำรัสของพระยะโฮวาห์
-
ช่างคล้ายคลึงกับคำพูดของ
-
มาร์ดุคเหลือเกิน
-
มีเงื่อนงำบางอย่างที่บอกว่าอิสยาห์รู้เห็นในเรื่องนี้
-
เพราะเขากล่าวว่า
-
นี่คือพระดำรัสของพระเจ้า
-
"ข้าเรียกชื่อของเจ้า
-
แม้ว่าเจ้าอาจจะไม่รู้จักข้า"
-
แสดงว่าเป็นที่รับรู้ว่า
-
ไซรัสอาจไม่รู้ตัวเลยว่า
-
กำลังกระทำการภายใต้บัญชาของพระยะโฮวาห์
-
และเขาคงจะประหลาดใจพอๆ กัน หากรู้ว่าตัวเองกำลังทำตามบัญชาของมาร์ดุค
-
เพราะแน่นอนว่า
-
ไซรัสเป็นชาวอิหร่านที่ดี
-
ผู้ศรัทธาในพระเจ้าที่ต่างออกไป
-
ซึ่งไม่ถูกกล่าวถึงเลยในบทบันทึกเหล่านั้น
-
-
-
40 ปีถัดมา
-
ตอนนี้เราอยู่ในปี 1917
-
และกระบอกชิ้นนี้ได้เข้าสู่อีกโลกหนึ่ง
-
เป็นโลกของการเมืองที่แท้จริง
-
ในโลกร่วมสมัย
-
ช่วงเวลาของปฏิญญาบอลโฟร์
-
ปีที่อังกฤษ เจ้าอาณานิคมใหม่ในตะวันออกกลาง
-
ตัดสินใจว่าจะประกาศ
-
มอบบ้านให้แก่ชาวยิว
-
เพื่อให้
-
ชาวยิวได้กลับไป
-
เสียงตอบรับต่อเรื่องนี้
-
โดยชาวยิวที่อาศัยอยู่ในยุโรปตะวันออกคือ เสียงสรรเสริญ
-
ทั่วยุโรปตะวันออก
-
ชาวยิวแสดงภาพของไซรัส
-
และพระเจ้าจอร์จที่ 5
-
เคียงข้างกัน
-
ผู้ปกครองผู้ยิ่งใหญ่สองพระองค์
-
ผู้อนุญาตให้ชาวยิวคืนกลับสู่เยรูซาเล็ม
-
กระบอกไซรัสปรากฏต่อสาธารณชนอีกครั้ง
-
และเนื้อหาของกระบอก
-
เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
-
เมื่อสงครามสิ้นสุดลงในปี 1918
-
เป็นส่วนหนึ่งของแผนการศักดิ์สิทธิ์
-
พวกคุณรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น
-
รัฐอิสราเอลก่อกำเนิดขึ้น
-
และในอีก 50 ปีต่อมา ในช่วงปลายทศวรรษ 60
-
บทบาทของอังกฤษในฐานะเจ้าอาณานิคมยุติลง
-
และเรื่องราวใหม่ของกระบอกได้เริ่มต้นขึ้น
-
อังกฤษและอเมริกาตัดสินใจว่าตะวันออกกลาง
¶
-
ต้องถูกป้องกันจากภัยคอมมิวนิสต์
-
อำนาจใหม่ที่จะถูกสร้างขึ้นเพื่อปฏิบัติภารกิจนี้
-
คืออิหร่าน ภายใต้พระเจ้าชาห์
-
พระเจ้าชาห์ได้สร้างประวัติศาสตร์อิหร่านขึ้นใหม่
-
หรือคืนกลับสู่ประวัติศาสตร์อิหร่าน
-
โดยเข้าไปอยู่ในศูนย์กลางประเพณีอันยิ่งใหญ่
-
พร้อมทั้งผลิตเหรียญกษาปณ์
-
ที่แสดงตัวพระองค์
-
คู่กับกระบอกไซรัส
-
เมื่อมีการจัดงานเฉลิมฉลองที่นครเปอร์เซโปลิส
-
พระองค์ต้องการกระบอกดังกล่าว
-
โดยขอยืมจากบริติช มิวเซียม กระบอกไซรัสจึงเดินทางไปยังเตหะราน
-
และเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่
-
ของราชวงศ์ปาห์ลาวี
-
กระบอกไซรัสเป็นเครื่องรับรองพระเจ้าชาห์
-
10 ปีต่อมา เกิดอีกเรื่องราวขึ้น
¶
-
นั่นคือการปฏิวัติอิหร่านในปี 1979
-
ในสมัยการปฏิวัติอิสลาม ไม่มีไซรัสอีกต่อไป
-
พวกเราไม่สนใจประวัติศาสตร์นั้น
-
เราสนแค่อิหร่านในฐานะที่เป็นรัฐอิสลาม
-
จนกระทั่งอิรัก
-
มหาอำนาจใหม่ที่เราเลือกให้ปกครองภูมิภาคดังกล่าว
-
บุกรุกอิหร่าน
-
เกิดเป็นสงครามอิหร่าน-อิรักอีกครั้ง
-
ถึงตอนนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชาวอิหร่าน
-
ที่จะจดจำประวัติศาสตร์ของตน
-
อดีตอันยิ่งใหญ่
-
สมัยที่พวกเขาต่อสู้และเอาชนะอิรักได้
-
พวกเขาจำเป็นต้องหาสัญลักษณ์
-
ที่จะหลอมรวมชาวอิหร่านท้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน
-
ทั้งที่เป็นมุสลิม และไม่ใช่มุสลิม
-
ชาวคริสต์ พวกบูชาไฟ และชาวยิวที่อาศัยอยู่ในอิหร่าน
-
ผู้คนที่มีศรัทธา รวมทั้งที่ไม่มี
-
ไซรัสคือสัญลักษณ์ที่ชัดเจนนั้น
-
ด้วยเหตุนี้ เมื่อบริติช มิวเซียมและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเตหะราน
¶
-
ร่วมมือและทำงานร่วมกัน
-
ชาวอิหร่านร้องขอเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
-
ที่จะขอยืม
-
วัตถุเพียงชิ้นเดียวที่พวกเขาต้องการ
-
คือกระบอกไซรัส
-
และในปีที่แล้ว
-
กระบอกไซรัสได้เดินทางสู่เตหะราน
-
เป็นครั้งที่สอง
-
มันถูกแสดงโดยใส่ไว้ในกล่องดังที่เห็นอยู่นี้โดย
-
ผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเตหะราน
-
ผู้หญิงอิหร่านเพียงไม่กี่คนที่ได้อยู่ในตำแหน่งสูง
-
เธอคือคุณอาร์ดากานิ
-
มันเป็นงานใหญ่
-
นี่คืออีกด้านของภาพเดียวกัน
-
กระบอกถูกแสดงในเตหะราน
-
สู่สายตาของประชาชนหนึ่งถึงสองล้านคน
-
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน
-
นี่เป็นนิทรรศการที่ได้รับความนิยมยิ่งกว่า
-
นิทรรศการยอดฮิตใดๆในโลกตะวันตก
-
และกลายเป็นกระเด็นที่มีการถกเถียงกันมาก
-
ว่ากระบอกหมายความว่าอย่างไร ไซรัสหมายถึงอะไร
-
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ไซรัสที่ถูกสร้างขึ้นผ่านกระบอกนี้
-
ไซรัสในฐานะผู้ปกป้องมาตุภูมิ
-
และแน่นอน ในฐานะสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์อิหร่าน
-
และของชาวอิหร่าน
-
ผู้มีขันติธรรมต่อทุกศรัทธา
-
กระทั่งอิหร่านในปัจจุบัน
-
พวกลัทธิบูชาไฟและชาวคริสต์ล้วนมีที่นั่ง
-
ในรัฐสภาอิหร่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
-
เพื่อชมวัตถุชิ้นนี้ในเตหะราน
¶
-
ชาวยิวหลายพันคนที่อาศัยอยู่ในอิหร่าน
-
เดินทางมาเตหะรานเพื่อชมมัน
-
มันกลายเป็นสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่
-
เป็นหัวข้อวิวาทะว่าอิหร่านในสายตาอิหร่าน
-
และอิหร่านในสายตาโลกภายนอกเป็นอย่างไร
-
ยังเป็นอิหร่านที่ต่อสู้เพื่อผู้ที่ถูกกดขี่หรือไม่
-
อิหร่านจะปลดปล่อยผู้คนที่ทรราช
-
จับมาเป็นทาสและยึดครองดินแดนไปหรือไม่
-
นี่คือโวหารระดับชาติที่ถูกนำเสนออย่างมุ่งมั่น
-
และทั้งหมดถูกนำมารวมอยู่ด้วยกัน
-
ในงานมหรสพยิ่งใหญ่
-
เพื่อฉลองการกลับมาของกระบอก
-
ที่คุณเห็นคือกระบอกไซรัสขนาดใหญ่บนเวที
-
พร้อมตัวละครสำคัญๆ ในประวัติศาสตร์อิหร่าน
-
ที่มารวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วม
-
ในมรดกของชาติอิหร่าน
-
มันคือเรื่องราวที่ถูกนำเสนอ
-
ด้วยตัวประธานาธิบดีเอง
-
-
การนำวัตถุชิ้นนี้ไปยังอิหร่าน
-
การได้รับมอบหมายให้นำวัตถุชิ้นนี้ไปอิหร่าน
-
ถือเป็นการได้เป็นส่วนหนึ่ง
-
ของวิวาทะอันแสนวิเศษนี้
-
ซึ่งถูกนำไปสู่จุดสูงสุด
-
ว่าอิหร่านคืออะไร
-
มีอิหร่านอยู่กี่แบบ
-
มีประวัติศาสตร์ใดบ้างของอิหร่าน
-
ที่อาจส่งผลต่อโลกทุกวันนี้
-
นี่คือวิวาทะที่ยังไม่สิ้นสุด
-
และจะยังคงดำเนินต่อไป
-
เพราะวัตถุชิ้นนี้
-
ถือเป็นคำประกาศที่ยิ่งใหญ่
-
ถึงแรงปรารถนาของมนุษย์
-
มันยืนอยู่เคียงคู่รัฐธรรมนูญอเมริกา
-
มันพูดถึงเรื่องเสรีภาพที่แท้จริงมากกว่า
-
ธรรมนูญแม็คนา คาร์ตา
-
มันเป็นเอกสารที่มีความหมายได้หลายอย่าง
-
ทั้งกับอิหร่านและตะวันออกกลาง
-
-
อยู่ที่องค์การสหประชาชาติ
-
มันจะถูกแสดงในนิวยอร์กช่วงฤดูใบไม่ร่วงนี้
-
เมื่อการถกเถียงสำคัญ
-
เกี่ยวกับอนาคตของตะวันออกกลางเริ่มขึ้น
-
ผมอยากจบโดยการถามคุณว่า
-
เรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไร
-
ที่มีวัตถุนี้เข้าไปเกี่ยวข้อง
-
แน่นอนว่า กระบอกนี้จะปรากฏ
-
ในอีกหลายเรื่องราวของโลกตะวันออกกลาง
-
เรื่องราวใดในตะวันออกกลาง
-
เรื่องราวใดในโลก
-
ที่คุณอยากเห็น
-
ซึ่งสะท้อนถ้อยคำ
-
และความหมายบนกระบอกนี้
-
สิทธิของผู้คน
-
ที่จะอยู่ร่วมในรัฐเดียวกัน
-
โดยนับถือความเชื่อที่แตกต่างอย่างเสรี
-
ตะวันออกกลางหรือโลก
-
ที่ศาสนาไม่ได้เป็นสิ่งขวางกั้น
-
หรือความขัดแย้ง
-
อย่างที่คุณรู้ โลกตะวันออกกลางขณะนี้
¶
-
ความขัดแย้งดังกล่าวเป็นไปอย่างเข้มข้น
-
แต่ผมยังเชื่อว่ามันเป็นไปได้
-
ที่เสียงที่มีอำนาจและปราดเปรื่องที่สุดในสังคมนั้น
-
จะเป็นเสียงเดียวกับ
-
วัตถุที่เงียบงันนี้
-
กระบอกไซรัส
-
-