พลังแห่งภูมิคุ้มกันหมู่
-
0:00 - 0:05หนึ่งในผู้ป่วยรายแรกๆ
ที่ฉันพบในฐานะที่ฉันเป็นหมอคือ ซอล -
0:05 - 0:08เด็กทารกอายุหนึ่งเดือนผู้น่ารัก
-
0:08 - 0:12ที่เข้าโรงพยาบาลมา
ด้วยอาการของระบบหายใจอักเสบ -
0:12 - 0:16จนการะทั่งตอนนั้น ฉันไม่เคยได้เห็น
ผู้ป่วยคนไหนอาการทรุดหนักรวดเร็วขนาดนี้ -
0:17 - 0:20เพียงสองวัน
เธอถูกเชื่อมต่อกับเครื่องช่วยหายใจ -
0:20 - 0:23และวันที่สามเธอก็เสียชีวิต
-
0:23 - 0:25เธอเป็นโรคไอกรน
-
0:25 - 0:30หลังจากได้อภิปรายกันเรื่องนี้ในห้อง
และหลังจากบรรยากาศที่ค่อนข้างเศร้า -
0:30 - 0:33ฉันจำได้ว่าหัวหน้าหน่วยบอกว่า
-
0:33 - 0:36"โอเค หายใจลึกๆ ล้างหน้าซะ
-
0:36 - 0:39และก็ถึงตอนที่ยากที่สุด:
-
0:39 - 0:41เราต้องไปพูดกับพ่อแม่"
-
0:42 - 0:46ณ ตอนนั้น คำถามมากมายเข้ามาในหัว
-
0:46 - 0:50ตั้งแต่ "เด็กอายุเดือนเดียว
ทำไมโชคร้ายได้ขนาดนี้" -
0:51 - 0:54จนถึง "เราทำอะไรได้บ้างไหม"
-
0:55 - 0:58ก่อนที่จะมีวัคซีน
-
0:58 - 1:03โรคติดต่อหลายโรค
คร่าชีวิตไปนับล้านต่อปี -
1:03 - 1:07ในช่วงหวัดระบาดใน ค.ศ. 1918
-
1:07 - 1:10มีคนตายไป 50 ล้านคน
-
1:10 - 1:13นั่นมันมากกว่าประชากรอาร์เจนตินา
ในปัจจุบันเสียอีก -
1:13 - 1:17บางที คนแก่ๆ ในที่นี้คงจำได้
ถึงการระบาดของโปลิโอ -
1:17 - 1:20ที่เกิดขึ้นในอาร์เจนตินา ใน ค.ศ. 1956
-
1:20 - 1:24ณ ตอนนั้น มันไม่มีวัคซีนป้องกันโปลิโอ
-
1:24 - 1:26ผู้คุณไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ทุกคนลนลานตกใจ -
1:26 - 1:28พวกเราเอาโซดาไฟทาต้นไม้
-
1:28 - 1:30พวกเราเอาการบูรใส่ถุงเล็กๆ
-
1:30 - 1:34ใส่ไว้ในชุดชั้นในเด็กๆ
ราวกับว่ามันจะช่วยอะไรได้ -
1:34 - 1:39ระหว่างการระบาดของโปลิโอ
คนเป็นพันๆ ต้องตาย -
1:39 - 1:44และคนเป็นพันๆ ได้รับความเสียหาย
เกี่ยวกับเส้นประสาทอย่างรุนแรง -
1:44 - 1:47ฉันรู้เรื่องนี้เพราะว่าฉันอ่านเกี่ยวกับมัน
-
1:47 - 1:51ต้องขอบคุณวัคซีน
คนในรุ่นของฉันจึงโชคดี -
1:51 - 1:54ที่ผ่านการระบาดที่เลวร้ายเช่นนั้นมาได้
-
1:54 - 1:59วัคซีนเป็นหนึ่งในความสำเร็จสูงสุด
ในศตวรรษที่ 20 ของการสาธารณสุข -
1:59 - 2:01วัคซีนเป็นการแทรกแซงที่ลดอัตราการเสียชีวิต
-
2:01 - 2:05ได้มากที่สุด รองจากน้ำที่ดื่มได้
-
2:05 - 2:07มากกว่ายาปฏิชีวนะด้วยซ้ำ
-
2:07 - 2:13วัคซีนกำจัดโรคอันน่ากลัวจากโลกของเรา
ดั่งเช่นไข้ทรพิษ -
2:13 - 2:16และประสบความสำเร็จอย่างมาก
ในการลดอัตราการเสียชีวิต -
2:16 - 2:18ที่เกิดจากโรคดังเช่น โรคหัด
-
2:18 - 2:22ไอกรน, โปลิโอ และอีกมากมาย
-
2:22 - 2:29เชื้อโรคทั้งหลายเหล่านี้ถูกพิจารณาว่า
เป็นโรคที่ป้องกันได้โดยวัคซีน -
2:30 - 2:32นั่นหมายความว่าอย่างไรกัน
-
2:32 - 2:35พวกมันมีแนวโน้มที่จะป้องกันได้
-
2:35 - 2:38แต่เพื่อที่จะให้เป็นไปเช่นนั้น
เราจะต้องทำอะไรบางอย่าง -
2:38 - 2:40คุณต้องได้รับวัคซีน
-
2:40 - 2:44ฉันจินตนาการว่าส่วนใหญ่
หรือไม่ก็ทุกคนในที่นี้ -
2:44 - 2:48ได้รับวัคซีน มาสักครั้งหนึ่งในชีวิต
-
2:48 - 2:53แต่ ฉันไม่แน่ใจว่า พวกเราจะรู้ว่า
-
2:53 - 2:57วัคซีนหรือตัวเร่งใดที่เราควรจะได้รับ
เมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว -
2:58 - 3:03เคยคิดหรือเปล่าคะ
ว่าเรากำลังปกป้องใคร -
3:03 - 3:05เมื่อเรารับวัคซีน
-
3:05 - 3:07ฉันหมายถึง
-
3:07 - 3:12มีผลอะไรอีกนอกจากการป้องกันพวกเขาเอง
-
3:13 - 3:15ให้ฉันได้แสดงอะไรบางอย่างให้คุณเห็น
-
3:16 - 3:18ลองนึกดูว่า
-
3:18 - 3:20เราอยู่ในเมือง
-
3:20 - 3:23ที่ไม่เคยมีผู้ป่วยของโรคๆ นั้นเลย
-
3:23 - 3:25เช่น โรคหัด
-
3:25 - 3:30นั่นหมายถึง ไม่มีใครในเมืองนี้
ที่เคยสัมผัสกับโรคดังกล่าว -
3:30 - 3:35ไม่มีใครมีการป้องกันทางธรรมชาติ
หรือได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดเลย -
3:36 - 3:40ถ้าวันหนึ่ง มีคนป่วยขึ้นมาในเมือง
-
3:41 - 3:45โรคจะไม่ถูกต่อต้านอะไรมากนั้น
-
3:45 - 3:47และจะเริ่มแพร่กระจาย
จากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง -
3:47 - 3:52และในเวลาไม่นาน มันจะกระจาย
ไปทั่วทั้งชุมชน -
3:52 - 3:54หลังจากระยะเวลาหนึ่ง
-
3:54 - 3:57ประชากรส่วนใหญ่จะป่วย
-
3:58 - 4:02มันเกิดขึ้นเมื่อไม่มีวัคซีน
-
4:03 - 4:07ทีนี้ลองนึกถึงเหตุการณ์
ที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง -
4:07 - 4:10เราอยู่ในเมือง
-
4:10 - 4:13ที่ 90 เปอร์เซนต์ของประชากร
-
4:13 - 4:15มีการป้องกันจากโรคหัด
-
4:15 - 4:19ซึ่งหมายความว่า พวกเขาติดโรค,
รอดชีวิต และพัฒนาภูมิคุ้มกันธรรมชาติ -
4:19 - 4:23หรือพวกเขาได้รับภูมิคุ้มกัน
ป้องกันโรคหัด -
4:23 - 4:25ถ้าวันหนี่ง
-
4:25 - 4:29มีใครสักคนป่วยด้วยโรคหัด
ปรากฎขึ้นในเมือง -
4:29 - 4:33โรคจะถูกต่อต้านมากกว่า
-
4:33 - 4:36และไม่เกิดการติดต่อจากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง
มากมายนัก -
4:37 - 4:40การแพร่กระจายอาจจะยังคงถูกจำกัด
-
4:41 - 4:44และการระบาดของโรคหัด
ก็จะไม่เกิดขึ้น -
4:45 - 4:48ฉันอยากให้คุณให้ความสนใจ
กับอะไรบางอย่าง -
4:49 - 4:51ผู้ที่ได้รับวัคซีน
-
4:51 - 4:54ไม่ใช่เพียงป้องกันตัวเอง
-
4:54 - 4:58แต่ยังป้องกันการแพร่กระจายของโรค
-
4:58 - 5:00ภายในสังคมชุมชนด้วย
-
5:00 - 5:04พวกเขาป้องกันผู้คนในสังคมอย่างอ้อมๆ
-
5:04 - 5:06ป้องกันคนที่ไม่ได้รับวัคซีน
-
5:07 - 5:10พวกเขาเสมือนสร้างเกราะป้องกัน
-
5:10 - 5:13ซึ่งป้องกันพวกเขาจาก
การสัมผัสเชื้อโรค -
5:13 - 5:15คนพวกนี้จึงได้รับการป้องกัน
-
5:17 - 5:20การป้องกันโดยอ้อม
-
5:20 - 5:23ที่ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนในสังคมได้รับ
-
5:23 - 5:27โดยเพียงแค่ถูกรายล้อมด้วย
ผู้คนที่ได้รับวัคซีน -
5:28 - 5:31เรียกว่า ภูมิคุ้มกันหมู่
-
5:33 - 5:36ผู้คนมากมายในสังคม
-
5:36 - 5:39เกิอบจะพึ่งพาภูมิคุ้มกันหมู่ล้วนๆ
-
5:39 - 5:42ในการป้องกันตัวเองจากโรค
-
5:43 - 5:47คนที่ไม่ได้รับวัคซีนที่คุณเห็น
ในอินโฟกราฟฟิกไม่ได้เป็นแค่สมมติฐาน -
5:47 - 5:51คนเหล่านี้คือลูกหลานของเรา
-
5:51 - 5:54ผู้ซึ่งอาจจะเด็กเกินกว่า
จะรับการฉีดวัคซีนแรกได้ -
5:55 - 5:57พวกเขาคือพ่อแม่ของเรา พี่น้องของเรา
-
5:57 - 5:59คนที่เรารู้จัก
-
5:59 - 6:01ที่อาจเป็นโรค
-
6:01 - 6:04หรือรับการรักษา
ที่ทำให้ภูมิคุ้นกันของพวกเขาต่ำ -
6:05 - 6:10ยังมีคนที่แพ้วัคซีนบางชนิด
-
6:11 - 6:14พวกเขาอาจอยู่ท่ามกลางพวกเรา
-
6:14 - 6:16พวกเราคนใดคนหนึ่ง
ที่รับการฉีดวัคซีน -
6:16 - 6:19แต่วัคซีนไม่ได้สร้างผลที่เป็นที่คาดหวัง
-
6:19 - 6:24เพราะไม่ใช่ทุกวัคซีน
จะมีประสิทธิภาพ 100 เปอร์เซนต์ -
6:24 - 6:29คนเหล่านี้ส่วนใหญ่พึ่งพา
ภูมิคุ้มกันแบบหมู่ -
6:29 - 6:31ในการป้องกันพวกเขาจากโรคต่างๆ
-
6:32 - 6:37เพื่อให้ได้ซึ่งผลของภูมิคุ้มกันหมู่
-
6:37 - 6:42มันจำเป็นที่ประชากร
ที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่ได้รับวัคซีน -
6:42 - 6:46เปอร์เซ็นต์ดังกล่าวเรียกว่า ระดับเปลี่ยน
-
6:46 - 6:49ระดับเปลี่ยนนั้นขึ้นอยู่กับตัวแปรหลากหลาย
-
6:49 - 6:52มันขึ้นอยู่กับลักษณะของเชื้อโรค
-
6:52 - 6:56และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน
ที่เกิดขึ้นจากการกระตุ้นด้วยวัคซีน -
6:56 - 6:58แต่พวกมันมีบางอย่างเหมือนกัน
-
6:58 - 7:04ถ้าเปอร์เซ็นต์ของประชากร
ในสังคมที่ได้รับวัคซีน -
7:04 - 7:07อยู่ต่ำกว่าระดับเปลี่ยน
-
7:07 - 7:11โรคจะเริ่มแพร่กระจายอย่างอิสระ
-
7:11 - 7:16และอาจสร้างการระบาด
ของโรคภายในสังคม -
7:16 - 7:23แม้โรคที่เคยควบคุมได้ ณ จุดหนึ่ง
อาจปรากฏกลับขึ้นมาอีก -
7:24 - 7:27มันไม่ใช่แค่ทฤษฎี
-
7:27 - 7:29มันได้เกิดขึ้นแล้ว
และยังคงเกิดขึ้นต่อไป -
7:31 - 7:36ในปี ค.ศ. 1998 นักวิจัยชาวอังกฤษ
ได้ตีพิมพ์ผลงาน -
7:36 - 7:39ในนิตยสารทางการแพทย์
ที่สำคัญที่สุดฉบับหนึ่ง -
7:39 - 7:41ที่บอกว่า MMR วัคซีน
-
7:41 - 7:44ซี่งใช้ป้องกันโรคหัด คางทูม และริเบลล่า
-
7:44 - 7:46เกี่ยวข้องกับออทิซึม
-
7:46 - 7:48สิ่งนี้ได้สร้างกระแสในทันที
-
7:49 - 7:54คนเริ่มที่จะหยุดรับวัคซีน
และหยุดฉีดวัคซีนให้กับเด็กๆ -
7:54 - 7:55แล้วมันเกิดอะไรขึ้น
-
7:55 - 7:58คนที่ได้รับวัคซีน
-
7:58 - 8:02ในหลายๆ กลุ่มสังคมทั่วโลก
ลดลงต่ำกว่าระดับเปลี่ยน -
8:02 - 8:06และเกิดการระบาดของโรคหัดขึ้น
ในหลายเมืองทั่วโลก -
8:06 - 8:08ในสหรัฐอเมริกา ในยุโรป
-
8:08 - 8:10คนมากมายล้มป่วย
-
8:10 - 8:13คนเสียชีวิตเพราะโรคหัด
-
8:14 - 8:15เกิดอะไรขึ้น
-
8:15 - 8:19บทความนี้ยังสร้างความสับสนครั้งใหญ่
ภายในวงการแพทย์ -
8:19 - 8:24นักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งเริ่มที่จะประเมิน
ว่ามันเป็นจริงหรือไม่ -
8:25 - 8:28ไม่เพียงแต่ไม่มีใครพบว่า
-
8:28 - 8:34มีความเกี่ยวข้องอย่างเป็นสำคัญ
ระหว่าง MMR กับออทิซึมในระดับประชากร -
8:34 - 8:39แต่มันยังถูกพบว่า บทความนี้
ยังมีข้อกล่าวอ้างที่ไม่ถูกต้องอีกด้วย -
8:39 - 8:42ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นเรื่องต้มตุ๋น
-
8:42 - 8:45เป็นเรื่องหลอกลวง
-
8:45 - 8:52อันที่จริง วารสารนั้นได้เรียกบทความนั้นกลับ
ในปี ค.ศ. 2010 -
8:52 - 8:57หนึ่งในสิ่งที่เป็นที่เป็นข้อกังวล
และถูกใช้เป็นข้ออ้างในการไม่รับวัคซีน -
8:57 - 8:59คือผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
-
9:00 - 9:05วัคซีน เป็นดังเช่นยาอื่นๆ
ที่อาจมีผลที่เป็นอันตราย -
9:06 - 9:08ส่วนใหญ่แล้วจะมีผลอย่างอ่อน
และชั่วครั้งชั่วคราว -
9:08 - 9:14แต่ประโยชน์ที่ได้ยิ่งใหญ่กว่า
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเสมอ -
9:16 - 9:20เมื่อเราป่วย
เราต้องการที่จะหายไวๆ -
9:20 - 9:22พวกเราหลายคนในที่นี้
-
9:22 - 9:26กินยาปฏิชีวนะ
เมื่อเราติดเชื้อ -
9:26 - 9:29เรากินยาลดความดัน
เมื่อความดันเลือดสูงเกินไป -
9:29 - 9:31เรารับการรักษาหัวใจ
-
9:31 - 9:35ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะเราป่วย
และเราต้องการจะหายป่วยเร็วๆ -
9:35 - 9:37และเราไม่ตั้งคำถามอะไรมาก
-
9:37 - 9:41ทำไมมันยากเย็นนั้น
ที่จะคิดถึงการป้องกันโรค -
9:42 - 9:45โดยดูแลตัวเราเองเมื่อเราแข็งแรง
-
9:45 - 9:48เราดูแลตัวเราเองเยอะมาก
เมื่อเราได้รับผลกระทบจากความเจ็บป่วย -
9:48 - 9:51หรือในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายแบบจวนตัว
-
9:52 - 9:55ฉันคิดว่าพวกเราส่วนใหญ่ในที่นี้
-
9:55 - 9:59จำการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ได้
-
9:59 - 10:02ซึ่งเกิดการระบาดขึ้นในปี ค.ศ. 2009
ในอาร์เจนตินาและทั่วโลก -
10:02 - 10:06เมื่อผู้ป่วยรายแรกปรากฏขึ้น
-
10:06 - 10:09พวกเราในอาร์เจนตินา
กำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาว -
10:10 - 10:12เราไม่รู้อะไรเลยสักนิด
-
10:12 - 10:14ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด
-
10:14 - 10:19คนใส่หน้ากากเดินตามท้องถนน
วิ่งไปร้านขายยาเพื่อซื้อเจลแอลกอฮอลล์ -
10:19 - 10:22ผู้คนยอมเข้าแถวที่ร้านขายยา
เพื่อจะรับวัคซีน -
10:22 - 10:25โดยไม่รู้เลยว่า
มันเป็นวัคซีนที่ถูกต้องหรือไม่ -
10:25 - 10:27ที่จะป้องกันพวกเขาจากไวรัสใหม่
-
10:27 - 10:30เราไม่รู้อะไรเลย
-
10:30 - 10:34ในเวลานั้น นอกจากเป็นผู้ร่วมวิจัย
ที่สถาบันเด็กอ่อน -
10:34 - 10:39ฉันทำงานเป็นกุมารแพทย์
ให้กับบริษัทแผนการพยาบาล -
10:39 - 10:43ฉันจำได้ว่าฉันเริ่มกะของฉันตอน 8 โมงเช้า
-
10:43 - 10:47และตอน 8 โมง ฉันได้รายการชื่อที่นัด
จะเข้ามา 50 ราย -
10:47 - 10:50มันวุ่นวายมาก
ผู้คนไม่รู้กันว่าจะทำอย่างไร -
10:50 - 10:55ฉันจำกลุ่มคนไข้ที่ฉันตรวจได้
-
10:56 - 11:00คนไข้แก่กว่าที่เราเห็นๆ กันในฤดูหนาว
-
11:00 - 11:02และมีไข้นานกว่า
-
11:02 - 11:06และฉันบอกกับอาจารย์ที่ปรึกษาของฉัน
-
11:06 - 11:10และเขา ก็ได้ยินสิ่งเดียวกันนี้
จากเพื่อนร่วมงาน -
11:10 - 11:12เกี่ยวกับหญิงตั้งครรภ์จำนวนมาก
-
11:12 - 11:14และผู้ใหญ่อายุน้อย
-
11:14 - 11:16เข้ามายังโรงพยาบาล
เพื่อการรักษาอย่างใกล้ชิด -
11:16 - 11:19และพวกเขาก็มีประวัติทางการแพทย์
ที่จัดการยาก -
11:21 - 11:27ณ เวลานั้น
เราพยายามทำความเข้าใจ ว่าเกิดอะไรขึ้น -
11:27 - 11:30อย่างแรกที่เราทำตอนเช้าวันจันทร์ คือออกรถ
-
11:30 - 11:33ไปยังโรงพยาบาลในจังหวัด บัวโนส ไอเรส
-
11:33 - 11:39ที่ทำหน้าที่เป็นโรงพยาบาลส่งต่อ
สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสหวัดใหม่ -
11:39 - 11:42เราไปถึงโรงพยาบาล
มันคราคร่ำไปด้วยคน -
11:42 - 11:45เจ้าหน้าที่หมอพยาบาลทุกคน
สวมชุดป้องกันชีวภาพที่เหมือนชุดนาซ่า -
11:45 - 11:48เรามีหน้ากากในกระเป๋า
-
11:48 - 11:50ฉัน เริ่มที่จะคิดว่าตัวเองไม่สบาย
เหมือนไม่ได้หายใจสักสองชั่วโมง -
11:50 - 11:54แต่เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
-
11:54 - 11:57ทันใดนั้นเอง เราเริ่มที่จะเข้าถึงกุมารแพทย์
-
11:57 - 12:01จากโรงพยาบาลหกแห่ง ในเมืองนั้น
และในจังหวัด บัวโนส ไอเรส -
12:01 - 12:05เป้าหมายหลักของเราคือค้นหา
-
12:05 - 12:09ว่าไวรัสใหม่นี้มีพฤติกรรมการติดต่อ
มายังเด็กๆ ของเราได้อย่างไร -
12:09 - 12:11โดยใช้เวลาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
-
12:11 - 12:14มันเป็นงานที่ยากลำบาก
-
12:14 - 12:17ที่ใช้เวลาน้อยกว่าสามเดือน
-
12:17 - 12:23เราสามารถเห็นว่าไวรัสใหม่ H1N1 นี้
มีผลกระทบอะไร -
12:23 - 12:29ต่อเด็ก 251 คน
ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะไวรัสดังกล่าว -
12:30 - 12:34เราสามารถเห็นได้ว่าเด็กคนไหนที่ป่วยมากๆ
-
12:34 - 12:37เด็กที่อายุต่ำกว่าสี่ขวบ
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่อายุต่ำกว่าขวบ -
12:37 - 12:40ผู้ป่วยที่เป็นโรคทางระบบประสาท
-
12:40 - 12:43และเด็กเล็กที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง
-
12:43 - 12:48การระบุคนเหล่านี้เป็นกลุ่มเสี่ยง
มีความสำคัญอย่างมาก -
12:48 - 12:51ที่จะจัดกลุ่มคนเหล่านี้เป็นคนกลุ่มแรก
-
12:51 - 12:54ที่จะต้องได้รับคำแนะนำ
ให้ได้รับวัคซีนป้องกันโรค -
12:54 - 12:56ไม่ใช่เพียงแต่ในอาร์เจนติน่า
-
12:56 - 13:00แต่รวมถึงประเทศอื่นๆ
ซึ่งการระบาดยังไปไม่ถึงอีกด้วย -
13:01 - 13:02ปีต่อมา
-
13:02 - 13:08เมื่อวัคซีนต้านการระบาดของไวรัส
H1N1 มีออกมาแล้ว -
13:08 - 13:10เราต้องการที่จะเห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น
-
13:10 - 13:13หลังจากการณรงค์การฉีดวัคซีน
-
13:13 - 13:18ที่มุ่งเป้าเพื่อป้องกันกลุ่มเสี่ยง
-
13:18 - 13:25โรงพยาบาลเหล่านี้
ที่ให้วัคซีนกับกลุ่มเสี่ยงที่คิดเป็น 93 เปอร์เซ็นต์ -
13:25 - 13:29ไม่ได้รับผู้ป่วยสักคนเดียว
-
13:29 - 13:31จากการระบาดของไวรัส H1N1
-
13:31 - 13:35(เสียงปรบมือ)
-
13:36 - 13:40ในปี ค.ศ. 2009: 251 ราย
-
13:41 - 13:44ในปี ค.ศ. 2010: ศูนย์
-
13:44 - 13:49การฉีดวัคซีนเป็นการกระทำ
ที่เป็นความรับผิดชอบส่วนบุคคล -
13:49 - 13:53แต่มันมีผลกระทบสะสมที่ยิ่งใหญ่
-
13:55 - 13:59ถ้าฉันได้รับวัคซีน
ไม่เพียงแต่ฉันป้องกันตัวเอง -
13:59 - 14:03แต่ฉันยังป้องกันคนอื่นๆ อีกด้วย
-
14:04 - 14:06ซอลเป็นโรคไอกรน
-
14:08 - 14:10ซอลยังเด็กอยู่มาก
-
14:10 - 14:14และเธอไม่ได้รับการฉีดวัคซีนแรก
เพื่อป้องกันไอกรน -
14:15 - 14:19ฉันยังคงหวังว่ามันจะเกิดขึ้น
-
14:19 - 14:25ถ้าทุกคนรอบๆ ตัว ซาล
ได้รับวัคซีน -
14:26 - 14:28(เสียงปรบมือ)
- Title:
- พลังแห่งภูมิคุ้มกันหมู่
- Speaker:
- โรมินา ลิบสเตอร์ (Romina Libster)
- Description:
-
วัคซีนป้องกันโรคได้อย่างไร -- แม้ในคนที่เด็กเกินกว่าจะรับวัคซีน ? นั่นคือแนวคิดของ "ภูมิคุ้มกันหมู่" ซึ่งคือการฉีดวัคซีนให้กับคนหมู่มากในสังคมเพื่อที่จะตัดห่วงโซ่การติดเชื้อ นักวิจัยสายสุขภาพ โรมินา ลิบสเตอร์ แสดงว่าภูมิคุ้มกันหมู่กำจัดการระบาดอันรุนแรงของ H1N1 ในบ้านเกิดของเธอได้อย่างไร (บรรยายเป็นภาษาสเปน พร้อมคำบรรยายหลายภาษา)
- Video Language:
- Spanish
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 14:41
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for El poder de la inmunidad colectiva | ||
Pongsapak Vanichrundorn edited Thai subtitles for El poder de la inmunidad colectiva | ||
Pongsapak Vanichrundorn edited Thai subtitles for El poder de la inmunidad colectiva | ||
Pongsapak Vanichrundorn edited Thai subtitles for El poder de la inmunidad colectiva | ||
Pongsapak Vanichrundorn accepted Thai subtitles for El poder de la inmunidad colectiva | ||
Pongsapak Vanichrundorn edited Thai subtitles for El poder de la inmunidad colectiva | ||
Pongsapak Vanichrundorn edited Thai subtitles for El poder de la inmunidad colectiva | ||
Pongsapak Vanichrundorn edited Thai subtitles for El poder de la inmunidad colectiva |