-
Title:
วิธีที่ดีในการพูดถึงความรัก
-
Description:
ในความรัก เรา "ตกหลุม" เราถูกจู่โจมโดยความรัก เราถูกบดขยี้ด้วยความรัก เรารักจนหน้ามืดตามัว อารมณ์ของเราพลุกพล่าน ความรักนั้น ทำให้เราเป็นบ้าและป่วย หัวใจของเราเจ็บปวด และจบที่แตกสลาย การพูดถึงความรักแบบนี้ไปควบคุมวิธีที่เรารับรู้ถึงความรัก กล่าวโดยนักเขียน แมนดี้ เลน คัททรอน ในทอล์คนี้สำหรับใครก็ตามที่ยังอยู่วนเวียนอยู่ในความรัก คัททรอน เน้นย้ำถึงการเปรียบเปรยต่าง ๆ ที่อาจจะช่วยเราพบว่าความรักที่แท้จริง นั้นแทนที่จะเจ็บปวดทรมานกลับกลายเป็นความเพลิดเพลินและความสุขได้
-
Speaker:
แมนดี้ เลน คัททรอน (Mandy Len Catron)
-
โอเค วันนี้ฉันจะมาพูดถึง
วิธีที่คนพูดถึงความรัก
-
โดยเฉพาะ
-
สิ่งที่ผิดไปเวลาพูดถึงความรัก
-
คนส่วนมากตกหลุมรักสองสามครั้ง
¶
-
ในช่วงชีวิตหนึ่ง
-
และในภาษาอังกฤษ คำว่า ตกหลุม
เป็นคำเปรียบเปรย
-
ซึงมักใช้เวลาพูดถึงประสบการณ์ความรัก
-
ไม่รู้คุณคิดอย่างไรนะ
-
แต่เวลาฉันให้นิยามแก่คำเปรียบเปรยนี้
-
ฉันมักจะคิดเป็นภาพที่หลุดมาจากการ์ตูน
-
คือ มีผู้ชายคนนึง
-
กำลังเดินอยู่ข้างถนน
-
ไม่รู้ตัวว่ากำลังเดินข้าม
ท่อระบายน้ำที่เปิดอยู่
-
ก็เลยตกลงไป
-
ฉันคิดภาพแบบนั้น
เพราะว่าการตกลงไป ไม่ใช่การกระโดด
-
การตก เป็นอุบัติเหตุ
-
มันควบคุมไม่ได้
-
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา
โดยไม่ได้รับความยินยอม
-
และนี่
-
เป็นวิธีที่เราพูดถึง
การเริ่มต้นความสัมพันธ์
-
ฉันเป็นนักเขียน และเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ
¶
-
ซึ่งหมายถึง ฉันครุ่นคิดเรื่องคำเป็นอาชีพ
-
หรือจะบอกว่า เขาจ้างฉันมาเถียง
กับคนอื่นเรื่องภาษาก็ได้
-
และฉันอยากจะเถียงว่า
คำเปรียบเปรยหลายคำที่เราใช้
-
เวลาพูดถึงความรัก
-
อาจจะส่วนมากด้วยซ้ำ
-
เป็นปัญหา
-
-
ความรักจู่โจม
-
เราถูกบีบคั้น (crush = คนที่ชอบ)
-
รักจนหน้ามืดตามัว
-
อารมณ์ของเราพลุกพล่าน
-
ความรักทำให้เราคลุ้มคลั่ง
-
และทำให้ป่วยใจ
-
หัวใจของเราเจ็บปวด
-
และแตกสลาย
-
สรุปได้ว่า เมื่อเรารักใครสักคน
เราจะพูดเปรียบกับ
-
ความรุนแรงหรือความเจ็บป่วย
-
-
-
เราถูกวางตำแหน่งให้เป็นเหยื่อ
-
ของสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง
และหลีกเลี่ยงไม่ได้
-
คำที่ฉันชอบที่สุดคือคำว่า smitten
-
ซึ่งเป็นคำกริยาช่องสามของคำว่า smite
-
และถ้าคุณเปิดดูในพจนานุกรม
-
-
คุณจะพบว่า มันแปลว่า ความเจ็บปวดร้ายแรง
¶
-
และรักหัวปรักหัวปรำ
-
ฉันพยายามเชื่อมโยงคำว่า
smite เข้ากับบริบทต่าง ๆ
-
เช่น ในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม
-
ในหนังสือเล่มที่สองของพันธสัญญาเดิม
มี 16 ตัวอย่างที่อ้างถึงคำว่า smite
-
ซึ่งเป็นคำที่ไบเบิลใช้ในการล้างแค้นของพระเจ้าที่พิโรธ
-
-
เราก็ใช้คำคำเดียวกันนี้ พูดถึงความรัก
¶
-
และใช้อธิบายพระคัมภีร์ตอน
ภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตน
-
-
-
แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
¶
-
เราเชื่อมโยงความรัก
กับความเจ็บปวดทรมานได้อย่างไร
-
แล้วทำไมเราถึงผู้ถึงประสบการณ์ดีๆ แบบนี้
-
ราวกับว่าเราตกเป็นเหยื่อ
-
นี่เป็นคำถามที่ยาก
-
แต่ฉันมีทฤษฎี
-
ในการพิจารณานี้
-
ฉันจะเน้นไปที่คำเปรียบเปรยคำหนึ่ง
-
ที่เปรียบว่า ความรักเหมือนความคลุ้มคลั่ง
-
ตอนแรกที่ฉันเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับความรัก
¶
-
ทุกแหล่งเปรียบเปรยความรัก
เป็นความคลุ้มคลั่ง
-
ในวัฒนธรรมตะวันตก
-
มีการใช้ภาษาเปรียบความรัก
เหมือนความเจ็บป่วยทางจิต
-
ยกตัวอย่างสักเล็กน้อย
-
วิลเลียม เชกสเปียร์กล่าวว่า
-
ความรักเป็นแค่เพียงความคลุ้มคลั่ง
-
จากบทกวี "ตามใจท่าน"
-
ฟริดริค นิตเช่ กล่าวว่า
-
มีความบ้าคลั่งอยู่ในความรักเสมอ
-
รักของคุณทำให้ฉันเสียสติ
-
-
จากนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ บียอนเซ่ โนวส์
¶
-
-
ฉันตกหลุมรักครั้งแรกตอนอายุ 20
¶
-
เป็นความสัมพันธ์ที่วุ่นวายตั้งแต่เริ่ม
-
ในสองปีแรก มันเป็นรักระยะไกล
-
สำหรับฉัน มันเป็นรักที่ขึ้น ๆ ลง ๆ
-
ฉันจำช่วงหนึ่งได้
-
ฉันนั่งอยู่บนเตียง ที่โรงแรมในอเมริกาใต้
-
นั่งมองคนที่ฉันรักเดินออกประตูไป
-
มันดึกมากแล้ว
-
ใกล้จะเที่ยงคืน
-
เราทะเลาะกันตอนทานอาหารเย็น
-
และเมื่อเรากลับมาที่ห้อง
-
เขาโยนของใส่กระเป๋า และเดินตึงตังออกไป
-
ฉันจำไม่ได้ว่าเราทะเลาะกันเรื่องอะไร
-
แต่ฉันจำได้ดีเลยว่า ฉันรู้สึกอย่างไร
ตอนมองเขาเดินออกไป
-
ตอนนั้นฉันอายุ 22 เป็นครั้งแรก
ที่ฉันมาเยือนประเทศที่กำลังพัฒนา
¶
-
และฉันอยู่ลำพัง
-
อีก 1 อาทิตย์ถึงจะมีเที่ยวบินกลับบ้าน
-
ฉันรู้ชื่อของเมืองที่ฉันอยู่
-
และเมืองที่ฉันต้องไปเพื่อบินกลับบ้าน
-
แต่ฉันไม่รู้ว่าจะไปที่นั่นอย่างไร
-
ฉันไม่มีคู่มือเดินทาง และมีเงินนิดเดียว
-
และฉันยังพูดภาษาสเปนไม่ได้
-
-
คงเห็นสถานการณ์นี้เป็นโอกาสอันดีงาม
-
แต่ฉันตัวแข็ง
-
ทำได้แค่นั่งอยู่ตรงนั้น
-
และร้องไห้น้ำตาแตก
-
แต่ถึงจะมีความตื่นตระหนก
-
ก็ยังมีเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นในหัวว่า
-
ว้าว นี่มันดราม่าสุด ๆ
-
ฉันต้องทำเรื่องความรักนี่ถูกแล้วแน่ ๆ
-
-
เพราะว่า ส่วนหนึ่งของฉันอยาก
ทุกข์ทรมานในรัก
¶
-
มันฟังดูแปลกสำหรับฉันในตอนนี้
แต่ตอนอายุ 22
-
ฉันอยากจะมีประสบการณ์ดราม่า
-
ตอนนั้น ฉันไม่มีเหตุผล
โกรธเกรี้ยว และหมดหวัง
-
และพอใจอย่างน่าประหลาด
-
ฉันคิดว่า นี่ช่วยยืนยันความรู้สึก
-
ที่ฉันมีต่อผู้ชายที่เพิ่งทิ้งฉันไป
-
ฉันคิดว่า ในจุดๆ หนึ่ง
ฉันอยากจะรู้สึกคลุ้มคลั่งนิดๆ
¶
-
เพราะฉันคิดว่า นั่นเป็นวิถีแห่งความรัก
-
มันไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่
-
เพราะจากข้อมูลวิกีพิเดีย
-
มีหนัง 8 เรื่อง
-
เพลง 14 เพลง
-
อัลบั้มเพลง 2 อัลบั้มและนิยาย 1 เรื่อง
ที่ใช้ชื่อว่า "Crazy Love"
-
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง เขาก็กลับมาที่ห้อง
¶
-
เราคืนดีกัน
-
และใช้เวลา 1 สัปดาห์ที่เหลือ
เที่ยวกันอย่างมีความสุข
-
จากนั้น เมื่อฉันกลับถึงบ้าน
-
ฉันก็คิดว่า นั่นมันแย่ แต่ก็วิเศษมาก
-
นี่คงเป็นความโรแมนติคที่แท้จริง
-
ฉันคาดหวังให้รักแรก ให้ความรู้สึกบ้าคลั่ง
-
และแน่นอน มันเป็นไปอย่างที่ฉันหวัง
-
แต่การรักใครซักคนแบบนั้น
-
ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน
ขึ้นอยู่กับการที่เขารักตอบ
-
ไม่ดีสำหรับฉัน
-
หรือสำหรับเขา
-
ฉันว่าประสบการณ์ความรักแบบนี้
ไม่ได้แปลกอะไรนัก
¶
-
คนส่วนมากรู้สึกบ้าคลั่ง
ในระยะแรกๆ ของความรัก
-
จริง ๆ แล้ว มีงานวิจัยยืนยันว่า
มันเป็นเรื่องปกติ
-
เพราะสารเคมีในประสาท
-
ความรักและอาการป่วยทางจิต
ไม่ได้แยกออกจากกันง่ายขนาดนั้น
-
จริง ๆ นะคะ
-
งานวิจัยปี 1999 ใช้ผลเลือด
¶
-
ในการยืนยันว่า ระดับสารเซอโรโทนิน
ของคนที่มีความรักใหม่ ๆ
-
ใกล้เคียงกับ
-
คนที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ
-
-
ใช่ค่ะ และระดับเซโรโทนินต่ำ
¶
-
นั้นเกี่ยวข้องกับโรคภาวะซึมเศร้าตามฤดูกาล
-
และโรคซึมเศร้า
-
มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า
-
ความรักเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง
ของอารมณ์และพฤติกรรม
-
ยังมีงานวิจัยอื่นๆ ที่ยืนยันว่า
-
ความสัมพันธ์ส่วนมากเริ่มต้นแบบนี้
-
นักวิจัยเชื่อว่า ระดับเซโรโทนินที่ต่ำ
¶
-
สัมพันธ์กับอาการคิดมากเรื่องความรัก
-
ซึ่งจะรู้สึกเหมือนมีคนมาตั้งแคมป์อยู่ในหัว
-
คนส่วนมากรู้สึกแบบนี้ตอนตกหลุมรักใหม่ ๆ
-
ข่าวดีก็คือ มันจะไม่คงอยู่ตลอดไป
-
อาจอยู่ไม่กี่เดือน ถึงสองสามปี
-
เมื่อฉันกลับมาจากทริปอเมริกาใต้
¶
-
ฉันใช้เวลาอยู่คนเดียวในห้อง
-
เช็กอีเมลล์
-
หวังจะได้ข่าวจากผู้ชายที่ฉันรัก
-
และคิดว่าเพื่อนๆ คงไม่เข้าใจ
ความเจ็บปวดของฉัน
-
ดังนั้น ฉันจึงไม่ต้องการพวกเขา
-
ฉันเลิกออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ
-
นั่นเป็นปีที่ทุกข์ที่สุดในชีวิตของฉัน
-
แต่ฉันคิดว่าหน้าที่ของฉันคือ ต้องรู้สึกแย่
-
เพราะฉันอาจจะย่ำแย่จริง ๆ
-
แล้วค่อยพิสูจน์ว่าฉันรักเขามากแค่ไหน
-
และถ้าฉันสามารถพิสูจน์ได้
-
พวกเราก็คงกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
-
-
เพราะว่าไม่มีกฎจักรวาลข้อไหนเลย
-
ที่บอกว่าความทรมานที่ยิ่งใหญ่
จะหมายถึงรางวัลที่สวยหรู
-
แต่พวกเราพูดถึงความรักราวกับว่า
มันเป็นสิ่งที่เป็นจริง
-
ประสบการณ์ความรักของเรามีทั้งเชิง
ชีววิทยาและทางวัฒนธรรม
¶
-
ทางชีวิทวิทยากล่าวไว้ว่า "ความรักนั้นดี"
-
โดยการกระตุ้นวัฏจักรรางวัลในสมองเรา
-
และมันก็บอกเราว่าความรักนั้นเจ็บปวด
หลังจากการทะเลาะหรือการเลิกราจากกัน
-
ที่ทำให้รางวัลสารเคมีในสมองนั้น
ถูกดึงกลับคืน
-
และจริง ๆ แล้ว คุณอาจจะเคยได้ยินว่า
-
ถ้าพูดในเชิงสารเคมีในสมองแล้ว
-
การผ่านการเลิกรามาหลายรอบ
ก็เหมือนกับการหยุดเล่นโคเคน
-
ซื่งทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจขึ้น
-
-
หลังจากนั้น วัฒนธรรมของเราก็ใช้ภาษา
¶
-
เพื่อทำให้ความคิดเกี่ยวกับความรักนั้น
เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
-
ในกรณีนี้ พวกเราพูดถึงการเปรียบเปรย
ถึงความเจ็บปวด
-
การเสพย์ติดและความบ้าคลั่ง
-
ซึ่งเป็นวัฏจักรที่น่าสนใจ
-
ความรักนั้นยิ่งใหญ่นักแต่ก็เจ็บปวดไปด้วย
-
พวกเราแสดงออกมาในคำพูดและเรื่องราวของเรา
-
แต่คำพูดและเรื่องราวของเราเองก็ถูกบอกกล่าว
-
ให้คาดหวังว่าความรักนั้นยิ่งใหญ่และเจ็บปวด
-
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับฉัน คือ
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น
¶
-
ในวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับ
การรักคน ๆ เดียวไปทั้งชีวิต
-
ราวเหมือนกับว่า เราอยากได้ทั้ง 2 อย่างเลย
-
เราอยากให้ความรักรู้สึกเหมือนความบ้าคลั่ง
-
และอยากให้มันคงอยู่ตลอดชีวิต
-
ฟังดูแย่นะคะ
-
-
-
เราต้องไม่เปลี่ยนวัฒนธรรม
ก็เปลี่ยนความคาดหวังของเรา
-
ลองคิดตามดูว่า
ถ้าพวกเรานิ่งเฉยกับความรักน้อยลง
-
ถ้าพวกเราตรงไปตรงมา เปิดใจ และ ใจกว้าง
มากกว่านี้
-
และแทนที่เราจะ "ตกหลุมรัก"
-
เรากลับ "เดินเข้าไปในความรัก"
-
ฉันรู้ดีว่านี่ขอร้องให้คุณทำเยอะมาก
-
แต่ฉันก็ไม่ใช่คนแรกที่แนะนำให้ทำ
-
ในหนังสือ "Metaphors We Live By"
-
นักภาษาศาสตร์ มาร์ค จอห์นสัน และจอร์จ ลาคอฟ
แนะนำทางออกที่น่าสนใจกับ
-
ปัญหาที่ขัดแย้งกันเองนี้
-
คือ ให้เราเปลี่ยนคำเปรียบเปรย
-
พวกเขาแย้งว่า คำเปรียบเปรยนั้น เปลี่ยนแปลง
วิธีที่เรารับรู้สิ่งต่าง ๆ บนโลก
-
และยังสามารถเป็นตัวชี้นำสำหรับการกระทำ
ในอนาคตต่าง ๆ
-
เช่น การทำตามคำนาย
-
จอห์นสันและลาคอฟแนะว่า
การเปรียบเปรยใหม่สำหรับความรัก
¶
-
ความรัก คือ ผลงานศิลปะของการทำงานร่วมกัน
-
ฉันชอบวิธีการคิดความรักแบบนี้มาก
-
นักภาษาศาสตร์กล่าวถึงการเปรียบเปรย ว่า
สิ่งหนึ่งพอเป็นจริง อีกสิ่งก็จะจริง
-
ซึ่งเป็นวิธีในการพิจารณาการใช้งานทั้งหมด
-
หรือแนวคิดต่าง ๆ เบื้องหลังการเปรียบเปรย
-
และจอห์นสันกับลาคอฟฟก็ได้พูดทุกอย่างแล้ว
-
ว่าผลงานศิลปะของการทำงานร่วมมือกันจะทำให้
-
ความพยายาม การประนีประนอม
ความอดทน เป้าหมายร่วม เกิดขึ้นพร้อมกัน
-
ความคิดเหล่านี้เรียงตัวอย่างสวยงามกับ
วัฒนธรรมของเรา
-
ในความสัมพันธ์ระยะยาว
-
และยังไปได้ดีกับความสัมพันธ์รูปแบบอื่นด้วย
-
ไม่ว่าจะระยะสั้น แบบเพื่อน หลากคู่นอน ไม่
รักแค่คนเดียวและไม่มีเพศสัมพันธ์มาเกี่ยว
-
เพราะการเปรียบเปรยนี้
ทำให้เกิดความคิดที่ซับซ้อนมากขึ้น
-
ในการรักใครซักคน
-
ฉะนั้นแล้ว ถ้าความรัก คือ
ผลงานศิลปะของการร่วมมือกัน
¶
-
ความรักก็คือประสบการณ์ที่สวยงาม
-
ไม่สามารถคาดเดาได้
-
มีความคิดสร้างสรรค์
-
ความรักต้องการการสื่อสารและ
การฝึกให้สามารถควบคุมตัวเองได้
-
แน่นอน มันน่าผิดหวัง
และใช้อารมณ์ร่วมเยอะมาก
-
และความรักยังมีทั้ง
ความเพลิดเพลินและความเจ็บปวด
-
สุดท้ายแล้ว ประสบการณ์แต่ละคนในความรัก
แตกต่างกันหมด
-
ตอนที่ฉํนยังเด็กกว่านี้
¶
-
การที่ฉันต้องการมากขึ้นจากความรักนั้น
ไม่เคยเกิดขึ้นกับฉันเลย
-
ฉันไม่เคยต้องยอมรับสิ่งใด ๆ
ที่รักนำพามาให้
-
ตอนที่จูเลียตที่อายุ 14 พอเจอกับ
-
หรือตอนที่จูเลียตไม่สามารถพบเจอกับโรมิโอ
-
คนที่เธอเพิ่งได้เจอเมื่อ 4 วันก่อนหน้านี้
-
เธอไม่รู้สึกผิดหวังหรือไม่สบายใจ
-
แล้วเธออยู่ไหนละ
-
เธอต้องการตาย
-
ใช่ไหมคะ
-
และเพื่อเตือนความจำ ถ้ามาถึงตอนนี้ของละคร
-
ตอนที่ 3 จากทั้งหมด 5
-
โรมิโอยังไม่ตาย
-
เขายังมีชีวิตอยู่
-
ยังสุขภาพดี
-
แค่เขาถูกเนรเทศออกจากเมือง
-
ฉันเข้าใจว่าเมืองเวโรน่า ศตวรรษที่ 16
ยังไม่เหมือนกับอเมริกาเหมือนยุคร่วมสมัย
-
และตอนแรกที่ฉันได้อ่านบทละครนี้
-
ฉันก็อายุ 14 เช่นเดียวกัน
-
ความทรมานของจูเลียตดูสมเหตุสมผลสำหรับฉัน
-
การตีกรอบความรักใหม่ ฉันได้สรรค์สร้าง
คนที่ฉันสามารถชื่นชม
¶
-
แทนที่จะเป็นบางอย่างที่แค่เกิดขึ้นกับฉัน
-
โดยไร้การควบคุมหรือความเห็นชอบ
-
มันทำให้มั่นใจนะ
-
แต่มันยังคงยาก
-
ความรักยังทำให้รู้สึกโกรธและย่ำแย่ในบางวัน
-
และเมื่อฉันรู้สึกผิดหวัง
-
ฉันต้องเตือนตัวเองว่า
-
หน้าที่ของฉันในความสัมพันธ์นี้
คือ การคุยกับคู่ของฉัน
-
ว่าอะไรคือสิ่งที่เราอยากทำไปด้วยกัน
-
แน่นอน ไม่ได้ง่ายเลย
-
แต่ก็ยังดีกว่าทางเลือกอีกทาง
-
ซึ่งคือสิ่งที่รู้สึกได้ว่าบ้าคลั่ง
-
ความรักรูปแบบนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการเอาชนะ
หรือการสูญเสียความชื่นชอบในใครซักคน
¶
-
แต่กลับกัน คุณต้องเชื่อใจในคู่ของคุณ
-
และพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ
เมื่อการเชื่อใจมันยากขึ้น
-
ซึ่งมันฟังดูง่าย
-
แต่จริง ๆ เป็นการกระทำที่
เปลี่ยนแปลงและมีเหตุผลซะด้วยซ้ำ
-
นี่เป็นเพราะว่าคุณได้หยุด
และคิดเรื่องตัวเอง
-
และสิ่งที่คุณได้หรือสูญเสียในความสัมพันธ์
-
และคุณได้เริ่มคิดเรื่องสิ่งที่
คุณสามารถให้ได้
-
ความรักรูปแบบนี้ทำให้เราสามารถพูดแบบที่ว่า
-
"เฮ้ พวกเราไม่ได้ทำงานร่วมกันดีเลย
บางที เราอาจจะไม่ได้เหมาะสมกันจริง ๆ"
-
หรือ "ความสัมพันธ์ครั้งนั้น
สั้นกว่าที่ฉันวางแผนไว้อีก
-
แต่มันก็ยังสวยงามอยู่นะ
-
สิ่งที่สวยงามเกี่ยวกับผลงานศิลปะ
ที่มาจากการร่วมมือกัน
¶
-
ไม่ได้ถูกสรรค์สร้างด้วยตัวของมันเอง
-
แต่ความรักรูปแบบนี้ เราสามารถเลือกได้ว่า
มันจะออกมารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
-
-