-
Title:
เซลฟี่ด้วยการดมกลิ่น (Smelfies) และการทดลองอื่น ๆ ทางด้านชีววิทยาสังเคราะห์
-
Description:
อะไรจะเกิดขึ้นหากคุณสามารถถ่ายเซลฟีกลิ่นได้ หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าสเมลฟีล่ะ (smelfie) แล้วถ้าคุณมีลิปสติกที่ทำให้พืชโตขึ้นในที่ ๆ คุณจูบ มันจะเป็นอย่างไรกันแน่ แอนนี่ เลียว ได้เข้าไปสำรวจจุดที่เทคโนโลยีและประสาทรับรู้มาบรรจบกัน และงานของเธอนั้นก็อยู่ ณ จุดกึ่งกลางระหว่าง วิทยาศาสตร์ การออกแบบ และ ศิลปะ ในการบรรยายที่กระชับและชาญฉลาดนี้ เธอได้แบ่งปันความฝัน ความฉงนสงสัยและการทดลองต่าง ๆ ของเธอ พร้อมกับคำถามว่า อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากจริง ๆ แล้วนวนิยายวิทยาศาสตรืนั้นกลับกลายเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา
-
Speaker:
แอนนี่ เลียว (Ani Liu)
-
จะเป็นยังไงล่ะถ้าพืชต่าง ๆ ของเรา
-
สามารถรับรู้ระดับสารพิษในดิน
-
แล้วแสดงระดับสารพิษผ่านทางสีใบของมันได้
-
จะเป็นยังไงล่ะถ้าพืชเหล่านี้สามารถ
ลดสารพิษพวกนั้นที่อยู่ในดินได้ด้วย
-
แล้วจะเป็นยังไงล่ะถ้าพืชเหล่านั้น
-
สามารถงอกบรรจุภัณฑ์ของตัวเองได้
-
หรือถูกออกแบบให้เก็บเกี่ยวได้
-
ด้วยเครื่องจักรที่เจ้าของเครื่อง
จดสิทธิบัตรไว้เท่านั้นล่ะ
-
จะเป็นยังไงล่ะถ้าการออกแบบทางชีววิทยา
-
ถูกขับเคลื่อนด้วยความต้องการ
สินค้าที่ผลิตออกมาครั้งละมาก ๆ
-
โลกแบบนั้นจะเป็นยังไงนะ
-
ฉันชื่อ แอนนี่ ฉันเป็นนักออกแบบ
และนักวิจัยที่ MIT Media Lab
¶
-
ที่ที่ฉันเองเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม Design Fiction
ที่ค่อนข้างใหม่และมีเอกลักษณ์
-
ที่ที่พวกเราอยู่ ณ จุดกึ่งกลางระหว่างนิยาย
วิทยาศาสตร์กับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์
-
และที่ MIT ฉันก็โชคดีที่ได้พบปะ
และใช้เวลาร่วมกับนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ
-
และได้ศึกษาศาสตร์ล้ำสมัยในทุก ๆ แขนง
-
อย่างเช่น ประสาทชีววิทยาสังเคราะห์
-
ปัญญาประดิษฐ์ ชีวิตประดิษฐ์
-
และทุก ๆ เรื่องในนั้นที่เกี่ยวข้อง
-
และตลอดทั่วทั้งรั้วมหาวิทยาลัยนั้น
ก็มีนักวิทยาศาสตร์ฉลาดล้ำมากมาย
-
ที่คอยตั้งคำถามทำนองว่า
"ฉันจะทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้อย่างไร"
-
และหนึ่งในคำถามที่กลุ่มของฉัน
ชอบถามก็คือ "อะไรดีกว่ากัน"
-
อะไรดีกว่าสำหรับฉัน สำหรับคุณ
-
สำหรับผู้หญิงผิวขาว
สำหรับผู้ชายที่เป็นเกย์
-
สำหรับทหารผ่านศึก
สำหรับเด็กพิการที่ใช้อวัยวะเทียม
-
เทคโนโลยีนั้นไม่เคยเป็นกลาง
-
มันร่างความเป็นจริงขึ้นมา
-
และสะท้อนบริบทนั้น ๆ
-
คุณพอจะนึกภาพออกไหมว่ามันจะเป็นยังไง
กับสมดุลชีวิตการทำงานที่ออฟฟิศของคุณ
-
ถ้าสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็น
ปัญหาปกติในวันแรก
-
-
ฉันเชื่อว่ามันเป็นหน้าที่ของ
ศิลปินและนักออกแบบ
¶
-
ที่จะต้องคอยถามคำถามสำคัญ ๆ
-
ศิลปะคือการมองเห็นและการรู้สึกถึงอนาคต
-
และตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลา
อันน่าตื่นเต้นที่จะเป็นนักออกแบบ
-
เพราะอุปกรณ์ใหม่ ๆ มากมาย
เริ่มเพียบพร้อมมากขึ้น
-
ยกตัวอย่างเช่น ชีววิทยาสังเคราะห์
-
พยายามหาทางทำให้ชีววิทยา
เป็นปัญหาทางการออกแบบอย่างหนึ่ง
-
และในช่วงของการพัฒนาต่าง ๆ เหล่านี้
-
ที่ห้องทดลองก็มีคำถามว่า
อะไรคือหน้าที่และความรับผิดชอบ
-
ของศิลปิน นักออกแบบ
นักวิทยาศาสตร์ หรือนักธุรกิจล่ะ
-
อะไรคือผลกระทบที่ตามมา
-
ของชีววิทยาสังเคราะห์ การดัดแปลงพันธุกรรม
-
และผลกระทบเหล่านั้นจะเปลี่ยนมุมมอง
ของเราต่อความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร
-
อะไรคือผลกระทบของมัน
ต่อสังคม ต่อวิวัฒนาการ
-
และอะไรคือสิ่งที่ต้องเดิมพันในเกม ๆ นี้
-
งานวิจัยด้านการออกแบบเพื่ออนาคต
ที่ฉันทำอยู่ในขณะนี้
¶
-
เล่นกับชีววิทยาสังเคราะห์
-
แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ผลักดัน
ออกมาด้วยอารมณ์ที่มากขึ้น
-
ฉันจึงหมกมุ่นกับเรื่องการรับกลิ่น
ในฐานะของพื้นที่ในการออกแบบ
-
และงานวิจัยนี้ก็เกิดขึ้นมาจากแนวคิดที่ว่า
-
มันจะเป็นยังไงนะถ้าเราสามารถ
ถ่ายเซลฟีกลิ่นได้ แบบสเมลฟี่น่ะ (smelfie)
-
-
มันจะเป็นยังไงนะถ้าเราสามารถ
เก็บกลิ่นตัวตามธรรมชาติของเรา
¶
-
แล้วส่งไปให้คนที่เรารักได้
-
แปลกแต่จริง ฉันไปเจอมาว่านี่เป็นธรรมเนียม
อย่างหนึ่งของออสเตรียในช่วงศตวรรษที่ 19
-
ซึ่งคู่รักที่ดูใจกันอยู่นั้นจะ
หนีบแอปเปิ้ลชิ้นหนึ่ง
-
ไว้ข้างใต้รักแร้ของพวกเขาในขณะเต้นรำ
-
และในตอนจบของงานนั้น
-
ฝ่ายหญิงจะให้แอปเปิ้ลที่หนีบไว้
กับผู้ชายคนที่เธอชอบมากที่สุด
-
และถ้าเขารู้สึกแบบเดียวกับเธอ
-
เขาก็จะยัดแอปเปิ้ลเหม็น ๆ นั้นเข้าปากไป
-
-
เป็นที่รู้กันว่า นโปเลียนนั้นเขียน
จดหมายรักมากมายไปหาโฌเซฟีน
¶
-
แต่ว่าบางทีหนึ่งในจดหมายที่เป็นที่จดจำมาก
ที่สุดอาจเป็นข้อความสั้น ๆ สุดเร่งเร้านี้:
-
"จะถึงบ้านในสามวัน ไม่ต้องอาบน้ำนะ"
-
-
ทั้งนโปเลียนและโฌเซฟีน
ต่างโปรดปรานดอกไวโอเล็ต
¶
-
โฌเซฟีนฉีดน้ำหอมกลิ่นไวโอเล็ต
-
ถือดอกไวโอเล็ตในวันแต่งงานของเธอกับเขา
-
และนโปเลียนเองก็ส่ง
ช่อดอกไวโอเล็ตไปให้เธอ
-
ทุก ๆ ปีในวันครบรอบวันแต่งงาน
-
เมื่อโฌเซฟีนเสียชีวิตลง
-
เขาได้ปลูกต้นไวโอเล็ตไว้ที่หลุมศพเธอ
-
และก่อนที่เขาจะถูกเนรเทศ
-
เขาได้กลับไปที่หลุมศพนั้น
-
เด็ดดอกไม้บางดอก แล้วเก็บมันไว้
ในสร้อยล็อคเก็ตอันหนึ่ง
-
และใส่มันจนวาระสุดท้ายของเขา
-
ฉันพบว่ามันสะเทือนอารมณ์มากทีเดียว
¶
-
ฉันสงสัยว่า ฉันจะดัดแปลงดอกไวโอเล็ต
ให้มีกลิ่นเหมือนกับโฌเซฟีนได้หรือไม่
-
มันจะเป็นยังไง ถ้าไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม
-
ที่คุณไปเยี่ยมหลุมศพเธอ
-
คุณจะได้กลิ่นของโฌเซฟีนในแบบเดียว
กับตอนที่นโปเลียนหลงรักเธอ
-
เราจะสามารถออกแบบวิธีไว้ทุกข์แบบใหม่
-
รวมถึงพิธีรำลึกแบบใหม่ได้รึเปล่า
-
ยังไงซะ เราก็ตัดต่อพันธุกรรม
ของพืชผลต่าง ๆ
-
เพื่อให้ทำกำไรได้สูงสุดอยู่แล้วนี่
-
ไม่ว่าจะพืชผลที่ทนต่อการขนส่ง
-
พืชผลที่เก็บได้นาน ๆ
-
พืชผลที่มีรสหวานแต่ไล่แมลง
-
ที่ในบางครั้งก็ต้องแลกมาด้วย
คุณค่าทางโภชนาการที่ลดลง
-
เราจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเดียวกันนี้
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางอารมณ์ได้หรือเปล่า
-
ฉะนั้น ที่ห้องแล็บของฉันในตอนนี้
¶
-
ฉันจึงทำวิจัยอยู่ว่าอะไรทำให้
มนุษย์มีกลิ่นเฉพาะในแบบของมนุษย์
-
และปรากฏว่ามันค่อนข้างซับซ้อนเลยทีเดียว
-
ปัจจัยต่าง ๆ อย่างเช่น อาหารที่กิน
ยาต่าง ๆ รูปแบบการใช้ชีวิต
-
ล้วนส่งผลต่อกลิ่นตัวของคุณ
-
และฉันก็พบว่าจริง ๆ แล้ว
เหงื่อส่วนใหญ่นั้นไร้กลิ่น
-
แต่เป็นเพราะแบคทีเรียและจุลินทรีย์ต่างหาก
-
ที่ส่งผลต่อกลิ่นตัวของคุณ
อารมณ์ของคุณ อัตลักษณ์ของคุณ
-
และอื่น ๆ อีกมากมาย
-
และยังมีโมเลกุลอีกมากมาย
ในทุกรูปแบบที่คุณปล่อยออกมา
-
แต่ทว่าเราสามารถรับรู้ได้
ผ่านทางจิตใต้สำนึกเท่านั้น
-
ดังนั้นฉันจึงจำแนกและเก็บสะสม
¶
-
แบคทีเรียจากบริเวณต่าง ๆ
บนร่างกายของฉัน
-
หลังจากได้พูดคุยกับ
นักวิทย์คนหนึ่ง เราก็คิดว่า
-
บางทีส่วนผสมที่สมบูรณ์แบบของตัวฉัน
-
คือ กระดูกไหปลาร้า 10%
ใต้วงแขน 30%
-
จุดซ่อนเร้นอีก 40% และอื่น ๆ
-
และในบางครั้ง ฉันก็ให้นักวิจัย
จากห้องแล็บอื่น ๆ
-
ดมตัวอย่างกลิ่นของตัวฉัน
-
และมันก็เป็นเรื่องน่าสนใจที่
ได้รู้ว่ากลิ่นของตัวเองเป็นอย่างไร
-
เมื่อสูดดมภายนอกร่างกายของฉัน
-
ฉันได้รับคำตอบมากมาย อย่างเช่น
-
กลิ่นเหมือนดอกไม้ เหมือนไก่
-
เหมือนคอร์นเฟลก
-
หรือเหมือนเนื้อย่างรมควัน
-
-
ในขณะเดียวกัน ฉันก็ได้
ปลูกพืชกินแมลงกลุ่มหนึ่ง
¶
-
เพื่อดูความสามารถในการปล่อยกลิ่น
คล้ายเนื้อหนังเพื่อล่อเหยื่อ
-
เพื่อพยายาม แบบว่าสร้าง
ความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกัน
-
ระหว่างแบคทีเรียบนตัวของฉัน
กับพืชกินแมลงชนิดนี้
-
แล้วก็มีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้น
ฉันอยู่ในบาร์แห่งหนึ่งใน MIT
-
และฉันก็กำลังคุยกับนักวิทยาศาสตร์
-
ที่บังเอิญเป็นทั้งนักเคมี
และนักพฤษศาสตร์
-
และฉันก็เล่าเรื่องงานวิจัย
ของฉันให้เขาฟัง
-
แล้วเขาก็ตอบแบบว่า "อืม นี่มันดูเหมือน
พฤกษศาสตร์สำหรับผู้หญิงขี้เหงาเลยนะ"
-
-
ฉันตอบอย่างไม่รีรอว่า "โอเค"
¶
-
ฉันท้าเขาว่า
-
"เราสามารถสร้างต้นพืชที่รักฉันตอบได้ไหม"
-
และเพราะอะไรสักอย่าง
เขาก็ตอบว่า "ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ"
-
ดังนั้น เราจึงเริ่มด้วยคำถามที่ว่า
เราสามารถสร้างพืชที่เบนเข้าหาตัวฉัน
¶
-
ราวกับว่าฉันเป็นดวงอาทิตย์ได้ไหม
-
ฉะนั้น เราจึงศึกษากลไกของพืช
อย่างเช่น การเบนตามแสง (phototropism)
-
ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้พืช
เบนเข้าหาดวงอาทิตย์
-
ด้วยการสร้างฮอร์โมนพวกออกซิน
-
ที่ทำให้เซลล์ยืดตัวตามยาว
ในด้านที่มีร่มเงา
-
และในตอนนี้ฉันก็กำลัง
สร้างลิปสติกชุดหนึ่ง
-
ที่ถูกนำไปแช่ไว้ในสารเคมีจำพวกหนึ่ง
-
ที่ทำให้ฉันสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับต้นพืชได้
ด้วยคุณสมบัติเฉพาะทางเคมีของมัน
-
ลิปสติกที่ทำให้ต้นพืช
โตขึ้นในที่ ๆ ฉันจูบ
-
และทำให้ดอกไม้เบ่งบานขึ้น
เมื่อฉันจูบไปที่ดอกตูม
-
และในระหว่างที่ทำการวิจัยเหล่านี้อยู่
¶
-
ฉันก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า
-
เราจะนิยามธรรมชาติอย่างไร
-
เราจะนิยามอย่างไรในเมื่อเราสามารถ
ปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของมันได้
-
และเราควรทำแบบนั้นเมื่อไร
-
เราควรใช้มันเพื่อทำกำไร
หรือเพื่อประโยชน์ใช้สอย
-
เราสามารถใช้มันเพื่อ
ผลลัพธ์ทางอารมณ์ได้ไหม
-
เราสามารถใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อสร้างผลงาน
ที่เร้าอารมณ์ได้แบบดนตรีหรือไม่
-
อะไรคือจุดต่อระหว่างวิทยาศาสตร์
-
และความสามารถของมัน
ในการเล่นกับความรู้สึกของเรา
-
มันคือวาทกรรมทางการออกแบบอันโด่งดัง
ที่กล่าวว่า "การใช้งานนั้นมาก่อนรูปแบบ"
¶
-
ที่ในตอนนี้อยู่ ณ จุดกึ่งกลางระหว่าง
ศาสตร์ การออกแบบ และศิลป์
-
ฉันจึงได้มีโอกาสถามว่า
-
หรือว่าเรื่องเล่าบ่งบอกข้อเท็จจริงล่ะ
-
ห้องแล็บวิจัยและพัฒนาแบบนั้น
จะมีหน้าตาแบบไหนกัน
-
แล้วเราจะถามคำถาม
แบบไหนไปด้วยกัน
-
เรามักมองว่าเทคโนโลยีคือคำตอบ
¶
-
แต่ในฐานะที่เป็นศิลปินและนักออกแบบ
-
ฉันอยากจะถามว่า "แล้วคำถามนั้นคืออะไรล่ะ"
-
-