Return to Video

ประสบการณ์ในช่วงแรกของชีวิตถูกบันทึกในดีเอ็นเอได้อย่างไร

  • 0:01 - 0:03
    ทุกอย่างถือกำเนิดขึ้นมา
  • 0:03 - 0:05
    ในบาร์มืด ๆ ในกรุงมาดริด
  • 0:05 - 0:09
    ผมพบกับเพื่อนร่วมงานของผม
    ไมเคิล มีนี จากแมคกิล
  • 0:09 - 0:12
    เราก็ดื่มเบียร์กันไปนิดหน่อย
  • 0:12 - 0:14
    และเหมือนกับที่นักวิทยาศาสตร์ทำ ๆ กัน
  • 0:14 - 0:16
    เขาเล่าเรื่องงานให้ผมฟัง
  • 0:16 - 0:23
    และเขาบอกผมว่า เขาสนใจว่า
    แม่หนูเลียลูกเล็ก ๆ ของมัน
  • 0:23 - 0:26
    หลังจากที่พวกมันเกิดอย่างไร
  • 0:26 - 0:28
    และผมก็นั่งอยู่ตรงนั้นและพูดว่า
  • 0:28 - 0:31
    "ภาษีของผมถูกผลาญไปกับเรื่อง --
  • 0:31 - 0:32
    (เสียงหัวเราะ)
  • 0:32 - 0:36
    สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาอะไรเนี่ยนะ"
  • 0:36 - 0:38
    และเขาก็เริ่มบอกผมว่า
  • 0:38 - 0:42
    หนู ก็เหมือนกับมนุษย์
  • 0:42 - 0:44
    พวกมันเลียขนลูก ๆ ในแบบที่แตกต่างกัน
  • 0:44 - 0:47
    แม่บางตัวเลียขนลูกมาก
  • 0:47 - 0:49
    บางตัวก็เลียน้อย
  • 0:49 - 0:52
    และส่วนใหญ่ก็เลียแบบกลางๆ
  • 0:52 - 0:54
    แต่ที่น่าสนใจก็คือ
  • 0:54 - 0:59
    เมื่อเขาติดตามลูกหนูพวกนี้
    ตอนที่มันโตเต็มวัย
  • 0:59 - 1:03
    เทียบได้กับหลายปีต่อมาในช่วงชีวิตมนุษย์
    นานหลังจากที่แม่ของพวกมันตายไปแล้ว
  • 1:03 - 1:05
    พวกมันกลายเป็นสัตว์ที่ไม่เหมือนเดิมเลย
  • 1:05 - 1:09
    หนูที่ถูกแม่เลียขนและดูแลอย่างมาก
  • 1:09 - 1:12
    การเลียขนและดูแลอย่างมากนั้น
  • 1:12 - 1:14
    ทำให้พวกมันไม่เครียด
  • 1:14 - 1:16
    พวกมันมีพฤติกรรมทางเพศที่ต่างออกไป
  • 1:16 - 1:19
    พวกมันมีรูปแบบการดำเนินชีวิต
    ที่แตกต่างออกไป
  • 1:19 - 1:26
    จากพวกหนู
    ที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างมากจากแม่ของมัน
  • 1:26 - 1:29
    แล้วผมก็มาคิดดู
  • 1:29 - 1:31
    นี่มันเวทย์มนต์หรือเปล่า
  • 1:31 - 1:32
    มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
  • 1:32 - 1:35
    นักพันธุศาสตร์อยากให้คุณคิดว่า
  • 1:35 - 1:39
    บางทีแม่อาจมียีน "แม่แย่ ๆ "
  • 1:39 - 1:43
    ที่ทำให้ลูกของพวกมันมีความเครียด
  • 1:43 - 1:46
    และจากนั้น มันก็ส่งต่อ
    จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่น
  • 1:46 - 1:48
    ทั้งหมดนี้ถูกกำหนดโดยพันธุกรรม
  • 1:48 - 1:52
    หรือมันเป็นไปได้ว่ามีอะไรอย่างอื่นเกิดขึ้น
  • 1:52 - 1:55
    ในหนู เราสามารถตั้งคำถามนี้
    และหาคำตอบได้
  • 1:55 - 1:59
    สิ่งที่เราทำก็คือ
    ทำการทดสอบการเลี้ยงดูแบบไขว้
  • 1:59 - 2:04
    เราแยกเจ้าลูกหนูพวกนี้
    ตั้งแต่ตอนที่มันเกิด
  • 2:04 - 2:06
    ไปให้แม่บุญธรรมสองกลุ่ม
  • 2:06 - 2:09
    ไม่ใช่แม่จริง ๆ
    แต่เป็นแม่ที่จะเลี้ยงดูพวกมัน
  • 2:09 - 2:11
    แม่ที่เลียขนลูกมาก
    และแม่ที่เลียขนลูกน้อย
  • 2:11 - 2:16
    และคุณก็ทำในแบบตรงข้ามกัน
    กับลูกหนูที่ถูกเลียน้อย
  • 2:16 - 2:18
    คำตอบที่น่าทึ่งก็คือ
  • 2:18 - 2:22
    ไม่สำคัญเลยว่า
    ยีนใดที่คุณได้มาจากแม่
  • 2:22 - 2:28
    ไม่ใช่แม่แท้ ๆ หรอก
    ที่เป็นตัวกำหนดคุณสมบัตินี้ในลูกหนู
  • 2:28 - 2:33
    แต่เป็นแม่ที่เลี้ยงดูพวกลูกหนูต่างหาก
  • 2:33 - 2:36
    แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
  • 2:37 - 2:39
    ผมเป็นนักอีพีเจเนติกส์
  • 2:39 - 2:42
    ผมสนใจว่ายีนพวกนี้ถูกทำเครื่องหมาย
  • 2:42 - 2:44
    โดยการใช้เครื่องหมายทางเคมีได้อย่างไร
  • 2:44 - 2:49
    ระหว่างการพัฒนาเป็นตัวอ่อน (Embryogenesis)
    ในช่วงที่พวกเราอยู่ในครรภ์มารดา
  • 2:49 - 2:51
    และตัดสินว่ายีนใดจะถูกแสดงออก
  • 2:52 - 2:53
    ในเนื้อเยื่อใด
  • 2:53 - 2:58
    ยีนที่แตกต่างกันถูกแสดงออกในสมอง
    แทนที่จะถูกแสดงออกในตับและตา
  • 2:58 - 3:01
    และเราก็คิดว่า มันจะเป็นไปได้ไหม
  • 3:01 - 3:08
    ที่แม่วางกฏเกณฑ์ใหม่ให้กับยีนของลูก
    ในทางใดทางหนึ่ง
  • 3:08 - 3:09
    ผ่านพฤติกรรมของมัน
  • 3:09 - 3:11
    เราใช้เวลา 10 ปี
  • 3:11 - 3:15
    แล้วก็พบว่ามีเหตุการณ์ทางเคมีชีวภาพ
    ที่ส่งต่อกันเป็นทอด ๆ
  • 3:15 - 3:18
    ซึ่งการเลียและการตกแต่งขน
    การดูแลของแม่
  • 3:18 - 3:21
    ถูกแปลเป็นสัญญาณเคมีชีวภาพ
  • 3:21 - 3:24
    ที่จะเข้าไปยังนิวเคลียสและดีเอ็นเอ
  • 3:24 - 3:26
    และกำหนดเกณฑ์มันให้แตกต่างออกไป
  • 3:26 - 3:31
    เพื่อให้สัตว์พวกนี้เตรียมพร้อมสำหรับการใช้ชีวิต
  • 3:31 - 3:34
    ชีวิตจะแร้นแค้นหรือเปล่า
  • 3:34 - 3:36
    หรือว่าจะมีอาหารอุดมสมบูรณ์
  • 3:36 - 3:38
    จะมีแมวและงูอยู่มากไหม
  • 3:38 - 3:40
    หรือฉันจะอยู่ในเขตชุมชนชั้นสูง
  • 3:40 - 3:43
    ที่ฉันก็แค่ทำตัวให้เหมาะสมดูดี
  • 3:43 - 3:47
    แล้วฉันก็จะได้รับการยอมรับนับหน้าถือตา
  • 3:47 - 3:53
    ตอนนี้คงนึกกันออกแล้วนะครับว่า
    กระบวนการนี้มีความสำคัญขนาดไหน
  • 3:53 - 3:54
    สำหรับชีวิตของเรา
  • 3:54 - 3:57
    เราได้รับดีเอ็นเอตกทอดมาจากบรรพบุรุษ
  • 3:57 - 3:59
    ดีเอ็นเอนั่นเก่าแก่
  • 3:59 - 4:02
    มันเจริญขึ้นตามวิวัฒนาการ
  • 4:02 - 4:06
    แต่มันไม่ได้บอกเรา
    ว่าหากเราเกิดในกรุงสต๊อกโฮล์ม
  • 4:06 - 4:10
    ที่ที่กลางวันยาวนานในฤดูร้อน
    และสั้นในฤดูหนาว
  • 4:10 - 4:11
    หรือในเอกวาดอร์
  • 4:11 - 4:15
    ที่ที่จำนวนชั่วโมงในตอนกลางวัน
    และกลางคืนเท่ากันตลอดทั้งปี
  • 4:15 - 4:19
    และนั่นก็มีผลกระทบอย่างมาก
    ต่อสรีรวิทยาของเรา
  • 4:19 - 4:24
    ฉะนั้น เราจึงเสนอว่า
    บางที อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของชีวิต
  • 4:24 - 4:26
    สัญญาณเหล่านั้นที่ส่งผ่านมาจากแม่
  • 4:26 - 4:30
    บอกกับเด็กว่า สังคมแบบไหน
    ที่พวกเขากำลังจะอาศัยอยู่
  • 4:30 - 4:34
    มันจะแร้นแค้น
    และคุณควรจะตื่นตัวและเครียด
  • 4:34 - 4:37
    หรือมันจะเป็นโลกที่เรียบง่าย
    และคุณจะต้องทำตัวให้แตกต่าง
  • 4:37 - 4:40
    จะเป็นโลกที่มีแสงมากหรือน้อย
  • 4:40 - 4:44
    จะเป็นโลกที่มีอาหารมากหรือน้อย
  • 4:44 - 4:46
    หรือถ้าไม่มีอาหารอยู่ใกล้ ๆ
  • 4:46 - 4:50
    คุณก็ควรที่จะพัฒนาสมอง
    ให้สั่งให้กินเยอะๆ เมื่อเห็นอาหาร
  • 4:50 - 4:56
    หรือเก็บอาหารทุกหยาดหยด
    ที่กินเข้าไปในรูปของไขมัน
  • 4:57 - 4:58
    นี่เป็นสิ่งที่ดี
  • 4:58 - 5:00
    วิวัฒนาการเลือกสิ่งนี้
  • 5:00 - 5:05
    เพื่อทำให้ดีเอ็นเอที่ไม่ยืดหยุ่นและเก่าแก่ของเรา
    ทำหน้าที่แบบยืดหยุ่นได้
  • 5:05 - 5:07
    ในสิ่งแวดล้อมใหม่
  • 5:07 - 5:10
    แต่ในบางครั้ง บางอย่างก็เกิดผิดพลาด
  • 5:11 - 5:15
    ยกตัวอย่างเช่น
    ถ้าคุณเกิดมาในครอบครัวยากจน
  • 5:15 - 5:18
    และสัญญาณบอกคุณว่า "คุณจะต้องกินไม่ยั้ง
  • 5:18 - 5:21
    กินอาหารที่เจอเข้าไปให้เกลี้ยง"
  • 5:21 - 5:23
    แต่ตอนนี้ มนุษย์เราและสมองของเรา
    ได้มีวิวัฒนาการ
  • 5:23 - 5:25
    ได้เปลี่ยนให้วิวัฒนาการเร็วขึ้นกว่าเก่า
  • 5:25 - 5:29
    ตอนนี้คุณใช้เงินแค่หนึ่งดอลลาร์
    ก็ซื้อเบอร์เกอร์ได้
  • 5:29 - 5:35
    ดังนั้น การเตรียมตัว
    ที่เราได้มาจากแม่ของเรา
  • 5:35 - 5:38
    กลับกลายเป็นการปรับตัวที่ไม่เหมาะสม
  • 5:38 - 5:43
    การเตรียมตัวแบบเดียวกันนี้
    ที่ควรช่วยปกป้องเราจากความหิวโหยและอดอยาก
  • 5:43 - 5:45
    กำลังจะทำให้เราเป็นโรคอ้วน
  • 5:45 - 5:49
    มีปัญหาหลอดเลือดหัวใจ
    และโรคที่เกี่ยวข้องกับเมตาบอลิซึม
  • 5:49 - 5:52
    เพราะฉะนั้น แนวคิดที่ว่า
    ยีนอาจถูกติดฉลากโดยประสบการณ์ของเรา
  • 5:52 - 5:54
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    ประสบการณ์ช่วงแรก ๆ ของชีวิต
  • 5:54 - 5:57
    ทำให้ได้คำอธิบาย
    ที่ทั้งเรื่องสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บ
  • 5:57 - 6:01
    สามารถใช้ร่วมกันได้
  • 6:01 - 6:03
    แต่มันเป็นจริงแค่กับหนูหรือเปล่า
  • 6:03 - 6:06
    ปัญหาก็คือ เราไม่สามารถ
    ทำการทดสอบในมนุษย์ได้
  • 6:06 - 6:10
    เพราะตามจริยธรรมแล้ว
    เราไม่สามารถสุ่มเลือกเคราะห์กรรมให้เด็กแต่ละคนได้
  • 6:10 - 6:13
    หากเด็กยากจนพัฒนาคุณลักษณะบางอย่าง
  • 6:13 - 6:17
    เราไม่อาจรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะความอดอยาก
  • 6:17 - 6:20
    หรือเกิดขึ้น
    เพราะคนจนมียีนที่ไม่ดีหรือเปล่า
  • 6:20 - 6:23
    ฉะนั้น นักพันธุศาสตร์
    จะพยายามบอกคุณว่า คนจนนั้นจน
  • 6:23 - 6:25
    เพราะว่ายีนของพวกเขาทำให้พวกเขาจน
  • 6:25 - 6:27
    นักอีพิเจเนติกส์จะบอกคุณว่า
  • 6:27 - 6:31
    คนจนอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี
    หรือสิ่งแวดล้อมที่ยากจน
  • 6:31 - 6:36
    ซึ่งสร้างให้เกิดลักษณะปรากฏ (Phenotype)
    ของความยากจนและเกิดคุณลักษณะยากจนนั้น
  • 6:36 - 6:42
    เราจึงลองไปศึกษากัน
    ในญาติของเรา ซึ่งก็คือลิง
  • 6:42 - 6:46
    เพื่อนร่วมงานของผม
    สตีเฟน ซุโอมี่ ได้เลี้ยงดูลิง
  • 6:46 - 6:47
    ด้วยสองวิธีการที่แตกต่างกัน
  • 6:47 - 6:50
    สุ่มแยกลิงจากแม่
  • 6:50 - 6:53
    เลี้ยงดูพวกมันด้วยพยาบาล
  • 6:53 - 6:55
    และสภาวะที่ใช้แม่เทียม
  • 6:55 - 6:58
    ฉะนั้น ลิงเหล่านี้จึงไม่มีแม่ลิง
    พวกมันมีแต่พยาบาล
  • 6:58 - 7:03
    ส่วนลิงอีกพวกหนึ่งถูกเลี้ยงดู
    โดยแม่ตามปกติธรรมชาติ
  • 7:03 - 7:08
    เมื่อพวกมันมีอายุมากขึ้น
    มันกลายเป็นสัตว์ที่ไม่เหมือนเดิมเลย
  • 7:08 - 7:11
    ลิงที่มีแม่ ไม่ดื่มเหล้า
  • 7:11 - 7:12
    พวกมันไม่มีพฤติกรรมทางเพศที่รุนแรง
  • 7:12 - 7:16
    ลิงที่ไม่มีแม่นั้นก้าวร้าวและเครียด
  • 7:16 - 7:18
    และติดเหล้า
  • 7:18 - 7:24
    เราศึกษาดีเอ็นเอของพวกมัน
    หลังจากพวกมันเพิ่งเกิด เพื่อดูว่า
  • 7:24 - 7:27
    เป็นไปได้หรือไม่
    ที่แม่จะเป็นผู้ทำเครื่องหมาย
  • 7:27 - 7:32
    มีลักษณะเฉพาะตัวของแม่
    ในดีเอ็นเอของลูกหรือเปล่า
  • 7:32 - 7:34
    นี่คือลิงอายุ 14 วัน
  • 7:34 - 7:39
    และที่คุณเห็นอยู่ตรงนี้
    คือวิธีการใหม่ในการศึกษาอีพีเจเนติกส์
  • 7:39 - 7:43
    ตอนนี้เราสามารถระบุตำแหน่งเครื่องหมายเชิงเคมี
    ซึ่งเราเรียกมันว่า เครื่องหมายเมทิเลชัน
  • 7:43 - 7:46
    ทำบนดีเอ็นเอที่ความคมชัดหนึ่งนิวคลีโอไทด์
  • 7:46 - 7:48
    เราสามารถระบุตำแหน่งได้ทั้งจีโนม
  • 7:48 - 7:51
    เราสามารถเปรียบเทียบ
    ลิงที่มีแม่หรือไม่มีได้
  • 7:51 - 7:53
    และนี่คือการนำเสนอด้วยภาพ
    ของกระบวนการนี้
  • 7:53 - 7:58
    ที่คุณกำลังดูอยู่นี้คือยีน
    ที่ถูกเมทิเลตมากกว่า เป็นสีแดง
  • 7:58 - 8:01
    ยีนที่ถูกเมทิเลตน้อยกว่า จะเป็นสีเขียว
  • 8:01 - 8:04
    คุณจะเห็นว่ายีนมากมายกำลังเปลี่ยนแปลง
  • 8:04 - 8:06
    เพราะว่าการไม่มีแม่
    ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเล็กน้อย
  • 8:07 - 8:08
    มันส่งผลกับทุกอย่าง
  • 8:08 - 8:12
    มันส่งสัญญาณเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง
    ว่าโลกของคุณจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
  • 8:12 - 8:13
    เมื่อคุณกลายเป็นผู้ใหญ่
  • 8:13 - 8:16
    และคุณจะเห็นว่า ลิงสองกลุ่มนี้
  • 8:16 - 8:19
    ได้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน
  • 8:19 - 8:22
    มันเกิดขึ้นเร็วแค่ไหนหรือ
  • 8:22 - 8:24
    ลิงพวกนี้ไม่มีแม่มาก่อน
  • 8:24 - 8:26
    จากนั้นพวกมันจึงมีประสบการณ์ทางสังคม
  • 8:26 - 8:31
    เราสัมผัสได้ถึงสถานะทางสังคม
    ตั้งแต่ตอนที่เราเกิดเลยหรือเปล่า
  • 8:31 - 8:35
    ในการทดลองนี้ เราจึงนำรกของลิง
  • 8:35 - 8:38
    ที่มีสถานะทางสังคมแตกต่างกันมา
  • 8:38 - 8:43
    สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับระดับชั้นทางสังคม
    ก็คือในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
  • 8:43 - 8:46
    พวกมันจะจัดตำแหน่งตัวเอง
    ในแบบที่ลดหลั่นกันมา
  • 8:46 - 8:49
    ลิงหมายเลขหนึ่ง คือหัวหน้า
  • 8:49 - 8:51
    ลิงหมายเลขสี่ คือผู้รับใช้
  • 8:51 - 8:53
    เรานำลิงทั้งสี่มาใส่ในกรง
  • 8:53 - 8:57
    มันจะมีหัวหน้าและผู้รับใช้เสมอ
  • 8:57 - 9:01
    และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ
    ลิงหมายเลขหนึ่ง
  • 9:01 - 9:05
    มีสุขภาพที่ดีกว่าลิงหมายเลขสี่
  • 9:05 - 9:07
    และถ้าคุณเอาพวกมันใส่ในกรง
  • 9:07 - 9:11
    ลิงหมายเลขหนึ่งจะไม่กินอะไรมาก
  • 9:11 - 9:14
    ลิงหมายเลขสี่จะกินเยอะเลย
  • 9:14 - 9:18
    และที่คุณเห็นอยู่นี่
    การระบุตำแหน่งเมทิเลชัน
  • 9:18 - 9:21
    คือการแบ่งแยกอย่างมากตั้งแต่เกิด
  • 9:21 - 9:24
    ระหว่างสัตว์ที่มีสถานะทางสังคมสูง
  • 9:24 - 9:27
    กับสัตว์ที่ไม่ได้มีสถานะทางสังคมที่สูง
  • 9:27 - 9:32
    ฉะนั้น เมื่อเราเกิดมา
    เราก็ได้รับรู้ถึงข้อมูลทางสังคมแล้ว
  • 9:32 - 9:35
    และข้อมูลทางสังคมนั้น
    ก็ไม่ได้ดีหรือร้าย
  • 9:35 - 9:36
    มันแค่เตรียมเราให้พร้อมสำหรับชีวิต
  • 9:36 - 9:40
    เพราะว่าเราจะต้องกำหนดเกณฑ์
    ทางชีววิทยาของเราให้แตกต่างกันออกไป
  • 9:40 - 9:44
    ถ้าเราอยู่ในสถานะทางสังคมที่สูงหรือต่ำ
  • 9:44 - 9:47
    แต่เราจะศึกษาสิ่งนี้ในมนุษย์ได้อย่างไร
  • 9:47 - 9:50
    เราไม่สามารถทำการทดลองได้
    เราไม่สามารถกำหนดชะตากรรมให้มนุษย์ได้
  • 9:50 - 9:53
    แต่พระเจ้าได้ทำการทดลองกับมนุษย์
  • 9:53 - 9:55
    และมันมีชื่อว่า ภัยธรรมชาติ
  • 9:55 - 9:59
    หนึ่งในภัยทางธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุด
    ในประวัติศาสตร์ของแคนาดา
  • 9:59 - 10:02
    เกิดขึ้นในแคว้นควิเบคที่ผมอาศัยอยู่
  • 10:02 - 10:04
    ซึ่งนั่นก็คือ พายุหิมะในปี ค.ศ. 1998
  • 10:04 - 10:08
    เราถูกตัดขาดจากระบบการจ่ายไฟฟ้าทั้งหมด
    เพราะพายุน้ำแข็ง
  • 10:08 - 10:11
    และนั่นเป็นตอนที่อุณหภูมิ
    อยู่ในช่วงที่หนาวที่สุดของฤดูหนาว
  • 10:11 - 10:13
    ก็คือ ลบ 20 ถึง ลบ 30 องศา
  • 10:13 - 10:16
    และตอนนั้นก็มีผู้หญิงท้อง
  • 10:16 - 10:22
    เพื่อนร่วมงานของผม
    ซูซาน คิง ได้ติดตามลูกของคุณแม่กลุ่มนี้
  • 10:22 - 10:25
    เป็นเวลา 15 ปี
  • 10:25 - 10:29
    และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
    เมื่อความเครียดเพิ่มขึ้น --
  • 10:29 - 10:31
    เรามีเครื่องมือวัดความเครียด
    ที่ไม่อิงความรู้สึก
  • 10:31 - 10:36
    คุณอยู่โดยไม่มีไฟฟ้านานแค่ไหน
    คุณไปอยู่ที่ไหน
  • 10:36 - 10:41
    คุณอยู่ที่บ้านของแม่สามี
    หรือในบ้านต่างจังหวัดที่หรูหรา
  • 10:41 - 10:44
    ทั้งหมดนั้นถูกรวบรวม
    เป็นระดับความเครียดทางสังคม
  • 10:44 - 10:45
    ทำให้คุณสามารถตั้งคำถามได้ว่า
  • 10:45 - 10:48
    เด็กจะเป็นอย่างไร
  • 10:48 - 10:51
    และปรากฏว่า เมื่อความเครียดเพิ่มขึ้น
  • 10:51 - 10:53
    เด็กเป็นโรคออทิสติกมากขึ้น
  • 10:53 - 10:55
    พวกเขาเป็นโรคที่เกี่ยวข้อง
    กับเมตาบอลิซีมมากขึ้น
  • 10:55 - 10:59
    และเป็นโรคแพ้ภูมิ (Autoimmune disease)
    กันมากขึ้น
  • 10:59 - 11:01
    เราสามารถที่จะระบุตำแหน่งสถานะเมทิเลชันได้
  • 11:01 - 11:07
    และอีกครั้ง คุณจะเห็นยีนสีเขียว
    กลายเป็นสีแดง เมื่อความเครียดเพิ่มขึ้น
  • 11:07 - 11:10
    ยีนสีแดงกลายเป็นสีเขียว
    เมื่อความเครียดเพิ่มขึ้น
  • 11:10 - 11:17
    เป็นการจัดเรียงจีโนมใหม่ทั้งหมด
    เพื่อตอบสนองต่อความเครียด
  • 11:17 - 11:21
    ถ้าเราวางกฏเกณฑ์ยีนได้
  • 11:21 - 11:25
    ถ้าเราไม่ได้เป็นเพียงแค่ทาส
    ของประวัติศาสตร์ของยีนของเรา
  • 11:25 - 11:28
    ถ้ายีนได้ถูกวางกฏเกณฑ์ไว้แล้ว
    เราจะล้างกฎเกณฑ์นั้นได้ไหม
  • 11:28 - 11:34
    เพราะว่าอีพิเจเนติกคือต้นเหตุ
    ที่ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็ง
  • 11:34 - 11:35
    โรคที่เกี่ยวข้องกับเมตาบอลิซึม
  • 11:35 - 11:38
    และโรคทางจิตเวช
  • 11:38 - 11:42
    ลองมาคุยถึงเรื่องการติดโคเคนกัน
  • 11:42 - 11:45
    การติดโคเคนเป็นภาวะที่แย่มาก
  • 11:45 - 11:50
    ที่นำไปสู่ความตาย
    และสูญสิ้นชีวิตมนุษย์
  • 11:50 - 11:52
    เราตั้งคำถามว่า
  • 11:52 - 11:55
    เราจะสามารถวางกฏเกณฑ์ใหม่
    ให้กับสมองที่เสพติดได้ไหม
  • 11:55 - 12:00
    เพื่อให้สัตว์ทดลองนั้นไม่เสพติดอีก
  • 12:00 - 12:05
    เราใช้แบบจำลองการเสพติดโคเคน
  • 12:05 - 12:07
    ที่จำลองกระบวนการที่เกิดขึ้นจริงในมนุษย์
  • 12:07 - 12:09
    ในมนุษย์ คุณกำลังเป็นเด็กมัธยม
  • 12:09 - 12:12
    เพื่อนบางคนชวนให้คุณลองเสพโคเคน
  • 12:12 - 12:13
    คุณก็ลองเสพดู
    ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย
  • 12:13 - 12:18
    หลายเดือนผ่านไป บางสิ่งย้ำเตือนคุณ
    เกี่ยวกับการลองเสพยาครั้งแรก
  • 12:18 - 12:19
    หลอดยาที่ดันโคเคนเข้าไป
  • 12:19 - 12:22
    คุณเสพติดมัน
    และชีวิตของคุณก็เปลี่ยนไป
  • 12:22 - 12:24
    ในหนู เราทำอย่างเดียวกัน
  • 12:24 - 12:25
    เพื่อนร่วมงานของผม แกล ยาดิด
  • 12:25 - 12:28
    เขาฝึกให้สัตว์ทดลองคุ้นเคยกับโคเคน
  • 12:28 - 12:32
    จากนั้นไม่ให้โคเคน เป็นเวลาหนึ่งเดือน
  • 12:32 - 12:35
    ต่อมา เขาทำให้พวกมันนึกถึงงานเลี้ยง
    ที่ได้เห็นโคเคนเป็นครั้งแรก
  • 12:35 - 12:38
    โดยใช้สีของกรงเป็นนัยบอก
    ถึงตอนที่พวกมันเห็นโคเคน
  • 12:38 - 12:40
    แล้วพวกมันก็เกิดบ้าคลั่ง
  • 12:40 - 12:42
    พวกมันจะกดคันโยกที่เปิดช่องให้อาหาร
    เพื่อให้ได้โคเคน
  • 12:42 - 12:44
    จนมันตาย
  • 12:44 - 12:48
    ตอนแรกพวกเรามั่นใจว่า
    ความแตกต่างระหว่างสัตว์เหล่านี้
  • 12:48 - 12:51
    คือในช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
  • 12:51 - 12:53
    ตอนที่ไม่มีการให้โคเคน
  • 12:53 - 12:55
    อีพีจีโนมของพวกมันถูกจัดเรียงใหม่
  • 12:55 - 12:58
    ยีนของพวกมันถูกทำเครื่องหมายใหม่
    ในแบบที่ต่างออกไป
  • 12:58 - 13:02
    และเมื่อมีอะไรที่เตือนความจำ
    จีโนมของพวกมันก็พร้อม
  • 13:02 - 13:05
    ที่จะพัฒนาลักษณะปรากฏ
    ที่เกี่ยวกับการเสพติดนี้
  • 13:05 - 13:11
    ฉะนั้น เราให้ยากับสัตว์ทดลอง
    ที่จะเพิ่มดีเอ็นเอเมทิเลชัน
  • 13:11 - 13:14
    ซึ่งเป็นเครื่องหมายอีพีเจเนติกส์ที่เราสนใจ
  • 13:14 - 13:17
    หรือลดการทำเครื่องหมายอีพีเจเนติกส์
  • 13:17 - 13:20
    และเราก็พบว่า
    ถ้าเราเพิ่มเมทิเลชัน
  • 13:20 - 13:22
    สัตว์เหล่านี้บ้าคลั่งหนักกว่าเดิม
  • 13:22 - 13:25
    พวกมันอยากโคเคนมากกว่าเดิม
  • 13:25 - 13:28
    แต่ถ้าเราลดดีเอ็นเอเมทิเลชัน
  • 13:28 - 13:30
    สัตว์เหล่านี้จะไม่เสพติดโคเคนอีก
  • 13:30 - 13:32
    เราได้กำหนดกฎเกณฑ์ให้พวกมันใหม่
  • 13:32 - 13:35
    และความแตกต่างพื้นฐาน
    ระหว่างยาอีพีเจเนติกส์
  • 13:35 - 13:37
    และยาชนิดอื่น
  • 13:37 - 13:39
    ก็คือ ด้วยยาอีพีเจเนติกส์
  • 13:39 - 13:43
    เราจะสามารถลบร่องรอย
    ของประสบการณ์ออกไปได้
  • 13:43 - 13:45
    และเมื่อพวกมันหายไปแล้ว
  • 13:45 - 13:48
    พวกมันจะไม่กลับมาอีก
    เว้นเสียแต่ว่าคุณจะได้รับประสบการณ์เดิม
  • 13:48 - 13:50
    ตอนนี้สัตว์ได้รับการกำหนดกฏเกณฑ์ใหม่
  • 13:50 - 13:54
    และเมื่อเราเข้าไปเยี่ยมพวกมันอีก
    ใน 30 วันและ 60 วันต่อมา
  • 13:54 - 13:57
    ซึ่งเทียบได้กับเวลาหลายปีในชีวิตมนุษย์
  • 13:57 - 14:05
    พวกมันยังไม่กลับไปติดยาอีก หลังจากการรักษา
    ด้วยยาอีพีเจเนติกส์เพียงครั้งเดียว
  • 14:05 - 14:08
    แล้วเราได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับดีเอ็นเอ
  • 14:08 - 14:11
    ดีเอ็นเอไม่ได้เป็นเพียงลำดับตัวอักษร
  • 14:11 - 14:13
    มันไม่ใช่แค่บทภาพยนต์
  • 14:13 - 14:16
    ดีเอ็นเอเป็นภาพยนต์ที่เปลี่ยนแปลงได้
  • 14:16 - 14:21
    ประสบการณ์ของเราถูกบันทึกในภาพยนต์นี้
    ซึ่งมันโต้ตอบกับคนดูได้
  • 14:21 - 14:25
    เหมือนกับการชมภาพยนต์
    เกี่ยวกับชีวิตของด้วยคุณดีเอ็นเอ
  • 14:25 - 14:27
    โดยใช้รีโมทคอนโทรล
  • 14:27 - 14:31
    คุณสามารถเอานักแสดงออก
    หรือเพิ่มนักแสดงได้
  • 14:31 - 14:37
    คุณสามารถควบคุมได้ว่ายีนของคุณ
    จะมีหน้าตาอย่างไร
  • 14:37 - 14:40
    นอกจากการถูกกำหนดด้วยดีเอ็นเอ
    ตามธรรมชาติ
  • 14:40 - 14:44
    และนี่เป็นข่าวดีมากๆ
  • 14:44 - 14:47
    ว่าเราจะมีความสามารถใน
    เผชิญกับโรคร้าย
  • 14:47 - 14:50
    อย่างเช่น โรคมะเร็ง, โรคทางจิตเวช
  • 14:50 - 14:53
    ได้ด้วยแนวความคิดแบบใหม่
  • 14:53 - 14:56
    ว่าพวกมันคือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เหมาะสม
  • 14:56 - 14:59
    และถ้าเราสามารถแทรกแซง
    กระบวนการอีพิเจเนติก
  • 14:59 - 15:02
    เราจะสามารถย้อนภาพยนต์นี้
    ด้วยการเอานักแสดงออก
  • 15:02 - 15:06
    และจัดวางการดำเนินเรื่องใหม่
  • 15:06 - 15:09
    ฉะนั้น สิ่งที่ผมบอกคุณในวันนี้
  • 15:09 - 15:14
    ก็คือ ดีเอ็นเอของเรานั้น
    ประกอบด้วยสองส่วน
  • 15:14 - 15:16
    ข้อมูลสองชั้น
  • 15:16 - 15:20
    ชั้นหนึ่งของข้อมูลนั้นเก่าแก่
  • 15:20 - 15:23
    มีวิวัฒนาการมาเป็นเวลาหลายล้านปี
  • 15:23 - 15:27
    มันไม่ยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงยาก
  • 15:27 - 15:31
    ข้อมูลอีกชั้นหนึ่งคือชั้นอีพีเจเนติกส์
  • 15:31 - 15:35
    ซึ่งเปิดกว้างและยืดหยุ่น
  • 15:35 - 15:40
    และสามารถสร้างการดำเนินเรื่องแบบใหม่
    ที่โต้ตอบกับประสบการณ์ที่พบได้
  • 15:40 - 15:48
    ทำให้เราสามารถควบคุม
    ชะตากรรมส่วนใหญ่ของเรา
  • 15:48 - 15:51
    เพื่อช่วยกำหนดชะตากรรม
    ของลูกหลานของเรา
  • 15:51 - 15:55
    และหวังว่ามันจะช่วยให้เรา
    เอาชนะโรคร้าย
  • 15:55 - 16:00
    ความท้าทายเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพร้ายแรง
  • 16:00 - 16:03
    ที่ก่อพิบัติภัยแก่มนุษยชาติมาแสนนาน
  • 16:03 - 16:07
    ฉะนั้น แม้ว่าเราจะถูกกำหนด
  • 16:07 - 16:09
    โดยยีนของเรา
  • 16:09 - 16:12
    เราก็ยังพอมีอิสระ
  • 16:12 - 16:16
    ที่จะสามารถจัดรูปแบบชีวิตของเรา
    ให้เป็นชีวิตที่เราออกแบบเองได้
  • 16:16 - 16:17
    ขอบคุณครับ
  • 16:17 - 16:22
    (เสียงปรบมือ)
Title:
ประสบการณ์ในช่วงแรกของชีวิตถูกบันทึกในดีเอ็นเอได้อย่างไร
Speaker:
โมเช ชิฟ (Moshe Szyf)
Description:

โมเช ชิฟ เป็นผู้นำในสาขาอีพีเจเนติกส์ ซึ่งเป็นสาขาที่ศึกษาว่าสิ่งมีชีวิตกำหนดกฏเกณฑ์ใหม่ให้จีโนมของพวกมัน เพื่อตอบสนองต่อปัจจัยต่าง ๆ เช่นความเครียด และการขาดอาหาร อย่างไร การวิจัยของเขาเสนอว่าสัญญาณทางชีวเคมีถูกส่งต่อจากแม่สู่ลูก บอกกับลูกว่าเขากำลังจะได้เผชิญกับโลกแบบไหน ซึ่งเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของยีน "ดีเอ็นเอไม่ได้เป็นเพียงลำดับตัวอักษร มันไม่ใช่แค่บทภาพยนต์" สซิฟกล่าว "ดีเอ็นเอเป็นภาพยนต์ที่เปลี่ยนแปลงได้ซึ่งเป็นบันทึกประสบการณ์ของเรา"

more » « less
Video Language:
English
Team:
closed TED
Project:
TEDTalks
Duration:
16:35

Thai subtitles

Revisions