1 00:00:10,417 --> 00:00:14,584 เราเสียเวลาในโรงเรียนไปมาก เพื่อเรียนรู้เรื่องการสะกดคำ 2 00:00:15,234 --> 00:00:21,239 เด็ก ๆ ในโรงเรียน ก็ยังคงเสียเวลาไปมากกับการสะกดคำ 3 00:00:22,149 --> 00:00:25,801 ดังนั้น ฉันจึงอยากแบ่งปันคำถามหนึ่ง กับพวกคุณซึ่งก็คือ 4 00:00:27,125 --> 00:00:31,071 "จำเป็นจะต้องมี การสะกดคำใหม่หรือไม่" 5 00:00:31,072 --> 00:00:33,389 ฉันเชื่อว่าคำตอบคือใช่ มันจำเป็นต้องมี 6 00:00:33,390 --> 00:00:38,268 หรือจะให้ดีกว่านั้น ฉันเชื่อว่าเราต้องทำให้ การสะกดคำที่เรามีอยู่แล้วให้ง่ายขึ้น 7 00:00:38,269 --> 00:00:42,639 ทั้งคำถามและคำตอบนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ในภาษาสเปนเลย 8 00:00:42,640 --> 00:00:47,334 นี่เป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดหลายศตวรรษ 9 00:00:47,336 --> 00:00:52,249 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1492 ในหลักไวยากรณ์แรก ของภาษาสเปน 10 00:00:52,250 --> 00:00:58,415 แอนโตนิโอ เด เนบริฆา บัญญัติหลักการสะกดคำ ของเราไว้อย่างชัดเจนและเรียบง่ายว่า 11 00:00:58,416 --> 00:01:00,816 "ด้วยเหตุนี้ เราต้องเขียนอย่างที่เราออกเสียง 12 00:01:00,816 --> 00:01:03,816 และออกเสียงอย่างที่เราเขียน" 13 00:01:03,816 --> 00:01:07,292 แต่ละเสียงควรถูกแทนด้วยหนึ่งตัวอักษร 14 00:01:07,293 --> 00:01:10,292 และแต่ละตัวอักษรควรเป็นตัวแทน ของเสียงเดียวเท่านั้น 15 00:01:10,293 --> 00:01:15,496 และตัวอักษรที่ไม่ได้แทนเสียงใด ๆ ก็ควรถูกตัดทิ้งไป 16 00:01:16,533 --> 00:01:19,495 กฎเกณฑ์นี้ กฎเกณฑ์ทางสัทศาสตร์ 17 00:01:19,496 --> 00:01:23,136 - ที่บอกว่าเราต้องเขียนตามที่เราออกเสียง - 18 00:01:23,137 --> 00:01:27,443 ทั้งมีอยู่ และไม่มีอยู่ ในรากฐาน ของการสะกดคำที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ 19 00:01:27,977 --> 00:01:31,960 ที่มีอยู่เพราะว่าภาษาสเปนต่างจากภาษาอื่น ๆ 20 00:01:31,961 --> 00:01:33,925 อย่างภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศส 21 00:01:33,926 --> 00:01:36,364 ที่ต่อต้านอย่างหนักเสมอมา 22 00:01:36,365 --> 00:01:40,708 ต่อการเขียนที่แตกต่าง จากการออกเสียงมากเกินไป 23 00:01:40,709 --> 00:01:44,043 แต่กฎเกณฑ์ที่ว่าไม่มีอยู่ เพราะเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 24 00:01:44,054 --> 00:01:47,468 มีการตัดสินใจว่าจะทำให้การเขียน ของพวกเราเป็นแบบแผนเดียวกันอย่างไร 25 00:01:47,469 --> 00:01:51,908 ยังมีอีกกฎเกณฑ์หนึ่ง ที่ชี้นำส่วนสำคัญในการตัดสินใจ 26 00:01:51,909 --> 00:01:54,885 กฎเกณฑ์อื่นที่ว่า คือ นิรุกติศาสตร์ 27 00:01:54,902 --> 00:01:57,130 ซึ่งบอกว่าเราจะต้องเขียน 28 00:01:57,131 --> 00:02:00,169 ตามที่คำดั้งเดิมในภาษาต้นกำเนิดนั้น ๆ 29 00:02:00,170 --> 00:02:01,735 ในภาษาละติน ในภาษากรีก เป็นต้น 30 00:02:01,736 --> 00:02:06,133 และด้วยเหตุนี้ เราจึงมีตัว H ที่ไม่ได้แทนเสียงใด ๆ ซึ่งเราเขียน แต่เราไม่ได้ออกเสียง 31 00:02:06,134 --> 00:02:09,501 ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีทั้งตัว B และตัว V 32 00:02:09,506 --> 00:02:11,871 ซึ่งตรงข้ามกับที่คนส่วนใหญ่เชื่อกัน 33 00:02:11,872 --> 00:02:15,310 การออกเสียงตัวอักษรทั้งสองในภาษาสเปน ไม่เคยแตกต่างกันเลย 34 00:02:15,905 --> 00:02:20,283 ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีตัว G ที่มีเสียงหนัก อย่างคำว่า "gente" (เฆนเต) 35 00:02:20,284 --> 00:02:23,141 และบางครั้งก็ออกเสียงอ่อน อย่างคำว่า "gato" (กาโต) 36 00:02:23,142 --> 00:02:26,433 ด้วยเหตุนี้ เราจึงมี C, S และ Z 37 00:02:27,490 --> 00:02:30,741 ตัวอักษรทั้งสามที่ในบางพื้นที่แทนเสียงเดียว 38 00:02:30,742 --> 00:02:33,323 และในพื้นที่อื่น ๆ ก็สองเสียง แต่ไม่มีที่ใดที่แทนสามเสียง 39 00:02:35,420 --> 00:02:37,438 ฉันไม่ได้จะมาเล่าอะไร 40 00:02:37,439 --> 00:02:39,839 ที่พวกคุณไม่รู้จากประสบการณ์ของตัวเอง 41 00:02:40,466 --> 00:02:43,437 พวกเราทุกคนต่างก็ไปโรงเรียน 42 00:02:43,438 --> 00:02:48,275 พวกเราทุกคนลงทุนเวลามากมาย ไปกับการเรียนรู้ 43 00:02:48,277 --> 00:02:53,102 เวลามากมายของสมอง ที่ปั้นแต่งได้และเยาว์วัย 44 00:02:53,103 --> 00:02:54,578 ถูกใช้ไปกับการเขียนตามคำบอก 45 00:02:54,581 --> 00:02:59,505 กับการท่องจำหลักการสะกดคำ ที่อย่างไรก็ดี เต็มไปด้วยข้อยกเว้น 46 00:03:00,420 --> 00:03:04,229 พวกเราถูกถ่ายทอดความคิดในหลายรูปแบบ ทั้งโดยตรงและโดยนัยว่า 47 00:03:04,230 --> 00:03:06,415 การสะกดคำนั้น 48 00:03:06,416 --> 00:03:09,823 มีบทบาทระดับฐานรากบางอย่าง ในการศึกษาของพวกเรา 49 00:03:10,719 --> 00:03:12,836 อย่างไรก็ตาม ฉันมีความรู้สึก 50 00:03:12,837 --> 00:03:16,744 ว่าเหล่าครูบาอาจารย์ไม่ได้ตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าทำไมมันถึงได้สำคัญนัก 51 00:03:16,745 --> 00:03:19,896 รวมไปถึง การไม่ได้ตั้งคำถาม ที่มีมาก่อนหน้านั้นว่า 52 00:03:19,897 --> 00:03:22,439 การสะกดคำทำหน้าที่อะไร 53 00:03:23,009 --> 00:03:26,264 การสะกดคำมีไว้ทำไม 54 00:03:27,575 --> 00:03:30,440 และความจริงก็คือ เมื่อมีใครตั้งคำถามนี้ 55 00:03:30,454 --> 00:03:34,184 คำตอบที่ได้ก็ค่อนข้างจะเรียบง่าย และไม่ได้ก้าวพ้นไป 56 00:03:34,203 --> 00:03:35,529 จากสิ่งที่มักจะเชื่อกัน 57 00:03:36,282 --> 00:03:40,105 การสะกดคำมีไว้ เพื่อทำให้การเขียนมีรูปแบบเดียว 58 00:03:40,703 --> 00:03:42,900 เพื่อให้พวกเราทุกคนเขียนเหมือนกันหมด 59 00:03:42,901 --> 00:03:47,072 ดังนั้น มันจึงง่ายกว่าสำหรับพวกเรา ที่จะเข้าใจเมื่อพวกเราอ่านกัน 60 00:03:47,776 --> 00:03:50,997 ทว่า ตรงกันข้ามกับแง่มุมอื่น ๆ ของภาษา 61 00:03:50,999 --> 00:03:53,319 อย่างเช่นการใช้เครื่องหมายวรรคตอน 62 00:03:53,333 --> 00:03:59,443 การสะกดคำไม่สามารถให้การแสดงออกใด ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ 63 00:03:59,444 --> 00:04:00,888 แต่เครื่องหมายวรรคตอน ทำได้ 64 00:04:01,617 --> 00:04:05,586 ด้วยเครื่องหมายวรรคตอน ฉันสามารถ เลือกเปลี่ยนตามความหมายของประโยค 65 00:04:05,597 --> 00:04:06,954 ด้วยเครื่องหมายวรรคตอน 66 00:04:06,955 --> 00:04:10,916 ฉันสามารถกำหนดจังหวะเฉพาะ ลงไปในสิ่งที่ฉันกำลังเขียน 67 00:04:10,917 --> 00:04:13,572 แต่กับการสะกดคำแล้ว มันทำไม่ได้ 68 00:04:13,573 --> 00:04:16,909 การสะกดคำ มีแต่ถูกหรือผิด 69 00:04:16,910 --> 00:04:20,255 อยู่ที่ว่ามันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ในปัจจุบันหรือไม่ 70 00:04:21,130 --> 00:04:22,153 ดังนั้นแล้ว 71 00:04:22,154 --> 00:04:26,427 มันจะไม่สมเหตุสมผลเหตุผลมากกว่าหรือ ที่จะทำให้กฎเกณฑ์ในปัจจุบันเรียบง่ายขึ้น 72 00:04:26,428 --> 00:04:32,209 เพื่อให้การสอน การเรียน และการสะกดคำอย่างถูกต้องทำได้ง่ายขึ้น 73 00:04:32,993 --> 00:04:37,110 มันจะไม่สมเหตุสมเหตุผลมากกว่าหรือ ที่เราจะทำให้กฎเกณฑ์ในปัจจุบันเรียบง่ายขึ้น 74 00:04:37,111 --> 00:04:39,479 เพื่อเวลาทั้งหมด 75 00:04:39,480 --> 00:04:42,782 ที่ทุกวันนี้เราเสียไปกับการสอนการสะกดคำ 76 00:04:42,783 --> 00:04:46,176 จะถูกนำไปใช้กับแง่มุมอื่น ๆ ของภาษา 77 00:04:46,177 --> 00:04:49,815 ที่ความสลับซับซ้อนสมควรได้รับเวลา และการลงทุนลงแรง 78 00:04:51,933 --> 00:04:56,920 สิ่งที่ฉันเสนอ ไม่ใช่การล้มล้างอักขรวิธี 79 00:04:56,921 --> 00:05:00,516 ไม่ใช่ว่าใครจะเขียนแบบไหนตามใจก็ได้ 80 00:05:01,455 --> 00:05:05,185 ภาษาเป็นเครื่องมือที่เราใช้งานร่วมกัน 81 00:05:05,192 --> 00:05:06,026 และดังนั้น 82 00:05:06,027 --> 00:05:10,365 ฉันคิดว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น ที่เราจะต้องยึดหลักเกณฑ์ร่วมกัน 83 00:05:11,109 --> 00:05:13,198 แต่ฉันก็คิดว่าเป็นเรื่องจำเป็นเช่นกัน 84 00:05:13,199 --> 00:05:17,551 ที่หลักเกณฑ์ร่วมนี้ จะเรียบง่ายที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ 85 00:05:17,552 --> 00:05:21,203 เหนือสิ่งอื่นใด เพราะว่า ถ้าพวกเราทำให้การสะกดคำง่ายขึ้น 86 00:05:21,204 --> 00:05:24,440 เราไม่ได้ทำให้ตกต่ำลงแต่อย่างใด 87 00:05:24,442 --> 00:05:26,923 เมื่อมีการทำให้การสะกดคำง่ายขึ้น 88 00:05:26,924 --> 00:05:30,545 มันไม่ได้ลดทอน คุณภาพของภาษาแต่อย่างใด 89 00:05:31,609 --> 00:05:35,540 ทุกวัน ฉันทำงาน เกี่ยวกับวรรณกรรมในยุคทอง 90 00:05:35,542 --> 00:05:39,029 อ่านงานเขียนของการ์ซิลาโซ, เซร์บันเตส, กอนโกรา, เกเบโด 91 00:05:39,030 --> 00:05:42,140 ที่บางครั้งพวกเขาเขียน "hombre" โดยไม่มีตัว h 92 00:05:42,141 --> 00:05:44,932 บางครั้งสะกด "escribir" ด้วยตัว v 93 00:05:44,933 --> 00:05:48,016 แต่สำหรับฉัน มันชัดเจนมากว่า 94 00:05:48,029 --> 00:05:53,279 ความแตกต่างระหว่างงานเขียนเหล่านั้น และงานเขียนของพวกเรา คือเรื่องของมาตรฐาน 95 00:05:53,281 --> 00:05:56,897 หรือเรื่องของการที่ยังไม่มีมาตรฐาน ในช่วงเวลานั้น 96 00:05:56,898 --> 00:05:58,270 แต่ไม่ใช่เรื่องของคุณภาพ 97 00:05:59,908 --> 00:06:02,354 แต่ฉันขอกลับมา ที่เรื่องของเหล่าครูบาอาจารย์ก่อน 98 00:06:02,355 --> 00:06:05,180 เพราะพวกเขาเป็นบุคคลสำคัญในเรื่องนี้ 99 00:06:05,789 --> 00:06:10,686 ฉันเพิ่งพูดถึง การยืนกรานที่ไม่ได้มีการคิดทบทวนเท่าไหร่ 100 00:06:10,687 --> 00:06:13,643 ที่เหล่าครูอาจารย์ เคี่ยวเข็ญเราแล้วเคึ่ยวเข็ญเราอีก 101 00:06:13,644 --> 00:06:15,265 ในเรื่องการสะกดคำ 102 00:06:15,266 --> 00:06:19,092 แต่ความจริงคือ สิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างที่มันเป็นอยู่ 103 00:06:19,093 --> 00:06:21,404 อันนี้เรื่องที่เข้าใจได้อย่างชัดเจน 104 00:06:21,409 --> 00:06:23,282 ในสังคมของพวกเรานั้น 105 00:06:23,283 --> 00:06:26,769 การสะกดคำมีหน้าที่เสมือนตัวชี้วัดพิเศษ 106 00:06:26,770 --> 00:06:31,178 ที่ช่วยแยกระหว่างผู้รู้มากจากผู้รู้น้อย แยกผู้ได้รับการศึกษาออกจากผู้โง่เขลา 107 00:06:31,184 --> 00:06:36,093 ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ที่ผู้นั้นกำลังเขียนแต่อย่างใด 108 00:06:36,094 --> 00:06:39,530 คนหนึ่งสามารถได้งานหรือถูกปฏิเสธงาน 109 00:06:39,531 --> 00:06:42,223 เพียงตัว H ตัวเดียวที่ใส่หรือไม่ได้ใส่ลงไป 110 00:06:42,224 --> 00:06:45,352 คนหนึ่งสามารถถูกล้อเลียนในที่สาธารณะได้ 111 00:06:45,353 --> 00:06:48,229 เพียงเพราะใส่ตัวอักษร B หรือ V ผิดไป 112 00:06:48,230 --> 00:06:50,310 ดังนั้น ในบริบทนี้ 113 00:06:50,311 --> 00:06:55,041 ชัดเจนว่าเป็นเรื่องสมเหตุผลสมผล ที่จะอุทิศเวลานั้นให้กับการสะกดคำ 114 00:06:55,044 --> 00:06:57,452 แต่เราต้องไม่ลืมว่า 115 00:06:57,453 --> 00:07:00,171 ในประวัติศาสตร์ภาษาของพวกเรา 116 00:07:00,181 --> 00:07:02,141 มีแต่เหล่าครูบาอาจารย์ 117 00:07:02,159 --> 00:07:05,870 หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับการสอนตัวอักษรตั้งต้น 118 00:07:05,871 --> 00:07:08,652 ที่ผลักดันการปฏิรูปอักขรวิธี 119 00:07:08,653 --> 00:07:11,184 ที่ตระหนักว่าการสะกดคำของเรานั้น 120 00:07:11,185 --> 00:07:15,431 บางครั้งก็เป็นอุปสรรคต่อการถ่ายทอดความรู้ 121 00:07:15,432 --> 00:07:17,074 ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของพวกเรา 122 00:07:17,091 --> 00:07:21,643 ซาร์เมียนโต กับอันเดรส เบโย ผลักดันการปฏิรูปอักขรวิธีครั้งใหญ่ 123 00:07:21,652 --> 00:07:25,224 ซึ่งในที่สุดก็มีผลบังคับใช้ในภาษาสเปน 124 00:07:25,225 --> 00:07:29,360 ในประเทศชิลีช่วงกลางคริสตศตรววษที่ 19 125 00:07:31,302 --> 00:07:35,333 แล้วทำไมเราถึงไม่ตามรอยครูอาจารย์เหล่านี้ 126 00:07:35,334 --> 00:07:39,209 และเริ่มพัฒนาอักขรวิธีของเรา 127 00:07:39,210 --> 00:07:42,571 ตรงนี้ ใกล้ชิดกับพวกเรา 10,000 คน 128 00:07:42,572 --> 00:07:44,149 ฉันอยากที่จะเสนอแนะ 129 00:07:44,150 --> 00:07:48,417 เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนบางอย่าง ที่ฉันคิดว่ามีเหตุผลที่จะเริ่มอภิปรายกัน 130 00:07:49,707 --> 00:07:51,934 เราลบเอา H ที่ไม่ออกเสียงออกไปเสีย 131 00:07:51,994 --> 00:07:56,960 ที่ที่เราเขียน H แต่ไม่ได้ออกเสียงอะไร 132 00:07:56,971 --> 00:07:58,171 ก็ไม่ต้องเขียนลงไป 133 00:07:58,171 --> 00:07:59,143 (เสียงปรบมือ) 134 00:07:59,143 --> 00:08:01,853 ฉันคิดไม่ออกว่า การยึดติดทางอารมณ์แบบไหน 135 00:08:01,854 --> 00:08:06,707 ที่สามารถแก้ต่างให้กับตัว H ไม่ออกเสียง อันแสนจะน่ารำคาญนี้ได้ 136 00:08:06,868 --> 00:08:09,612 อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ สำหรับ B และ V 137 00:08:09,612 --> 00:08:12,182 ว่าในภาษาสเปนมันไม่เคยมีความแตกต่าง 138 00:08:12,182 --> 00:08:12,995 (เสียงปรบมือ) 139 00:08:12,995 --> 00:08:16,740 เลือกเอาแค่อันเดียว จะเป็นอันไหนก็ได้ เราสามารถเถียงกันได้ มานั่งจับเข่าคุยกัน 140 00:08:16,741 --> 00:08:20,189 แต่ละคนมีความชอบของตัวเอง แต่ละคนสามารถโต้เถียงได้ 141 00:08:20,190 --> 00:08:23,249 เราจะมีเพียงตัวเดียว อีกตัวก็ยกเลิกไป 142 00:08:23,250 --> 00:08:26,417 สำหรับ G และ J เรามาแบ่งหน้าที่ให้พวกมันกัน 143 00:08:26,429 --> 00:08:30,874 ว่า G จะแทนเสียงอ่อน เช่น "gato" (กาโต), "mago" (มาโก), "águila" (อากิลา) 144 00:08:30,875 --> 00:08:33,727 และตัว J คงเสียงหนักเอาไว้ 145 00:08:33,729 --> 00:08:39,089 "jarabe" (ฆาราเบ), "jirafa" (ฆิราฟา), "gente" (เฆนเต), "argentino" (อาร์เฆนติโน) 146 00:08:40,029 --> 00:08:44,512 สำหรับตัว C, S และ Z เป็นกรณีที่น่าสนใจ 147 00:08:45,151 --> 00:08:48,541 เพราะมันแสดงให้เห็นว่า กฎเกณฑ์ทางสัทศาสตร์ควรจะเป็นตัวชี้แนะ 148 00:08:49,250 --> 00:08:52,305 แต่ไม่ควรเป็นหลักการเบ็ดเสร็จ 149 00:08:52,306 --> 00:08:57,025 ในบางกรณี การออกเสียงที่ต่างออกไป ก็ควรนำมาพิจารณาด้วย 150 00:08:57,026 --> 00:08:59,955 ทีนี้ ฉันได้บอกไปแล้วว่า C, S, Z 151 00:08:59,956 --> 00:09:03,321 ในบางพื้นที่จะแทนด้วยเสียงเดียว ในขณะที่ในบางที่จะแทนด้วยสองเสียง 152 00:09:03,322 --> 00:09:07,798 ถ้าสามตัวอักษร เหลือเพียงสองตัวอักษร มันก็คงจะดีขึ้น 153 00:09:09,655 --> 00:09:14,305 สำหรับบางคน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ อาจดูค่อนข้างจะสุดโต่ง 154 00:09:14,306 --> 00:09:16,698 แต่มันไม่เท่าไหร่หรอก 155 00:09:16,699 --> 00:09:20,132 ราชบัณฑิตยสถานสเปน และทุกสถาบันทางภาษา 156 00:09:20,133 --> 00:09:24,722 ก็เชื่อเช่นเดียวกันว่า ควรมีการปรับเปลี่ยนการสะกดคำไปตามเวลา 157 00:09:24,723 --> 00:09:29,971 เชื่อว่าภาษามีการเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ กับประเพณี และกับความเคยชิน 158 00:09:29,972 --> 00:09:34,115 แต่ก็เชื่อเช่นกันว่า ภาษาเป็นเครื่องมือ ในทางปฏิบัติเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน 159 00:09:34,116 --> 00:09:39,021 และเชื่อว่า บางครั้ง การยึดติดกับประวัติศาสตร์ กับประเพณี และกับความเคยชิน 160 00:09:39,022 --> 00:09:44,106 ได้กลายมาเป็นอุปสรรค ในการใช้งานในปัจจุบัน 161 00:09:45,238 --> 00:09:48,156 สิ่งนี้อธิบายว่า จริง ๆ แล้ว ภาษาของเรา 162 00:09:48,157 --> 00:09:53,585 เป็นมากกว่าสิ่งที่เรารู้จัก เป็นมากกว่าความใกล้ชิดกันทางภูมิศาสตร์ 163 00:09:53,586 --> 00:09:57,541 มันค่อย ๆ ถูกปรับเปลี่ยนไป ตามประวัติศาสตร์ของเรา 164 00:09:57,542 --> 00:10:01,458 ยกตัวอย่าง เราเปลี่ยนจากการสะกด "orthographia" เป็น "ortografía" 165 00:10:01,459 --> 00:10:05,542 จาก theatro" เป็น "teatro" จาก "quantidad" เป็น "cantidad" 166 00:10:05,584 --> 00:10:08,067 จาก "symbolo" เป็น "símbolo" 167 00:10:08,068 --> 00:10:13,265 และเมื่อไม่นานมานี้ก็เริ่มที่จะลบตัว H ที่ไม่ออกเสียงทิ้งไปอย่างเงียบ ๆ 168 00:10:13,266 --> 00:10:15,690 ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานสเปน 169 00:10:15,691 --> 00:10:21,308 "arpa" และ "armonía" สามารถเขียนโดยมีตัว H หรือไม่มีก็ได้ 170 00:10:21,309 --> 00:10:22,809 และพวกเราก็ยังอยู่กันเป็นสุขดี 171 00:10:24,889 --> 00:10:27,543 นอกจากนี้ ฉันยังคิดว่า 172 00:10:27,544 --> 00:10:33,669 ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ที่จะหยิบยกคำถามนี้ขึ้นมา 173 00:10:34,918 --> 00:10:38,931 เราพูดกันอยู่เสมอว่า ภาษาเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ 174 00:10:38,932 --> 00:10:40,821 จากระดับล่างขึ้นบน 175 00:10:40,822 --> 00:10:43,987 โดยผู้ใช้ภาษาทั่วไปรับเอาคำใหม่ ๆ มาใช้ 176 00:10:43,988 --> 00:10:47,677 และเป็นผู้ที่สร้างความเปลี่ยนแปลง ทางไวยากรณ์ 177 00:10:47,678 --> 00:10:51,518 เรื่อยมาถึงระดับหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งในบางทีก็เป็นสำนักวิชาการ 178 00:10:51,519 --> 00:10:55,636 บางที่ก็เป็นพจนานุกรม บางที่ก็เป็นกระทรวง 179 00:10:55,637 --> 00:10:59,245 ที่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงและรวมเข้ามาไว้ เป็นเวลานานหลังจากนั้น 180 00:11:00,315 --> 00:11:04,087 นี่เป็นเรื่องจริง เฉพาะบางระดับของภาษา 181 00:11:04,088 --> 00:11:07,476 มันเป็นเรื่องจริงในระดับคำศัพท์ 182 00:11:07,477 --> 00:11:10,896 เป็นเรื่องไม่ค่อยจริงในระดับไวยากรณ์ 183 00:11:10,897 --> 00:11:14,954 และถ้าให้ฉันพูด มันเกือบจะไม่จริงเลย ในระดับการสะกดคำ 184 00:11:14,955 --> 00:11:18,851 ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงจากระดับบนลงล่าง 185 00:11:18,852 --> 00:11:20,810 เป็นสถาบันต่าง ๆ เสมอ 186 00:11:20,811 --> 00:11:25,218 ที่จัดตั้งกฎเกณฑ์ และเสนอแนะการเปลี่ยนแปลง 187 00:11:26,438 --> 00:11:31,456 แล้วทำไมฉันถึงได้พูดว่า ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งล่ะ 188 00:11:31,457 --> 00:11:33,035 จนถึงทุกวันนี้ 189 00:11:33,036 --> 00:11:39,199 การเขียนเคยเป็นการใช้งานที่จำกัด และเป็นส่วนตัวมากกว่าการพูด 190 00:11:39,200 --> 00:11:43,846 แต่ในยุคสมัยของพวกเรา ยุคสมัยของสื่อสังคมออนไลน์ 191 00:11:43,847 --> 00:11:47,229 กำลังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 192 00:11:48,200 --> 00:11:50,774 เราไม่เคยเขียนมากเท่าสมัยนี้มาก่อน 193 00:11:51,308 --> 00:11:55,626 เราไม่เคยเขียนมากมาย แล้วมีผู้เห็นมากมายขนาดนี้มาก่อน 194 00:11:56,536 --> 00:11:59,675 และในสื่อสังคมออนไลน์เหล่านี้ นี่เป็นครั้งแรก 195 00:11:59,676 --> 00:12:04,414 ที่พวกเราได้เห็นการใช้การสะกดคำแบบใหม่ ๆ เป็นจำนวนมาก 196 00:12:04,417 --> 00:12:08,957 รวมไปถึงผู้คนที่สะกดคำอย่างถูกต้อง สมบูรณ์แบบ ได้รับการศึกษาอย่างสูง 197 00:12:08,958 --> 00:12:13,036 แต่เมื่อพวกเขาเขียนในสื่อสังคมออนไลน์ ก็ปฏิบัติตัวเหมือน ๆ กัน 198 00:12:13,037 --> 00:12:16,898 กับผู้ที่ใช้คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ในสื่อสังคมออนไลน์ 199 00:12:16,899 --> 00:12:20,603 พูดอีกอย่างก็คือ ยืดหยุ่นต่อความถูกต้อง ของการสะกดคำ 200 00:12:20,604 --> 00:12:25,439 และให้ความสำคัญกับความรวดเร็ว และประสิทธิภาพของการสื่อสาร 201 00:12:26,151 --> 00:12:31,414 ตอนนี้ ในสื่อเหล่านั้น มีการใช้งานที่ยุ่งเหยิงตามแต่ละบุคคล 202 00:12:31,415 --> 00:12:34,454 แต่ฉันคิดว่า เราต้องให้ความสนใจกับมัน 203 00:12:34,455 --> 00:12:36,974 เพราะว่า บางทีการใช้งานเหล่านี้ อาจจะบอกกับพวกเราว่า 204 00:12:36,975 --> 00:12:41,417 ในยุคนี้ การเขียนที่ได้รับตำแหน่งแห่งที่ใหม่ 205 00:12:41,418 --> 00:12:45,445 กำลังต้องการกฎเกณฑ์การสะกดคำใหม่ ๆ ด้วย 206 00:12:46,250 --> 00:12:51,319 ฉันเชื่อว่าพวกเรามาผิดทาง หากจะปฏิเสธหรือละทิ้งการใช้งานดังกล่าว 207 00:12:51,320 --> 00:12:52,885 ถ้าว่าเราคิดว่าการเขียนเหล่านี้ 208 00:12:52,886 --> 00:12:56,265 เป็นเหมือนอาการความถดถอยทางวัฒนธรรม ในยุคสมัยของพวกเรา 209 00:12:56,266 --> 00:13:01,047 ไม่ค่ะ ฉันเชื่อว่าเราต้องคอยสอดส่องจัดระเบียบ และการเขียนเหล่านี้ต้องถูกนำมาพิจารณา 210 00:13:01,048 --> 00:13:06,570 ภายใต้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับความจำเป็น ในยุคสมัยของพวกเรามากกว่านี้ 211 00:13:08,241 --> 00:13:11,973 ฉันเองก็สามารถคาดคะเนได้ถึงข้อคัดค้านบางข้อ 212 00:13:13,226 --> 00:13:14,659 จะมีคนที่บอกว่า 213 00:13:14,660 --> 00:13:19,701 หากพวกเราทำให้การสะกดคำง่ายขึ้น เราจะสูญเสียประวัติของคำไป 214 00:13:20,535 --> 00:13:23,647 ถ้าจะเอาจริง ๆ หากเราต้องการสงวนประวัติของคำเอาไว้ 215 00:13:23,648 --> 00:13:26,328 ใช้เพียงแค่หลักการสะกดคำอย่างเดียวคงไม่พอ 216 00:13:26,329 --> 00:13:30,334 เรายังต้องเรียนรู้ภาษาละติน กรีก อารบิก อีกด้วย 217 00:13:31,089 --> 00:13:35,850 หากใช้การสะกดคำที่ปรับปรุงให้เรียบง่าย เราสามารถย้อนไปดูประวัติของคำได้ 218 00:13:35,851 --> 00:13:41,122 ที่เดิมที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งก็คือพจนานุกรมทางนิรุกติศาสตร์ 219 00:13:42,150 --> 00:13:44,814 ข้อคัดค้านข้อที่สอง คือบางคนอาจจะบอกว่า 220 00:13:44,815 --> 00:13:46,630 "หากพวกเราทำให้การสะกดคำนั้นง่ายขึ้น 221 00:13:46,631 --> 00:13:48,752 เราจะไม่สามารถแยกความแตกต่าง 222 00:13:48,753 --> 00:13:52,142 ระหว่างคำต่าง ๆ ที่ตอนนี้มีความแตกต่างกันเพียงตัวอักษรเดียว" 223 00:13:52,143 --> 00:13:56,255 นี่เป็นเรื่องจริง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา 224 00:13:56,256 --> 00:14:01,235 ภาษาของเรานั้น มีคำที่ออกเสียงเหมือนกัน มีคำที่มีมากกว่าหนึ่งความหมาย 225 00:14:01,236 --> 00:14:02,596 แต่เราก็ไม่ได้สับสนแต่อย่างใด 226 00:14:02,597 --> 00:14:06,367 "banco" (ม้านั่ง) ที่พวกเรานั่ง กับ "banco" (ธนาคาร) ที่พวกเราฝากเงิน 227 00:14:06,374 --> 00:14:09,009 "traje" (ชุดสูท) ที่พวกเราสวมใส่ กับ "trajimos" สิ่งที่พวกเรานำมา 228 00:14:09,842 --> 00:14:15,832 ในสถานการณ์ส่วนมาก บริบทจะเป็นตัวแก้ไขความสับสนที่อาจเกิดขึ้น 229 00:14:16,590 --> 00:14:19,746 แต่มีข้อโต้แย้งข้อที่สาม 230 00:14:21,769 --> 00:14:28,240 ที่ฉันคิดว่า เป็นที่เข้าใจได้ รวมทั้งเป็นข้อที่สะเทือนอารมณ์มากที่สุด 231 00:14:28,241 --> 00:14:31,732 คือข้อโต้แย้งที่ว่า "ฉันไม่อยากเปลี่ยน 232 00:14:31,733 --> 00:14:35,592 ฉันถูกสอนมาแบบนี้ ฉันชินกับรูปแบบนี้ 233 00:14:35,593 --> 00:14:40,298 เมื่อฉันอ่านคำที่เขียนด้วยคำที่ถูกทำให้สะกดง่ายขึ้น 234 00:14:40,299 --> 00:14:42,321 มันรู้สึกแสลงลูกตา" 235 00:14:44,201 --> 00:14:49,097 ข้อโต้แย้งนี้ ต่างก็มีอยู่ในตัวเราทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย 236 00:14:49,098 --> 00:14:51,186 ฉันเชื่อว่าเราควรทำอย่างไรน่ะหรือ 237 00:14:51,196 --> 00:14:54,195 ก็ทำอย่างที่เราเคยทำเสมอมาในเรื่องนี้ 238 00:14:54,196 --> 00:14:56,470 การเปลี่ยนแปลงยังคงเดินหน้าต่อไป 239 00:14:56,471 --> 00:14:59,184 สอนกฎเกณฑ์ใหม่แก่เด็ก ๆ 240 00:14:59,185 --> 00:15:04,110 ส่วนผู้ที่ไม่ต้องการเปลี่ยน ก็ปล่อยให้เขียนไปตามความเคยชิน 241 00:15:04,111 --> 00:15:08,229 และรอให้เวลาปูรากฐานกฎเกณฑ์ใหม่ 242 00:15:09,201 --> 00:15:14,917 การปฏิรูปอักขรวิธีทั้งหมดที่ประสบความสำเร็จ และไปแตะต้องความคุ้นชินที่ฝังรากสุดลึก 243 00:15:14,918 --> 00:15:20,836 ต่างก็ทำอย่างสุขุมรอบคอบ เป็นเอกฉันท์ ค่อยเป็นค่อยไป และด้วยความอดทนอดกลั้น 244 00:15:21,457 --> 00:15:25,346 แต่เราก็ไม่อาจยอมให้ ความยึดติดกับวิถีเดิม ๆ 245 00:15:25,347 --> 00:15:27,774 มาขัดขวางไม่ให้มีการเดินหน้าต่อไปได้ 246 00:15:28,410 --> 00:15:31,907 การแสดงความเคารพที่ดีที่สุด ที่เราสามารถทำได้ต่ออดีตกาล 247 00:15:31,908 --> 00:15:34,437 คือการทำให้สิ่งที่เราได้รับมานั้น ดีขึ้นกว่าเดิม 248 00:15:35,098 --> 00:15:37,684 ดังนั้น ฉันเชื่อว่าพวกเราต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า 249 00:15:37,685 --> 00:15:40,489 สถาบันวิชาการต่าง ๆ ต้องมีการยอมรับร่วมกัน 250 00:15:40,490 --> 00:15:43,346 และจัดแจงการสะกดคำของพวกเราเสียใหม่ 251 00:15:43,347 --> 00:15:48,715 ลบความเคยชินที่เรามี เพียงเพราะเราได้รับมา แต่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใด 252 00:15:49,487 --> 00:15:52,583 และฉันก็เชื่อว่า หากเราทำได้ 253 00:15:52,584 --> 00:15:56,708 ในขอบเขตที่พอประมาณ แต่ลำคัญอย่างยิ่งยวดในภาษา 254 00:15:56,709 --> 00:16:00,043 เราจะสามารถส่งต่ออนาคตที่ดีกว่า 255 00:16:00,049 --> 00:16:02,008 ให้กับคนรุ่นถัดไปได้ 256 00:16:02,924 --> 00:16:04,244 (เสียงปรบมือ)