1 00:00:00,120 --> 00:00:02,836 7, 6, 5, 4, 3, 2, 1 2 00:00:03,212 --> 00:00:08,425 อินเทอร์เน็ต: แพ็คเก็ต, เราต์ติง, และความน่าเชื่อถือ 3 00:00:08,675 --> 00:00:12,137 สวัสดีค่ะ ฉันลินน์ รูท วิศวกรซอฟต์แวร์ที่สปอติฟายค่ะ 4 00:00:12,763 --> 00:00:16,808 ขอยอมรับก่อนเลยว่าฉันมักมองข้าม เรื่องความน่าเชื่อถือของอินเทอร์เน็ต 5 00:00:18,018 --> 00:00:20,938 แค่ปริมาณข้อมูล ในอินเทอร์เน็ตก็น่าทึ่งแล้ว 6 00:00:21,188 --> 00:00:25,442 แต่ทุกชิ้นส่วนของข้อมูล ถูกส่งอย่างน่าเชื่อถือได้อย่างไร 7 00:00:26,860 --> 00:00:28,278 สมมติว่าต้องการเล่นเพลง จากสปอติฟาย 8 00:00:28,946 --> 00:00:32,199 ดูเหมือนว่าคอมพิวเตอร์แค่เชื่อมต่อโดยตรง กับเซิร์ฟเวอร์ของสปอติฟาย 9 00:00:32,407 --> 00:00:35,202 แล้วสปอติฟายก็ จะส่งเพลงนั้นให้คุณเลยตรง ๆ 10 00:00:35,577 --> 00:00:37,538 แต่ที่จริงอินเทอร์เน็ตไม่ได้ทำงานแบบนั้น 11 00:00:38,914 --> 00:00:41,833 หากอินเทอร์เน็ตเป็นการเชื่อมต่อโดยตรง 12 00:00:42,209 --> 00:00:45,420 คงให้ผู้ใช้งานหลายล้านคนเข้าร่วมไม่ได้ 13 00:00:45,754 --> 00:00:47,256 แล้วยิ่งไม่มีการรับประกันว่า 14 00:00:47,548 --> 00:00:49,675 สายไฟทุกสายในคอมพิวเตอร์ทำงานตลอดเวลา 15 00:00:49,925 --> 00:00:54,138 ที่จริง ข้อมูลไม่ได้เดินทางตรง ๆ ในอินเทอร์เน็ตเลยค่ะ 16 00:00:55,389 --> 00:01:00,352 หลายปีก่อนช่วงต้นยุค 1970 ผมกับบ็อบ คาห์นคู่หูผม 17 00:01:00,644 --> 00:01:04,023 เริ่มออกแบบสิ่งที่ปัจจุบัน เรียกกันว่าอินเทอร์เน็ต 18 00:01:04,815 --> 00:01:07,902 บ็อบกับผมได้มีความรับผิดชอบและโอกาส 19 00:01:08,194 --> 00:01:12,656 ในการออกแบบโพรโตคอลอินเทอร์เน็ต และสถาปัตยกรรมของมัน 20 00:01:13,115 --> 00:01:17,786 เราก็พยายามมีส่วนร่วมในการเติบโต และวิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ต 21 00:01:18,325 --> 00:01:20,789 มาตลอด จวบจนปัจจุบันครับ 22 00:01:22,082 --> 00:01:26,545 วิธีที่ข้อมูลถูกถ่ายโอนจากคอมพิวเตอร์ เครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่งนั้นน่าสนใจ 23 00:01:26,795 --> 00:01:31,174 เพราะไม่จำเป็นต้องตามทางที่แน่นอน อาจเปลี่ยนเส้นทางได้ 24 00:01:31,383 --> 00:01:33,844 ระหว่างที่คอมพิวเตอร์สนทนากัน 25 00:01:34,469 --> 00:01:37,514 ข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ที่ส่งระหว่างคอมพิวเตอร์ 26 00:01:37,764 --> 00:01:40,100 เราเรียกมันว่าแพ็คเก็ตของมูล 27 00:01:40,809 --> 00:01:43,520 แพ็คเก็ตนี้เดินทางจากที่หนึ่ง ไปอีกที่หนึ่ง 28 00:01:43,729 --> 00:01:47,232 คล้ายกับการที่เราโดยสารรถยนต์ 29 00:01:47,691 --> 00:01:52,404 ถ้ารถติด ถนนไม่ดี เราอาจเลือกเปลี่ยนทาง 30 00:01:52,613 --> 00:01:56,658 หรือถูกบีบให้ไปอีกเส้นทาง เพื่อถึงจุดหมายเดิมแต่ละครั้งที่เดินทาง 31 00:01:58,577 --> 00:02:02,039 เวลาเดินทาง เราก็พกของขึ้นรถด้วย 32 00:02:02,539 --> 00:02:05,709 ข้อมูลดิจิทัลหลายอย่าง จึงเดินทางมาพร้อมแพ็คเก็ต IP 33 00:02:05,959 --> 00:02:07,336 แต่มันก็มีขีดจำกัด 34 00:02:08,445 --> 00:02:13,550 สมมติว่าถ้าต้องเคลื่อนย้ายกระสวยอวกาศ จากจุดที่สร้างไปยังจุดที่จะปล่อยยานล่ะ 35 00:02:13,884 --> 00:02:15,510 กระสวยขึ้นรถบรรทุกคันเดียวไม่ได้ 36 00:02:15,719 --> 00:02:19,473 จึงต้องแยกชิ้นส่วนก่อน แล้วขนส่งขึ้นรถบรรทุกไป 37 00:02:19,765 --> 00:02:23,518 แต่ละส่วน ไปคนละเส้นทางได้ และอาจถึงที่หมายไม่พร้อมกัน 38 00:02:23,894 --> 00:02:27,481 แต่เมื่อทุกส่วนไปถึงแล้ว ก็นำมาประกอบกันได้ 39 00:02:27,689 --> 00:02:30,734 เป็นกระสวยอวกาศ พร้อมทะยาน 40 00:02:31,693 --> 00:02:34,363 กับอินเทอร์เน็ต รายละเอียดก็คล้ายกัน 41 00:02:34,738 --> 00:02:39,326 ถ้าจะส่งภาพขนาดใหญ่ให้เพื่อน หรืออัปโหลดในเว็บไซต์ 42 00:02:39,618 --> 00:02:43,664 ภาพนั้นอาจมีสิบล้านบิท ประกอบด้วยเลข 1 เลข 0 43 00:02:44,039 --> 00:02:45,916 ส่งไปในแพ็คเก็ตเดียวไม่ได้ 44 00:02:46,375 --> 00:02:50,420 มันเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ เครื่องที่ส่งภาพสามารถแยก 45 00:02:50,671 --> 00:02:53,590 เป็นหลายร้อยหลายพันส่วนเล็ก ๆ ที่เรียกว่าแพ็คเก็ต 46 00:02:54,966 --> 00:02:57,969 แต่แพ็คเก็ตเหล่านี้ ต่างจากรถตรงที่ไม่มีคนขับ 47 00:02:58,261 --> 00:02:59,638 และมันไม่ได้เลือกเส้นทางเอง 48 00:02:59,888 --> 00:03:03,433 แต่ละแพ็คเก็ตมีที่อยู่อินเทอร์เน็ต ว่ามาจากไหน และจะไปที่ไหน 49 00:03:03,975 --> 00:03:08,063 คอมพิวเตอร์พิเศษในอินเทอร์เน็ต เรียกว่าเราเตอร์ ทำหน้าที่จัดการการจราจร 50 00:03:08,230 --> 00:03:11,316 เพื่อให้แพ็คเก็ต เคลื่อนที่ผ่านเครือข่ายอย่างราบรื่น 51 00:03:12,150 --> 00:03:16,321 หากทางไหนหนาแน่นไป แพ็คเก็ตก็อาจแยกกันไปใช้ทางอื่น 52 00:03:16,988 --> 00:03:20,325 และอาจถึงจุดหมายปลายทาง ในเวลาที่ต่างกันเล็กน้อย 53 00:03:20,575 --> 00:03:22,202 หรือไม่ถูกต้องตามลำดับ 54 00:03:23,428 --> 00:03:26,640 มาคุยกันว่ามันทำงานยังไง ในฐานะส่วนหนึ่งของอินเทอร์เน็ตโพรโตคอล 55 00:03:26,890 --> 00:03:29,918 ทุกเราเตอร์ต้องติดตามหลายเส้นทาง ที่ใช้ส่งแพ็คเก็ต 56 00:03:30,210 --> 00:03:33,171 มันเลือกใช้เส้นทางที่คุ้มที่สุด สำหรับข้อมูลแต่ละส่วน 57 00:03:33,422 --> 00:03:36,091 โดยดูจากที่อยู่ปลายทางของแพ็คเก็ต 58 00:03:36,341 --> 00:03:42,097 ที่ว่าคุ้ม ไม่ใช่เรื่องราคา แต่คือเวลาและปัจจัยอื่น เช่นการเมือง 59 00:03:42,305 --> 00:03:44,099 และความสัมพันธ์ระหว่างบริษัท 60 00:03:44,766 --> 00:03:48,478 หลายครั้งที่เส้นทางส่งข้อมูล ไม่ใช่เส้นที่ตรงที่สุด 61 00:03:49,062 --> 00:03:52,482 การมีทางเลือกเยอะ ๆ ทำให้เครือข่ายผิดพลาดได้ยาก 62 00:03:52,858 --> 00:03:57,154 หมายความว่าเครือข่ายอาจส่งแพ็คเก็ตต่อได้ แม้จะเกิดข้อผิดพลาดอย่างแรง 63 00:03:57,779 --> 00:04:01,533 นั่นคือหลักการสำคัญพื้นฐาน ของอินเทอร์เน็ต - ความน่าเชื่อถือค่ะ 64 00:04:04,327 --> 00:04:07,789 แต่ถ้าเราขอข้อมูลแต่ส่งมาไม่ครบล่ะ 65 00:04:08,039 --> 00:04:09,374 เช่น ถ้าอยากฟังเพลงสักเพลง 66 00:04:10,000 --> 00:04:14,821 จะมั่นใจได้ยังไงว่าข้อมูลทั้งหมด จะถูกส่งมียังเครื่องเล่นเพลงอย่างสมบูรณ์ 67 00:04:15,405 --> 00:04:19,301 นี่ค่ะ ทีซีพี เพื่อนรักคนใหม่ คือโพรโตคอลการควบคุมการส่งสัญญาณ 68 00:04:19,593 --> 00:04:23,597 TCP จัดการการรับส่งข้อมูลเป็นแพ็คเก็ต 69 00:04:23,930 --> 00:04:26,516 เหมือนบริการรับประกันพัสดุค่ะ 70 00:04:27,017 --> 00:04:31,480 เวลาคุณขอเพลงมาเปิดในเครื่อง สปอติฟายจะส่งเพลงแยกมาหลายแพ็คเก็ต 71 00:04:33,064 --> 00:04:35,734 พอแพ็คเก็ตมาถึง TCP ก็จะเช็คให้ 72 00:04:35,942 --> 00:04:39,029 และแจ้งกลับว่าได้รับแพ็คเก็ตครบแล้วนะ 73 00:04:39,780 --> 00:04:43,408 ถ้าแพ็คเก็ตไปถึงครบ TCP จะเซ็นรับพัสดุ แล้วก็จบ 74 00:04:50,582 --> 00:04:53,543 ถ้าแพ็คเก็ตไม่ครบ มันจะไม่เซ็น 75 00:04:54,252 --> 00:04:58,715 ถ้าเซ็น เพลงจะคุณภาพต่ำ หรือขาดหายไปได้ค่ะ 76 00:04:59,174 --> 00:05:02,469 หากแพ็คเก็ตหล่นหายหรือไม่ครบ สปอติฟายจะส่งให้ใหม่ 77 00:05:03,094 --> 00:05:07,599 พอ TCP ยืนยันว่าแพ็คเก็ตเพลงนั้น ถึงครบแล้ว 78 00:05:07,724 --> 00:05:09,351 เพลงของคุณก็จะเริ่มเล่น 79 00:05:11,645 --> 00:05:15,190 TCP และระบบเราเตอร์ดีตรงที่ปรับขนาดได้ 80 00:05:15,440 --> 00:05:18,568 สามารถทำงานกับอุปกรณ์ 8 เครื่อง หรือ 8 พันล้านเครื่องก็ได้ 81 00:05:18,860 --> 00:05:21,905 หลักการที่ทนต่อความผิดพลาด และความซ้ำซ้อนนี้ 82 00:05:22,405 --> 00:05:25,742 ยิ่งเพิ่มเราเตอร์เยอะ อินเทอร์เน็ตยิ่งน่าเชื่อถือ 83 00:05:25,784 --> 00:05:28,161 แถมเรายังให้อินเทอร์เน็ต เติบโตและปรับขนาดได้ 84 00:05:28,411 --> 00:05:30,747 โดยไม่รบกวนคนที่กำลังใช้งาน 85 00:05:32,249 --> 00:05:34,626 อินเทอร์เน็ตประกอบด้วยหลายแสนเครือข่าย 86 00:05:34,835 --> 00:05:38,672 และอุปกรณ์หลายพันล้านเครื่อง ที่เชื่อมต่อกันทางกายภาพ 87 00:05:39,172 --> 00:05:42,467 ระบบที่ต่างกัน ที่ก่อเป็นอินเทอร์เน็ตนี้เชื่อมถึงกัน 88 00:05:42,491 --> 00:05:45,303 สื่อสารกัน และทำงานร่วมกัน 89 00:05:45,554 --> 00:05:50,600 ด้วยมาตรฐานที่ตกลงกันไว้ว่า จะส่งข้อมูลกันในอินเทอร์เน็ตอย่างไร 90 00:05:51,185 --> 00:05:53,937 อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือเราเตอร์ในอินเทอร์เน็ต 91 00:05:54,271 --> 00:05:56,815 ช่วยให้แพ็คเก็ตถึงจุดหมายปลายทาง 92 00:05:57,107 --> 00:06:00,235 ที่จะประกอบกันตามลำดับ หากจำเป็น 93 00:06:01,903 --> 00:06:04,281 สิ่งนี้เกิดขึ้นวันละหลายพันล้านครั้ง 94 00:06:04,531 --> 00:06:08,368 ไม่ว่าคุณและคนอื่นจะส่งอีเมล เข้าชมเว็บเพจ 95 00:06:08,702 --> 00:06:11,496 วีดีโอแช็ต ใช้แอปมือถือ 96 00:06:11,788 --> 00:06:14,791 หรือเมื่อเซนเซอร์ และอุปกรณ์ในอินเทอร์เน็ตสื่อสารกันครับ