นักศึกษาของผมมักถามผมว่า
"สังคมวิทยาคืออะไร?"
ผมตอบว่า "มันคือการศึกษา
ถึงวิธีที่ตัวตนของมนุษย์ก่อเกิดขึ้น
จากอิทธิพลของสิ่งที่เรามองไม่เห็น"
พวกเขาถามต่อว่า "แล้วเราจะเป็นนักสังคมวิทยาได้อย่างไร?
เราจะเข้าใจพลังที่มองไม่เห็นได้อย่างไร?"
ผมตอบว่า "ลอง 'ใส่ใจ' ดูสิ
เริ่มจากเอาใจเขามาใส่ใจเรา
ทุกอย่างเริ่มที่การใส่ใจ
เอา 'ใจของฉัน' ออกไป
แล้วใส่ 'ใจของเขา' เข้ามา"
ผมจะยกตัวอย่างหนึ่ง
ผมจินตนาการถึงชีวิตผม
ว่าถ้าหากโลกเมื่อร้อยปีก่อน
ประเทศจีนทรงอำนาจมากที่สุดในโลก
พวกเขาล่องเรือมาสหรัฐอเมริกา
เพื่อเสาะหาถ่านหิน
และพวกเขาก็เจอมัน เจอเยอะเลยด้วยสิ
และไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็เริ่มขนย้ายถ่านหินเหล่านั้น
ตันแล้วตันเล่า
คันแล้วคันเล่า ลำแล้วลำเล่า
กลับไปยังประเทศจีน และประเทศอื่นๆรอบโลก
และพวกเขาก็มั่งคั่งจากการขนย้ายถ่านหิน
พวกเขาสร้างเมืองที่งดงาม
ที่ผลักดันด้วยถ่านหิน
มองกลับมาที่สหรัฐอเมริกา
เราพบเจอแต่ความสิ้นหวังและความขาดแคลน
นี่คือสิ่งที่ผมเห็น
ผมเห็นผู้คนดิ้นรนสู้ชีวิต
ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเขา แล้วอะไรจะเกิดขึ้นอีก
แล้วผมก็ถามตัวเองว่า
"มันเป็นไปได้อย่างไร ที่คนในสหรัฐจะยากจนเหลือเกิน
เพราะเราก็มีถ่านหินมากมาย
น่าจะเป็นเงินที่มหาศาลเลยนะ?"
แล้วผมก็เข้าใจ
เพราะพวกคนจีนเข้ามาตีสนิท
กับชนชั้นปกครองในสหรัฐอเมริกา
ผู้ซึ่งริบเอาเงินและความมั่งคั่งทั้งหมด เพื่อตัวเอง
และพวกเราที่เหลือ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่
ก็ได้เพียงกัดฟันสู้ชีวิตต่อไป
แล้วคนจีนพวกนั้น ก็มอบอาวุธยุทธโธปกรณ์และ
เทคโนโลยีที่ซับซ้อนกับชนชั้นปกครองกลุ่มน้อยๆกลุ่มนี้
เพื่อให้มั่นใจได้ว่า
คนธรรมดาอย่างผมจะไม่มีปากเสียง
ฟังดูคุ้นหูไหมครับ?
แล้วพวกเขาก็ฝึกฝนชาวอเมริกัน
ให้ช่วยปกป้องถ่านหินของพวกเขา
แล้วในทุกๆที่ ก็มีแต่สัญลักษณ์ของคนจีน --
ทุกๆที่ เป็นสิ่งที่เตือนใจเสมอ
มองกลับไปที่เมืองจีน
พวกเขาพูดอะไรกันบ้าง?
ไม่เลย พวกเขาไม่พูดถึงเรา ไม่พูดถึงถ่านหิน
และถ้าคุณถามพวกเขา
เขาก็จะบอกว่า "คุณก็รู้ เราต้องการถ่านหินนี่นา
ผมไม่อยากปิดเครื่องทำความร้อนของผมนะ
ผมไม่ยอมหรอก"
ผมเลยโมโหมาก
เฉกเช่นคนปกติทั่วไป
แล้วเราก็สู้กลับ สถานการณ์ก็แย่ลง
พวกคนจีนก็สู้กลับอย่างน่าสยอง
ทันใดนั้น เขาก็ส่งรถถังเข้ามา
ส่งทหารเข้ามา
คนล้มตายลงจำนวนมาก
มันเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากมาก
คุณพอจินตนาการออกไหม
ถ้าเป็นคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร?
คุณจินตนาการได้ไหม เมื่อคุณเดินออกจากตึกนี้
แล้วคุณเห็นรถถังจ่อหน้าคุณอยู่
หรือรถบรรทุกที่เต็มไปด้วยทหาร
แค่ลองนึกสภาพ ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร
เพราะคุณรู้ว่าพวกเขามาทำไม มาเพื่ออะไร
แล้วคุณก็รู้สึกถึงความโกรธแค้น ความหวาดกลัว
ถ้าคุณรู้สึกได้ นั่นแหละการเอาใจใส่ -- เอาใจเขามาใส่ใจเรา
คุณยอมออกจากที่ตั้งของตนเอง เพื่อมาอยู่ที่ของผม
คุณต้องรู้สึก ถึงจะรู้
โอเค นั่นแค่อุ่นเครื่องนะครับ
แค่อุ่นเครื่อง
ทีนี้เรามาลอง
การทดลองสุดโต่งกันดีกว่า
ต่อจากนี้ไปจนจบ ผมอยากให้คุณ
ลองมายืนในฐานะผม
เป็นมุสลิมอาหรับธรรมดาคนหนึ่ง
อาศัยอยู่ในตะวันออกกลาง --
พูดตรงๆก็ อยู่ในอิรัก
เพิ่มเติมอีกนิด
คุณเป็นสมาชิกของครอบครัวชนชั้นกลางในกรุงแบกแดด --
และคุณต้องการสิ่งที่ดีที่สุด ให้ลูกๆของคุณ
คุณต้องการให้ลูกมีชีวิตที่ดีขึ้น
คุณดูข่าว คุณตั้งใจรับข้อมูล
คุณอ่านหนังสือพิมพ์ คุณไปนั่งคุยตามร้านกาแฟ
และคุณอ่านหนังสือพิมพ์จากทั่วโลก
บางทีคุณก็ดูโทรทัศน์ดาวเทียมด้วย
ดูช่องข่าวซีเอ็นเอ็น (CNN) จากสหรัฐอเมริกา
คุณจึงรู้ ว่าคนอเมริกันคิดอย่างไร
แต่จริงๆแล้ว คุณต้องการชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับตัวคุณเอง
นั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ
คุณเป็นชาวมุสลิมอาหรับ อาศัยอยู่ในประเทศอิรัก
คุณต้องการชีวิตที่ดีขึ้น
ทีนี้ ผมจะบอกคุณ
ผมจะบอกอะไรบางอย่าง
เป็นสิ่งที่คุณอาจจะคิดอยู่
หนึ่ง: การบุกรุกเข้ามาในดินแดนของคุณ
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา
เหตุผลที่ทุกคนสนใจแผ่นดินของคุณ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา
ก็คือน้ำมัน
และน้ำมันเท่านั้น คุณก็รู้ ใครๆก็รู้
คนในอเมริการู้ว่าเหตุผลคือน้ำมัน
เหตุผลเพราะคนอื่นๆ
ต้องการทรัพยากรของคุณ
มันเป็นทรัพยากรของคุณ ไม่ใช่ของใครอื่น
มันอยู่ใต้แผ่นดินของคุณ มันเป็นของคุณ
แต่คนอื่นต้องการมัน
คุณรู้ไหมทำไมพวกเขาต้องการมัน?
ทำไมทุกคนถึงตาลุกวาวกับสิ่งนี้?
เพราะพวกเขามีระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ
ที่ขาดน้ำมันไม่ได้ --
น้ำมันต่างชาติด้วยสิ
น้ำมันจากที่อื่น ที่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของ
คุณจะคิดอะไรกับคนพวกนี้อีก?
พวกอเมริกัน พวกร่ำรวย
มีบ้านหลังใหญ่ๆ มีรถคันใหญ่ๆ
มีผมบลอนด์ ตาสีฟ้า มีความสุข
คุณเชื่ออย่างนั้น แต่มันไม่จริงเสมอไป
นั่นคือภาพลักษณ์ที่เห็นในสื่อ นั่นคือสิ่งที่คุณเห็น
และพวกเขามีบ้านเมืองใหญ่โต
บ้านเมืองเหล่านั้น ล้วนต้องพึ่งพาน้ำมัน
มองกลับมายังบ้านของคุณ คุณเห็นอะไร?
ความยากจน ความสิ้นหวัง การดิ้นรนต่อสู้
ดูสิ คุณไม่ได้อยู่ในประเทศร่ำรวยเลย
นี่คืออิรัก
นี่คือสิ่งที่คุณเห็น
คุณเห็นผู้คนดิ้นรนสู้ชีวิต
คุณเห็นความยากจนทุกหนแห่ง
และคุณก็รู้สึกอะไรบางอย่าง
คนพวกนี้ต้องการทรัพยากรของคุณ
และนี่คือสิ่งที่คุณต้องเห็นหรือ?
มีอีกอย่างที่คุณรู้ --
พวกอเมริกันไม่พูดกัน แต่พวกคุณคุยกัน
มีกำลังทหารอยู่ทั่วโลก
และศูนย์กลางก็อยู่ที่สหรัฐอเมริกา
และเกินครึ่งของค่าใช้จ่ายทางทหาร
ของทั้งโลก
อยู่ที่สหรัฐอเมริกา --
คิดเป็น 4 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก
และคุณรู้สึกถึงมันได้ คุณเห็นมันทุกวัน
มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ
คุณพูดถึงมันกับเพื่อน
คุณอ่านเกี่ยวกับมัน
และเมื่อครั้งที่ ซัดดัม ฮุสเซน อยู่ในอำนาจ
พวกอเมริกันก็ไม่ได้สนใจสักหน่อย
ตอนที่ซัดดัมฆ่าชาวเคิร์ดส์ ฆ่าชาวอิหร่าน
พวกอเมริกันไม่สนใจ
แต่เมื่อไหร่มีเรื่องน้ำมันเข้ามาเกี่ยว
ทุกอย่างก็ดูสำคัญขึ้นมาทันที
ยังมีอีก
สหรัฐอเมริกา
ในฐานะศูนย์กลางของประชาธิปไตย
พวกเขาเหมือนจะ
ไม่สนับสนุนประชาธิปไตยในประเทศอื่นเลย
มีประเทศอีกมากมาย ประเทศที่ผลิตน้ำมัน
ที่ไม่ได้มีประชาธิปไตย แต่ก็สหรัฐฯก็สนับสนุน
มันแปลกดีนะ
อ้อ การบุกรุก ที่ทำสงครามทั้งสองครั้ง
ปิดกั้นการค้าเป็นสิบปี
ยึดครองอีก 8 ปี
การจลาจลที่เกิดขึ้น
คนบริสุทธิ์เป็นแสนๆคน
ต้องล้มตายลง
เพียงเพราะน้ำมัน
จะไม่ให้คิดไม่ได้หรอก
คุณพูดถึงมัน
มันอยู่ในหัวคุณตลอดเวลา
คุณคิดว่า "มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?"
ผู้ชายคนนี้ เขาคือทุกคน --
ปู่ของคุณ ลุงของคุณ
พ่อของคุณ ลูกของคุณ
เพื่อนบ้านคุณ อาจารย์ของคุณ ศิษย์ของคุณ
ครั้งหนึ่งเคยมีความสุข
แต่แล้วทันใดก็กลายเป็นความเจ็บปวดและเศร้าหมอง
ทุกๆคนในประเทศของคุณ
เคยพบเจอความรุนแรง
เจอการนองเลือด ความเจ็บปวด
และการหลอกหลอน ที่เจอทุกคน
ไม่มีแม้แต่คนเดียว ในประเทศของคุณ
ที่ไม่เคยเจอสิ่งเหล่านี้
แต่ยังมีอีก
มีอะไรเกี่ยวกับพวก
คนอเมริกันนี้อีก
มีอะไรบ้างอย่างที่คุณเห็น -- แต่พวกเขาไม่รู้ตัว
คุณเห็นอะไร? พวกเขาเป็นคริสเตียน
พวกเขาเป็นคริสเตียน
เขาบูชาพระเจ้าของเขา ถือไบเบิล ถือไม้กางเขน
แถมไบเบิลของเขายังมีประทับว่า
"กองทัพสหรัฐฯ" อีกต่างหาก
ดูพวกหัวหน้าเขาสิ พวกหัวหน้าเขา!
ก่อนที่เขาจะส่งลูกหลาน
ไปทำสงครามในประเทศของคุณ --
และคุณก็รู้เหตุผลว่าทำไม --
ก่อนที่พวกเขาจะถูกส่งไป
เขาไปโบสถ์คริสเตียน ไปขอพรจากพระเจ้าของเขา
ขอให้ช่วยปกปักรักษา และชี้นำทางสว่าง
ทำไมล่ะ?
แน่นอน คนที่ล้มตายในสงคราม
พวกเขาเป็นคนมุสลิม เป็นชาวอิรัก --
พวกเขาไม่ใช่อเมริกัน
คุณไม่ต้องการให้คนอเมริกันตายหนิ
แล้วคุณก็รู้สึกอะไรบางอย่าง --
แน่นอนว่าต้องรู้สึก
พวกเขาก็ทำสิ่งที่ดีนะ
คุณอ่านเจอ คุณได้ยินได้ฟังมา
เขามาสร้างโรงเรียน ช่วยเหลือผู้คน และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาอยากทำ
พวกเขาทำสิ่งที่ดีงาม แต่ก็ทำสิ่งที่ไม่ดีด้วย
คุณแยกแยะไม่ออก
แล้วคุณก็เจอคนอย่าง พลโทวิลเลี่ยม บอยกิ้น (William Boykin)
เขาคือคนที่พูดว่า พระเจ้าของคุณเป็นเรื่องหลอกลวง
พระเจ้าของคุณเป็นเรื่องงมงาย พระเจ้าของเขาคือของจริง
ทางออกของปัญหาในตะวันออกกลาง ที่เขาเสนอแนะ
คือเปลี่ยนคุณให้เป็นคริสเตียนให้หมด --
แค่ลบล้างศาสนาของคุณทิ้งเอง
คุณรู้เรื่องของเขา แต่คนอเมริกันไม่รู้
พวกเขาไม่รู้จักพลโทคนนี้ด้วยซ้ำ แต่คุณรู้
แล้วคุณก็บอกต่อ บอกถ้อยคำของเขาต่อๆกัน
ผมจริงจังนะ
เขาเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการทหารโจมตีอิรัก
คุณก็คงคิดในใจ "ถ้าคนคนนี้มันพูด
แสดงว่าทหารที่เหลือก็คงพูดเหมือนกัน"
และคำพูดเหล่านั้น ก็อยู่ที่นี่แล้ว
จอร์จ บุช กล่าวว่านี่คือสงครามศาสนา
คนอเมริกันก็จะพูดกันว่า "อะไรนะ สงครามอะไร
ไม่รู้ ฉันไม่รู้เรื่อง"
แต่คุณรู้ว่ามันหมายถึงอะไร
มันคือสงครามศักดิ์สิทธิ์ ต่อต้านชาวมุสลิม
รุกรานเข้าไปสิ กดดันเข้าไปสิ กวาดทรัพยากรทั้งหมดมา
ถ้าพวกมันไม่ยอม ก็ฆ่ามันซะ
นี่คือเรื่องราวทั้งหมด
คุณคงกำลังคิด "ตายแน่ๆ พวกคริสเตียนตั้งใจมาฆ่าเรา"
นี่มันน่ากลัว
คุณรู้สึกหวาดกลัว แน่นอน คุณรู้สึกกลัว
แล้วผู้ชายคนนี้อีก เทอร์รี่ โจนส์ (Terry Jones):
ผู้ชายคนนี้จะเผาคัมภีร์อัลกุรอาน
คนอเมริกันคงบอกว่า "ไอ้หมอนี่มันบ้า
มันเป็นผู้จัดการโรงแรมเก่า
มีคนแค่ไม่กี่สิบคน ที่เห็นด้วยกับเขา"
คนอเมริกันหัวเราะเยาะกัน แต่คุณคงไม่ขำ
เพราะเมื่อมองภาพรวมแล้ว
ทุกอย่างมันไปด้วยกันหมด
นี่คือสิ่งที่ทุกคนเห็น
ไม่ใช่แค่คนในอิรัก แต่ผู้คนทั้งตะวันออกกลาง
กำลังประท้วง
"คนนั้นมันจะเผาคัมภีร์อัลกุรอาน คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของเรา
พวกคริสเตียนพวกนี้ พวกมันเป็นใคร?
ทำไมมันถึงชั่วร้ายเช่นนี้ --
นี่คือสิ่งที่พวกมันต้องการสินะ"
และนี่คือสิ่งที่คุณจะคิด ในฐานะคนมุสลิม
ในฐานะชาวอิรัก
ในขณะที่คุณกำลังคิดถึงเรื่องพวกนั้น
ลูกพี่ลูกน้องของคุณก็เดินมา
บอกว่า "ลองดูเว็บไซต์นี่สิ
ไม่ดูไม่ได้แล้ว -- นี่คือค่ายทหารไบเบิล
พวกคริสเตียนพวกนี้บ้าไปแล้ว
พวกเขาฝึกเด็กของเขา ให้เป็นทหารของพระเยซู
พวกเขาเอาพวกนี้มาฝึก
แล้วสอนให้เด็กรู้จักซ้ายหันขวาหัน
สอนขว้างระเบิด สอนดูแลรักษาอาวุธ
แล้วไปที่เว็บไซต์
ก็มีคำว่า "กองทัพสหรัฐฯ" อยู่บนนั้น
พวกคริสเตียนพวกนี้ ทำอย่างนี้กับเด็กได้อย่างไร?"
และคุณก็อ่านเว็บไซต์นี้
แน่นอนว่าคริสเตียนในสหรัฐฯ หรือใครก็ตามเถอะ
พูดกันว่า "นี่มันแค่โบสถ์เล็กๆ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้"
แต่คุณไม่ได้เห็นแบบนั้น
สำหรับคุณ นี่คือคนคริสเตียน
มันอยู่ทั่วอินเทอร์เน็ตเลย ค่ายที่ว่านี้
แล้วดูนี่สิ
พวกเขายังสอนเด็ก --
ฝึกเด็กเล็ก แบบเดียวกับที่ฝึกหน่วยจู่โจม
มันน่าสนใจไหมล่ะ
มันทำให้คุณกลัว ทำให้คุณระแวง
ลองมองคนพวกนี้
ผม แซม ริชาร์ดส์ รู้ว่าพวกนี้เป็นใคร
นี่คือลูกศิษย์ผม เพื่อนของผม
ผมรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ "คุณไม่รู้อะไรเลย"
แต่เวลาคุณมองพวกเขา
มันมีอะไรบางอย่าง อะไรสักอย่าง
นี่คือสิ่งที่คุณเข้าใจ (พวกคริสเตียนผู้รุกราน)
เราไม่ได้มองอย่างนั้นในสหรัฐอเมริกา
แต่คุณนั่นคือสิ่งที่คุณเห็น
ดังนั้น
แน่นอน คุณเข้าใจผิด
คุณเหมารวมเกินไป มันไม่จริง
คุณไม่เข้าใจคนอเมริกัน
นี่ไม่ใช่การรุกรานทางศาสนา
เราไม่ได้ไปที่นั่นเพื่อน้ำมัน เรามีอีกหลายเหตุผล
คุณเข้าใจผิดหมดแล้ว
แน่นอนว่า พวกคุณไม่ต้องการความรุนแรง
คุณไม่ต้องการฆ่าคนอเมริกัน
คุณไม่สนับสนุนผู้ก่อการร้าย
จะมีสักกี่คนเชียวที่ต้องการสิ่งเหล่านั้น
แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี
และนั่นคือมุมมองหนึ่ง
โอเค ต่อจากนี้ไป
ลองวางมุมมองนั้นลงก่อน
มุมมองของชาวอิรัก
แล้วลองกลับมาเป็นคนเดิมที่คุณเป็น
ทุกคนกลับมาที่ห้องประชุมนี้แล้วนะ
ต่อไปนี้คือการทดลองสุดโต่ง
เรากลับมาบ้านหมดแล้ว
รูปนี้ ผู้หญิงคนนี้
ผมเข้าใจเธอ
ผมรู้สึกได้
เธอคือน้องสาวผม
ภรรยาผม ญาติผม เพื่อนบ้านผม
เธอเป็นคนที่ผมรู้จัก
คนพวกนี้อีก ทุกคนในรูป
ผมเข้าใจความรู้สึก
และนี่คือสิ่งที่ผมอยากให้คุณทำ
ลองกลับไปที่ตัวอย่างแรก เรื่องคนจีน
ผมต้องการให้คุณไปที่นั่น
เรื่องของถ่านหิน คนจีนอยู่ในสหรัฐฯ
ผมอยากให้คุณลองนึกภาพ คนในรูปเป็นชาวจีน
รับธงชาติจีน
เพราะคนรักของเธอ เสียชีวิตที่อเมริกา
ในสงครามถ่านหิน
ทหารพวกนี้เป็นทหารจีน
คนอื่นๆก็เป็นคนจีน
ในฐานะคนอเมริกัน คุณจะรู้สึกยังไง
คุณคิดยังไงกับภาพนี้
ลองดูนะ กลับมาที่เดิม
นี่คือรูป
คนอเมริกัน ทหารอเมริกัน
หญิงชาวอเมริกัน ที่เสียคนรักไป
ในตะวันออกกลาง -- ในอิรักหรืออัฟกานิสถาน
แล้วลองเอาใจเขามาใส่
กลับไปเป็นชาวมุสลิม
ชาวมุสลิมอาหรับคนนั้น ที่อาศัยอยู่ในอิรัก
คุณรู้สึกยังไง คิดอะไรอยู่
เกี่ยวกับรูปรูปนี้
เกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้
โอเค
ลองคิดตามนะ
เพราะผมกำลังทำอะไรที่เสี่ยงมากๆ
ผมจะเชิญคุณ มาร่วมเสี่ยงกับผม
สุภาพบุรุษเหล่านี้่ พวกก่อความไม่สงบ
ถูกจับโดยทหารอเมริกัน
โทษฐานพยายามฆ่าชาวอเมริกัน
พวกเขาอาจทำสำเร็จ อาจสำเร็จด้วยซ้ำ
ลองเอาใจของทหารอเมริกัน
มาใส่ใจคุณดู
คุณรู้สึกถึงความโกรธแค้นไหม
คุณรู้สึกไหม ว่าอยากจะ
บีบคอไอ้สองคนนี้
คุณนึกภาพออกไหม
ไม่น่าจะยากนะ
ชักจะทนไม่ไหวแล้วสิ
ทีนี้ ลองเอาใจคนสองคนนี้มาใส่ดูสิ
พวกเขาเป็นนักฆ่าที่โหดเหี้ยม
หรือเป็นผู้พิทักษ์ที่กล้าหาญ
แบบไหนดี?
คุณรู้สึกถึงความโกรธแค้นของเขาไหม
ความกลัว
ความโกรธเกรี้ยว
กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ในประเทศของเขา?
คุณนึกภาพออกไหม
ไม่แน่นะ เมื่อเช้า คนพวกนี้
ย่อตัวลงไปหาลูกของเขา แล้วกอดลูกๆ
และพูดว่า "ลูกรัก เดี๋ยวพ่อกลับมานะ
พ่อต้องออกไปรักษาอิสรภาพของพวกเจ้า ชีวิตของเจ้า
พ่อจะคอยดูแลพวกเรา
ดูแลอนาคตของเรา"
คุณนึกภาพออกไหม?
คุณนึกภาพตัวเองพูดอย่างนั้นได้ไหม?
คุณรู้สึกได้หรือเปล่า
คุณคิดว่าพวกเขารู้สึกยังไง?
นั่นแหละ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา
มันคือความเข้าใจ
คุณอาจจะถามว่า
"โอเค แซม เราจะคิดไปเพื่ออะไร?
ทำไมต้องยกตัวอย่างนี้ ตัวอย่างอื่นก็มี"
ผมบอกว่า
พวกคุณเกลียดคนพวกนี้ได้
ไม่มีใครห้าม ไม่ให้คุณเกลียด
จากเบื้องลึกของหัวใจ
แต่ถ้าผมสามารถ
ทำให้คุณเข้าใจคนพวกนี้
แล้วออกเดินแค่คืบเดียว
ขอแค่คืบเดียว
ลองนึกดูว่า คุณจะวิเคราะห์ปัญหาสังคม
ได้มากแค่ไหน ในทุกๆด้านของชีวิต?
คุณอาจเดินไปหนึ่งไมล์
เพื่อทำความเข้าใจว่า
ทำไมคนบางคน ถึงขับรถเชื่องช้า
อยู่ในช่องทางขวาสุด
หรือลูกวัยแรกรุ่นของคุณ
หรือเพื่อนบ้านคุณ ที่รบกวนคุณ
มาตัดหญ้าตอนเช้าวันอาทิตย์
อะไรก็ตาม คุณจะเข้าใจได้ดีขึ้นเยอะ
และนี่คือสิ่งที่ผมบอกลูกศิษย์ของผม
ลองเอา 'ตัวกูของกู' วางไว้
แล้วเอาโลกเล็กๆของใครสักคน
ใส่เข้ามา
แล้วทำซ้ำๆ หลายๆรอบ
แล้วโลกเล็กๆ ที่คุณเข้าไปลองอาศัย
จะประกอบกัน กลายเป็นโลกใบใหญ่
และในวันที่โลกของคุณใหญ่พอ
คุณก็จะเห็นโลกใบใหม่
โดยที่คุณไม่รู้ตัว
ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
ทุกอย่างในชีวิตของคุณเปลี่ยนไป
และนั่นแหละ คือความหมายของทุกอย่าง
ไปใช้ชีวิตของคนอีกคน
ในอีกมุมมอง
ฟังเรื่องราวของคนอื่น
เพื่อเพิ่มปัญญาของเรา
ผมไม่ได้บอกนะ
ว่าผมสนับสนุนการก่อการร้ายในอิรัก
แต่ในฐานะนักสังคมวิทยา
ที่ผมพยายามพูดคือ
ผมเข้าใจ
และผมหวัง -- ผมหวังว่า -- คุณก็เข้าใจแล้วเหมือนกัน
ขอบคุณครับ
(เสียงปรบมือ)