นี่คือมหาสมุทรที่ฉันเคยรู้จัก
และผมพบว่า
ในฐานะที่เป็นผู้คุ้นเคยกับอ่าวเม็กซิโกมาบ้าง
ผมรู้สึกช็อคและสะเทือนใจมากๆ
เพราะเมื่อใดก็ตามที่ผมมองมหาสมุทรจากนี้
ไม่ว่าผมจะอยู่ตรงไหนของมัน
แม้ในที่ที่ผมรู้ว่า
น้ำมันไม่ได้ไหลมาทางนั้น
ผมยังเห็นคราบน้ำมันรางๆ
ผมสัมผัสว่าผมรู้สึกกับมันมากๆ
รู้สึกถูกภาพนี้หลอกหลอนอยู่ในใจ
แต่สิ่งที่ผมต้องการคุยกับคุณวันนี้
คือเพื่อบอกเล่าหลายสิ่งหลายมุมมอง เพื่อที่จะ
ให้บริบทกับวิกฤตนี้
ไม่เพียงแต่พูดถึงการระเบิดของน้ำมัน
แต่พูดถึงผลกระทบของมัน และทำไมมันถึงเกิดขึ้น
ก่อนอื่น มารู้จักเกี่ยวกับผมหน่อยนะครับ
ผมเป็นเพียงผู้ชายที่ชอบไปตกปลา
ตั้งแต่ผมเด็กๆ
และด้วยประสบการณ์นั้น
ผมเลยศึกษาเรื่องของนกทะเล
เพื่อเป็นข้ออ้างให้อยู่กับทะเลและชายหาดที่ผมรักนักหนา
และปัจจุบันผมใช้เวลาส่วนใหญ่เขียนหนังสือ
เกี่ยวกับมหาสมุทรที่กำลังเปลี่ยนแปลง
และมหาสมุทรนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงในระดับที่รวดเร็วอย่างแน่นอน
ภาพเราเคยเห็นกันมาก่อนนี้
แสดงให้เห็นว่าจริงๆแล้วเรามีชีวิตอยู่บนลูกหินอ่อนแข็งๆลูกหนึ่ง
ที่มีความชื้นอยู่
เล็กน้อยบนพื้นผิวของมัน
ราวกับว่าคุณเอาลูกหินอ่อนนี้ไปจุ่มน้ำ นั่นแหละโลกเรา
และอากาศก็เหมือนกันนะครับ
ถ้าคุณเอาอากาศทั้งหมดของโลก
และม้วนขึ้นเป็นลูกบอล
คุณจะได้ทรงกลมเล็กๆที่เต็มไปด้วยอากาศตรงขวามือนั้นในภาพครับ
ดังนั้นมนุษย์เราจึงมีชีวิต
อยู่บนฟองสบู่เล็กๆเปราะบางๆใบหนึ่ง
เป็นฟองสบู่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากๆ
แต่เป็นฟองที่ถูกกระทบได้ง่ายมากๆ
และการเผาผลาญของน้ำมัน ถ่านหินและก๊าซ
เชื้อเพลิงจากฟอสซิลทั้งหมด
ได้เปลี่ยนแปลงชั้นอากาศอย่างมาก
ระดับก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ได้พุ่งสูงขึ้นและสูงขึ้นเรื่อยๆ
มนุษย์เรากำลังทำให้ชั้นอากาศร้อนขึ้น
เพราะฉะนั้นเจ้าระเบิดรั่วไหลน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก
จึงเป็นแค่เรื่องเล็กๆอีกเรื่อง
ของปัญหาที่ใหญ่กว่ามากที่เราเผชิญอยู่
เกี่ยวกับพลังงานที่เราใช้ในสังคมมนุษย์เรา
และนอกจากการทำให้โลกร้อนขึ้น
เราก็ยังมีปัญหาของการที่มหาสมุทรมีความเป็นกรดมากขึ้นครับ
มันมากขึ้นจนวัดได้แล้ว
และเริ่มส่งผลต่อสัตว์แล้วด้วย
ในห้องทดลอง
ถ้าเราเอาหอยกาบมาใส่ในน้ำที่มีความเป็นกรด (ค่า pH)
ึคือ แทนที่จะเป็นระดับปกติที่ค่า pH 8.1
ซึ่งเป็นระดับความเป็นกรดปกติของน้ำทะเล
แต่เป็นที่ 7.5
หอยกาบตัวนั้นจะละลายไปเลยภายใน 3 วัน
ถ้าเราเอาดักแด้ของเม่นทะเล
ออกจากน้ำทะเลปกติที่มีค่า pH 8.1
แล้วใส่ลงไปในน้ำทะเลที่เป็นกรด ด้วยค่า pH 7.7
ซึ่งไม่ได้เป็นการเปลี่ยนค่าความเป็นกรดมากเลย
เม่นทะเลจะมีรูปร่างผิดปกติ และตายลง
และที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว คือลูกอ่อนของหอยนางรมเพาะ
กำลังตายกันยกชุด
ในบางพื้นที่
ปะการังเจริญเติบโตช้าลง
ในบางพื้นที่ เพราะปัญหาทะเลกรดนี้
ดังนั้นเรื่องนี้มันจึงสำคัญจริงๆ
ทีนี้เราลองออกไปดูรอบๆ
บริเวณอ่าวเม็กซิโกกันหน่อย
สิ่งหนึ่งที่สร้าวความประทับใจให้ผมมากคือชุมชนชาวอ่าวครับ
พวกเขาเป็นชุมชนที่อยู่กับทะเลมากๆ
พวกเขารู้จักอยู่กับน้ำทุกสภาพ
พายุเฮอริเคนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เขารับมือได้
เวลาน้ำลงเหรอครับ พวกเขาก็รู้ว่าต้องทำยังไง
แต่ถ้่่าเป็นเรื่องอย่างอื่นที่ไม่ใช่น้ำแล้วล่ะก็
ถ้าระบบนิเวศทางน้ำเปลี่ยนไปแล้ว
พวกเขาก็มีทางเลือกไม่มาก
ทั้งชุมชนเขาโดนกระทบกันถ้วนหน้า
และพวกเขาไม่มีทางเลือกมากนัก
พวกเขาไม่มีอาชีพอย่างอื่นที่ทำได้
เขาไปทำงาน
ในธุรกิจโรงแรมไม่ได้
เพราะไม่มีโรงแรมในชุมชนของเขา
ถ้าคุณไปสำรวจอ่าวและมองไปรอบๆ
คุณจะพบว่ามีน้ำมันเยอะมาก
คุณจะเห็นน้ำมันในมหาสมุทร
บนชายฝั่ง
ถ้าคุณไปที่จุดที่เกิดการรั่วไหล
มันเหลือเชื่อมาก
มันดูเหมือนกับว่าคุณเพิ่งถ่ายน้ำมันออกจากรถคุณ
แล้วก็ทิ้งลงไปเลยในมหาสมุทร
และสิ่งที่น่าตะลึงในความเห็นผม
คือไม่มีใคร
พยายามเก็บมันขึ้นมา
ตรงบริเวณที่มันเข้มข้นมากที่สุด
บางที่ในมหาสมุทรนั้น
ดูไม่ได้เลยครับ
ถ้าคุณเดินไปตามชายฝั่งนะ
คุณจะเห็นมันดำๆไปทุกที่
สกปรกมากครับ
แล้วถ้าคุณไปที่ีที่น้ำมันเพิ่งเริ่มจะมาถึงนะ
เช่นบริเวณชายฝั่งตะวันออกของอ่าว แถวรัฐอลาบามา
ยังมีคนเล่นทะเลตามชายหาดอยู่เลย
ในขณะที่ีมีเจ้าหน้าที่กำลังทำความสะอาดชายหาดอยู่
และเจ้าหน้าที่ก็มีวิธีทำความสะอาดชายหาดที่ประหลาด
พวกเขาถูกห้ามไม่ให้ใส่ทรายเกิน 4.5กิโล ต่อหนึ่งถุง
แต่ถุงพลาสติกนั้นบรรจุได้ 189ลิตร
เลยมีถุงอยู่เป็นพันๆถุงครับ
ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรกับถุงทั้งหมดนั่น
แล้วก็ยังมีผู้คนที่ยังจะอยู่บนชายหาดเล่นน้ำอยู่
พวกเขาไม่เห็นป้ายเตือนภัยเล็กๆ
ที่เขียนว่า "อย่าลงน้ำ"
เด็กๆก็อยู่ในน้ำ แล้วก็โดนคราบน้ำมันติด
ตามเสื้อผ้าและรองเท้าแตะ เละเทะมากครับ
แล้วถ้าคุณไปที่บริเวณที่น้ำมันไปถึงนานแล้ว
มันก็ยิ่งเละเทะไปกว่านี้อีกครับ
และก็ไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้ว
เว้นแต่คนไม่กี่คน
ที่พยายามที่จะเล่นทะเล
คุณจะพบเห็นชาวบ้านที่อยู่ในภาวะช็อค
พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ทำงานหนัก
ทั้งชีวิตพวกเขารู้จักแต่ตื่นตอนเช้า
ถ้าเครื่องยนต์ทำงาน เขาก็ออกเรือได้
พวกเขารู้สึกเสมอว่าเขาสามารถพึ่งพา
ความมั่นคงที่ธรรมชาติประทานให้เขามาโดยตลอด
ผ่านระบบนิเวศในอ่าวนี้
แต่ตอนนี้พวกเขากำลังพบว่าโลกของเขากำลังพังทลายลง
คุณสามารถเห็นความรู้สึกนี้ต่อหน้าต่อตาคุณเลย
สัญญาณของความช็อค ตกอกตกใจ
สัญญาณของความไม่พอใจ
สัญญาณของความโกรธเกรี้ยว
และความเศร้าโศกของพวกเขา
นี่คือสิ่งที่คุณเห็นได้อย่างแจ่มแจ้ง
แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่คุณไม่สามารถเห็นได้
ที่อยู่ใต้น้ำ
แล้วกำลังเกิดอะไรขึ้นใต้น้ำหละ?
บางคนพูดว่า
คราบน้ำมันเป็นสายๆมีอยู่จริง
บางคนก็บอกว่าไม่มี
และ สส.มารคีย์ก็เลยถามว่า
หรือเราจะต้องถึงขั้นหาเรือดำน้ำมาเพื่อ
ลงไปดูว่ามันมีสายครายน้ำมันอยู่จริงๆหรือเปล่า
แต่ตัวผมเองไม่มีโอกาสนั่งเรือดำน้ำหรอก
โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่รู้ว่าจะมาพูดที่นี่จนถึงวันนี้
ผมก็เลยต้อง
ทำการทดลองเล็กๆของผมเอง
เพื่อดูว่ามีน้ำมันอยู่ในอ่าวเม็กซิโกไหม
เอาหละ นี่คืออ่าวแห่งเม็กซิโก
น้ำประกายแวววาว เต็มไปด้วยปลามากมายนะครับ
แล้วผมก็สร้างสถานการณ์น้ำมันรั่วขึ้นมา
ในอ่าวเม็กซิโก
แล้วผมก็พบว่า ผมได้ยืนยันข้อสมมุติฐาน
ที่ว่าน้ำกับน้ำมันไม่รวมตัวกัน
จนกว่าคุณจะเติมสารสลายลงไป
และเมื่อนั้นแหละ
ที่มันจะผสมกันได้
และต่อไปก็เติมพลังงานลงไปหน่อย
แล้วเราก็เติมลมนิดๆคลื่นหน่อยๆ
แล้วเราก็ได้หายนะของเรา
เป็นหายนะซึ่ง
คุณไม่สามารถทำความสะอาดได้
คุณสัมผัสมันไม่ได้ คุณแยกมันออกมาจากน้ำไม่ได้
และที่สำคัญที่สุด ในความเห็นผมนะ
คุณมองไม่เห็นมันด้วย
ซึ่งผมเห็นว่ามันกำลังถูกซ่อนไว้โดยตั้งใจ
แต่นี่เป็นเรื่องหายนะและเละเทะจน
ข่าวที่พยายามปิดก็ยังรั่วออกมาจากแหล่งลับๆต่างๆนานาจนได้
แต่ก็อย่างคนพูดกันหนาหู
ว่ามีความพยายามที่จะปกปิดสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ในความเห็นผมแล้ว ผมคิดว่า
สารสลายน้ำมันเป็น
กลยุทธ์หลักในการเผาศพทิ้ง
เพราะถ้าจะพูดเชิงเปรียบเทียบแล้ว เราได้แต่งตั้งให้ฆาตกร
เป็นผู้รับผิดชอบหาหลักฐานการฆาตกรรม
แต่ทุกคนเห็นครับว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
ทุกคนเห็นว่าน้ำมันได้
รวมตัวและสะสมกันบริเวณไหนบนผิวน้ำ
และบริเวณนี้ก็จะถูกอำพราง ทำให้สลาย ถูกปกปิด
เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้มันเป็นหลักฐาน นี่ผมคิดเอาเองนะ
โอเค ครับ
เราเคยได้ยินว่า พวกเชื้อแบคทีเรียกินน้ำมัน ใช่ไหมครับ
เช่นเดียวกันกับเต่าทะเลครับ
เวลาที่น้ำมันสลายแล้ว
มันยังต้องผ่านปากอีกหลายปาก
กว่าจะไปถึงเจ้าตัวแบคทีเรีย
เต่ากินน้ำมัน น้ำมันจะติดเหงือกของปลา
ปลาพวกนี้จะต้องว่ายอยู่รอบๆน้ำมันนี้
วันนี้ผมได้ยินเรื่องที่น่าทึ่งมาก
ระหว่างนั่งรถไฟมาที่นี่ครับ
มีนักเขียนชื่อ เท็ด วิลเลี่มส์ โทรมาหาผม
และถามผมสองสามคำถาม
เกี่ยวกับสิ่งที่ผมเห็น
เพราะเขากำลังเขียนบทความให้กับนิตยสารเอาดูบอน
เท็ดบอกว่าเขาได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่บริเวณอ่าวไม่นานมานี้
ประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนหน้านี้
และมีชาวเรือที่พาคนไปตกปลาเล่นคนหนึ่ง
ได้พาเท็ดไปดูว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นที่อ่าว
ปรากฏว่างานจองตกปลาจากลูกค้าของเขาทั้งหมดในปีนี้
ถูกยกเลิกหมดทุกราย
เขาไม่มีลูกค้าเหลือเลย
และลูกค้าทุกคนอยากได้เงินมัดจำคืน ทุกคนเผ่น
และนี่คือเรื่องราวของผู้ประกอบการอีกนับพัน
แต่ชาวเรือได้บอกกับคุณเท็ดนักเขียนว่า
วันสุดท้ายที่เขาออกเรือไปนั้น
มีปลาโลมาตัวหนึ่ง
จู่ๆก็โผล่มาที่ข้างเรือของเขา
และพ่นน้ำมันออกมา
ทางรูพ่นของมัน
แล้วชาวเรือก็ขับเรือออกห่าง
เพราะมันเป็น
ทริปตกปลาครั้งสุดท้ายแล้ว
และชาวเรือรู้ว่าปลาโลมาจะไล่ปลาเล็กอื่นๆไปถ้าหากมันอยู่ใกล้
เขาจึงขับบังคับเรือห่างออกไปจากตัวโลมา
แต่พออีกไม่กี่นาทีต่อมา หลังจากหันเรือกลับมาแล้วนัั้น
ก็ปรากฏว่าโลมามาอยู่ข้างๆเรืออีกแล้ว
ชาวเรือบอกว่า ในชีวิตเดินเรือตกปลามา 30ปี
เขาไม่เคยเห็นปลาโลมาทำแบบนั้นมาก่อนเลย
และเขารู้สึกว่า
เขารู้สึกว่า โลมามัน
กำลังเข้ามาขอความช่วยเหลือครับ ขอโทษครับ
สำหรับเหตุการณ์เรือขนส่งน้ำมันรั่วลงทะเล Exxon Valdez นั้น
ปลาวาฬ killer whales ประมาณ 30%
ตายไป ภายในเดือนแรกๆของเหตุการณ์
ประชากรปลาวาฬ killer whales ไม่เคยฟื้นตัวกลับมาได้ครับ แม้กระทั่งถึงวันนี้
เพราะฉะนั้นอัตราการฟื้นตัวของสิ่งมีชีวิตที่ถูกกระทบ
จะต่างกันไป
บางอย่างจะใช้เวลาฟื้นตัวนาน
และบางอย่าง ในความเห็นผมนะ คงน่า
จะกลับมาเร็วหน่อย
อีกเรื่องสำคัญที่คุณควรจะรู้เกี่ยวกับอ่าวเม็กซิโกคือ
มีสัตว์หลายชนิด
ที่รวมตัวกันในบริเวณอ่าว
บางช่วงของปี
ดังนั้นบริเวณอ่าวตรงนี้โดยเฉพาะจึงเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญมาก
สำคัญกว่าแหล่งน้ำปริมาตรใกล้เคียงกัน
แต่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรแอตแลนติค
มาดูปลาทูน่าสิครับ พวกเขาว่ายมหาสมุทรทั่วโลกเลย
พวกเขาว่ายในกระแสน้ำของอ่าวจนไปถึงยุโรปนู่น
พอถึงฤดูผสมพันธ์ พวกเขามาที่อ่าว
และดูทูน่าสองตัวนี้สิครับที่เคยถูกติดป้ายติดตามแหน่ง
คุณสามารถเห็นมันอยู่ในบริเวณที่จะมาผสมพันธ์ุกัน
ซึ่งก็อยู่ที่ใจกลางของคราบรั่วน้ำมันเลย
พวกทูน่าคงกำลังประสบ
ปีผสมพันธ์ุที่แย่มากๆ
ผมหวังว่าพวกทูน่าที่โตแล้ว
จะเลี่ยงน้ำสกปรกนั้น
พวกมันมักไม่ชอบเข้าไปในน้ำ
ที่ขุ่นมัวอยู่แล้ว
แต่ปลาทูน่าเป็นปลาแข็งแรงว่องไว
เปรียบเหมือนปลานักกีฬาเลย
ผมเลยเป็นห่วงว่าน้ำมันจะมีผลกระทบกับเหงือกหายใจเขายังไง
ผมไม่รู้ว่ามันจะกระทบปลาที่เจริญเติบโตแล้วม๊ัย
และถ้่่าไม่กระทบ แต่ที่โดนอยู่เ่ต็มๆ
คือไข่และลูกอ่อนของเขา ผมเชื่ออย่างนั้นนะ
แต่ถ้าคุณดูกราฟแสดงการลดลงๆเรื่อยนั้น
คุณจะเห็นว่าเรามนุษย์ทำอะไีรไปบ้างต่อปลาพันธ์ุนี้
จากการจับเขามากเกินไปในสิบๆปีีที่ผ่านมา
ดังนั้นถึงแม้การที่น้ำมันทะลัก
การรั่วไหล การระเบิด
จะเป็นหายนะ
อย่าลืมว่า
เราได้ทำเรื่องร้ายหลายๆอย่างในมหาสมุทร
มานานช้านานแล้ว
มันไม่ใช่แบบว่า เราได้สร้างหายนะใน
มหาสมุทรที่เป็นปกติ
เราสร้างหายนะในมหาสมุทรซึ่งถูกกดดันและถูกทำร้ายมาหลายทาง
และมีปัญหามากมายมาก่อนแล้ว
และถ้าคุณมองไปที่พวกนก
จะเห็นว่าในอ่าวมีนกอยู่เยอะมาก
นกเหล่านี้จะรวมตัวกันในอ่าวในบางช่วงของทุกๆปี
แต่แล้วก็บินต่อไปที่อื่น
พวกนกเขามีพื้นที่หากินที่กว้างมากๆ กว้างกว่าแค่แถวอ่าวนี้
ยกตัวอย่างนะครับ
นกส่วนใหญ่ในรูปนี้เป็นนกที่ย้ายถิ่นไปเรื่อยๆ
พวกเขาอยู่ในอ่าวในเดือนพฤษภาคม
ตอนที่น้ำมันเริ่มขึ้นชายฝั่งในบางพื้นที่
ข้างล่างซ้ายนั้น
คือนก รัดดี้เทอร์นโสตน และ นกแซนเดอร์ลิ่งส์
เขาผสมพันธ์ุกันบริเวณขั้วโลกเหนือ
และหลบหนีฤดูหนาวไปอยู่แถวทวีปอเมริกาใต้
แต่แล้วก็มารวมตัวกันในอ่าว
ก่อนที่จะกระจายกันไปทั่วขั้วโลกเหนือ
ผมเห็นนกที่ผสมพันธ์ุกันที่กรีนแลนด์
ในอ่าวเม็กซิโกนี้
ดังนั้นนี่เป็นปัญหาครอบคลุมทั้งซีกโลกครับ
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
อย่างน้อยนะครับ จะกระทบหลายๆชาติในหลายๆด้าน
ผลกระทบด้านชีววิทยาครอบคลุมซีกโลกเช่นเดียวกัน
ผมคิดว่านี่เป็นหนึ่งในที่สุดของ
ตัวอย่าง ความไม่พร้อมอย่างสิ้นเชิง
ที่น่าพิศวงที่สุด
เท่าที่ผมจะนึกออก
เพราะแม้แต่ตอนที่ ญี่ปุ่นบุกอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ ที่ฮาวายช่วงสงครามโลกที่ 2
อย่างน้อยก็มีการโต้ตอบยิงกลับไป
แต่ในครั้งนี้ดูเหมือนเรา
ไม่สามารถคิดได้เลยว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร
เราไม่มีความพร้อมใดๆทั้งสิ้น
และอย่างว่า เราได้เห็น
ว่าเขาทำอะไรในกาแก้ปัญหาที่ผ่านมา
ส่วนใหญ่เขากำลังใช้เรือลาก และสารละลาย
ปัญหาคือ เรือลากไม่ได้ถูกออกแบบให้มาอยู่ท่ามกลางช่องน้ำเปิดแบบนี้
พวกเขาไม่แม้แต่จะพยายามล้อม
คราบน้ำมันตรงที่มันมีเยอะที่สุดด้วยซ้ำ
เรือเหล่่านี้อยู่แค่ใกล้ฝั่ง ดูสองลำนี้สิ
ลำขวาชื่อว่า Fishing Fool
ช่างเป็นชื่อเรือที่บ่งบอกว่า
เป็นเรือออกแบบสำหรับอะไีร และจะแก้อะไรได้ไหม
แม้แต่นิดเดียว ในการลากล้อมน้ำมันระหว่างเรือสองลำนี้
ในขณะที่มีพื้นน้ำเป็นแสนๆ
ตารางไมล์ในอ่าวในขณะนี้
ที่มีน้ำมันลอยอยู่บนผิวน้ำ
และเจ้าสารละลายนี้ทำให้น้ำมันผสมกับน้ำ แล้วลอยผ่านเชือกดักใต้น้ำไป
เชือกล้อมมีเส้นผ่าศูนย์กลาง
อยู่แค่ 13นิ้ว เอง
เพราะฉะนั้น มันบ้าสิ้นดีครับ
แล้วนี่ครับ เรือที่เอาไว้ใช้จับกุ้งนะ
มีเรือจับกุ้งเป็นร้อย ที่ถูกจ้่างให้ลากล้อมน้ำมันแทนที่จะลากอวน
ตรงนี้คุณเห็นเขาทำงานกันอยู่
คุณจะเห็นเลยว่า
น้ำมันมันก็แค่กระฉ่อนข้่ามเชือกล้อมไป ไม่ได้ผลครับ
สิ่งที่เขาทำอยู่ก็ืคือไปคนมัน เท่านั้นเอง
มันไร้สาระแล้วครับ แต่ขำไม่ออกนะ
โอ้แล้ว ชายฝั่งก็ถูกล้อมเส้นโดยเชือกดักเหมือนกัน
ชายฝั่งที่ยาวเป็นร้อยๆไมล์เลยทีเดียว
แต่มีชายฝั่งที่มีการล้อมแล้ว
ที่มีพื้นที่ที่ติดกันเลยแต่ยังไม่ได้ล้อมดักน้ำมัน
ซึ่งเป็นโอกาสที่
น้ำมันและน้ำสกปรกจะเล็กรอดเข้าฝั่งได้
และรูปข้างล่างนั้น นั่นเป็นฝูงนกที่ถูกล้อมกันไว้
ทุกคนพยายามปกป้อง
ฝูงนกที่นั่น
อ่า...ในฐานะผู้ศึกษานก
ผมบอกได้เลยว่านกมันบิน
(หัวเราะ)
และการล้อมกักฝูงนก
ไม่ได้ผลครับ มันไม่ได้ผลเลย
นกเหล่านี้มีชีวิตอยู่ได้โดยการดำดิ่งลงไปในน้ำ
เอาเข้าจริงๆแล้ว
ผมคิดว่าสิ่งที่เขาควรจะทำ ถ้าจะทำอะไรซักอย่าง
คือ ตอนนี้เขาพยายามปกป้องรังนกกันเสียเหลือเกิน
แต่ถ้าในทางกลับกันเขาทำลายรังนกทุกๆรังแล้ว
นกบางตัวก็จะไปจากที่นี่
และนั่นจะเป็นสิ่งดีสำหรับพวกมันในปีนี้
โอ้ แล้วเรื่องการจับนกมาทำความสะอาด
คือ ผมไม่มีเจตนาจะใส่ร้าย
ผู้คนที่ทำความสะอาดนกนะ
ผมเห็นด้วยว่ามันสำคัญอย่างยิ่งเลย
ที่เราจะแสดงความเมตตาของเรา
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่คนเรามีนะ ผมว่า
คือความเมตตา
แล้วผมก็เห็นด้วยว่ามันนำมาซึ่งภาพแห่งความเมตตาเป็นเรื่องสำคัญ
และเราต้องแสดงภาพเหล่านั้น
แต่เอาจริงๆแล้ว นกที่เช็ดตัวแล้วจะถูกปล่อยไปไหนล่ะ?
มันเหมือนช่วยคนออกจากตึกที่ไฟไหม้อยู่
ดูแลรักษาปัญหาการหายใจของผู้ป่วย
แล้วก็ส่งผู้ป่วยกลับเข้าไปในตึกหนะครับ คือน้ำมันยังคงทะลักอยู่ในมหาสมุทรนะ
ผมปฎิเสธที่จะยอมรับว่านี่
เป็นอะไรที่ใกล้กับคำว่าอุบัติเหตุนะครับ
ผมคิดว่ามันเป็นผลของการปล่อยปะละเลยที่น่ารังเกียจ
(ปรบมือ)
ไม่ใช่แค่ บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ B.P.
B.P. ทำงาน
อย่างเละเทะ ไม่มีวินัย และอันตรายมากๆ
เพราะเขารู้ว่าเขาทำได้
และพวกเขาถูกปล่อยให้ทำได้
เพราะไม่มีการควบคุมแม้แต่นิดเดียว
ในส่วนหน่วยงานภาครัฐที่ควรทำหน้าที่
เป็นรัฐบาลเรา คอยปกป้องเรา
แต่กลับกลายเป็นว่า
คุณจะเห็นป้ายนี้บนเรือพาณิชย์เกือบทุกลำในอเมริกา
ที่บอกว่า ถ้าหากคุณทำน้ำมันรั่วแม้เพียง 1-2 แกลลอน (7 ลิตร)
บทลงโทษจะทำให้คุณต้องเดือดร้อนแน่ๆ
และมันทำให้เราต้องนึกถามตัวเองว่า
กฏหมายนี้ออกไว้เพื่อใคร เพื่อควบคุมใคร
และ ใครเหรอที่อยู่เหนือกฎเหล่านี้
เราสามารถป้องกันเรื่องนี้สำหรับอนาคตได้
เราสามารถเตรียมอุปกรณ์ที่จะต้องใช้จริงๆ
มันไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไร
ที่จะวางแผนเผื่อเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
ถ้าเราเจาะขุดรูกว่า 30,000 รู
ลงไปในพื้นของอ่าวเม็กซิโก เพื่อหาน้ำมัน
ว่าน้ำมันอาจจะไหลออกมาจากรูใดรูหนึ่ง
ถึงตอนนั้นคุณคงพร้อมที่จะรับมือกับมันมากกว่านี้
นั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราต้องเตรียมตัวครับ
แต่ผมคิดว่าเราต้องเข้าใจด้วยว่าการรั่วไหลนี้
จริงๆมันเริ่มจากที่ไหน
มันเริ่มจากการทำลาย
ความคิดที่ว่ารัฐบาลมีไว้
เพื่อเป็นรัฐบาลของเรา เพื่อปกป้อง
ประโยชน์ของส่วนรวม
ดังนั้น ผมคิดว่าการระเบิดออกมาของน้ำมัน
การเข้าไปอุ้มเหล่าธนาคารเรื่องหนี้เสีย (subprime loan)
วิกฤติการจำนองอสังหาริมทรัพย์ และอีกหลายๆสิ่ง
เป็นอาการของ
ปัญหาที่มีต้นตอเดียวกัน
คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจ
ว่าเราต้องการตำรวจเพื่อปกป้องเรา
จากคนไม่ดีไม่กี่คนในสังคม
และถึงแม้ว่าเราอาจจะรำคาญตำรวจในบางครั้ง
เช่นโดยการแจกใบสั่ง และเรื่องพรรณนั้น
ไม่มีใครพูดว่าเราควรกำจัดตำรวจเสีย
แต่ขณะนี้ในหน่วยงานราชการส่วนอื่นๆ
ตั้งแต่ช่วง30 ปีที่ผ่านมา
ได้มีความพยายามที่จะลดการควบคุมและการตรวจสอบให้น้อยลง
โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังโดยตรง
ก็คือผู้ที่เราเหล่าประชาชน
ต้องจับตาดู และเราต้องการให้รัฐปกป้องเราจากพวกเขา
คนเหล่านี้กำลังซื้อรัฐบาลจากเราไป
(ปรบมือ)
นี่เป็นปัญหาเรื้อรังมานานแสนนานแล้ว
คุณเห็นเลยว่า
บริษัทหรือนิติบุคคลเหล่านี้จัดเป็นองค์กรที่ผิดกฏหมายสมัยจัดตั้งอเมริกา
และแม้แต่ประธานาธิบดี โทมัส เจฟเฟอร์สัน ยังบ่นว่า
เหล่านิติบุคคลหรือบริษัทเริ่มจะ
ต่อต้่านกฏหมายของชาติแล้วตั้งแต่สมัยนั้น
เอาหละ คนที่พูดว่า
พวกเขาเป็นพวกอนุรักษ์นิยม
ถ้าพวกเขาต้องการที่จะเป็น
อนุรักษ์นิยมและเป็นคนที่รักชาติจริงๆ
เขาควรจะบอกบริษัทเหล่านี้
ให้ไปลงนรกซะ
นั่นแหละจึงจะเป็นคนอนุรักษ์นิยมของแท้
ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำ
คือกลับมาสนใจความคิดที่ว่า
รัฐบาลนี้เป็นของเรา
มีไว้เพื่อปกป้องประโยชน์ส่วนรวมของเรา
และเรามารวมพลังกันใหม่
และสร้างเป้าหมายร่วมกันในประเทศ
ที่สูญหายไปนานเกินไปแล้ว
ผมคิดว่ายังมีความหวังนะ
ดูเหมือนเรากำลังตื่นขึ้นมานิดๆ
กฏหมาย กล๊าส สตีกัล
ที่มีหน้าที่ปกป้องเราจากต้นเหตุที่
ทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอย
และปรากฏการณ์ล้มละลายของธนาคาร
และเรื่องต่างๆที่ต้องการให้รัฐเข้าไปอุ้ม
กฏหมายฉบับนั้นเริ่มใช้ในปี 1933
แต่ได้ถูกทำลายอย่างเป็นระบบ
ตอนนี้มีคนเริ่มคิดจะเอากฏนั้น
กลับมาใช้ใหม่
แต่พวกหัวคะแนนโน้มน้าวก็พร้อมจะสู้เรื่องนี้แล้ว
พร้อมที่จะทำให้กฏเหล่านี้อ่อนลง
ทันทีที่มันเพิ่งผ่านการอนุมัติในสภา
มันเป็นการต่อสู้อย่างต่อเนื่องครับ
นี่เป็นนาทีแห่งประวัติศาสตร์แล้ว
เราจะได้ประสบกับ
ความหายนะที่หยุดยั้งไม่ได้
ในลักษณะของน้ำมันรั่วในอ่าว
หรือ เราจะเปลี่ยนวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาส
อย่างที่หลายๆคนได้พูดถึงวันนี้
หมู่นี้เรามักได้ยินประเด็นนี้บ่อยๆ
ในการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส
เราเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน
จากวิธีการขุดเจาะน้ำมันในทะเลในรูปแบบอื่นๆ
บ่อน้ำมันทะเลแรกๆถูกเรียกว่าปลาวาฬ
และฐานขุดเจาะบ่อเหล่านั้นเรียกว่าหลาวล่าปลาวาฬ
ตอนนั้นเราดูดน้ำมันออกไปหมด
มาทีนี้เรายังติดอยู่กับเรื่องนี้อีกหรือ?
ตั้งแต่มนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำ
ทุกครั้งที่เราต้องการพลังงาน
เราจุดไฟเผาอะไรสัักอย่าง และทุกวันนี้เราก็ยังทำอย่างนั้นอยู่
เรายังคงจุดไฟเผาอะไรบางอย่างอยู่
ทุกครั้งที่เราต้องการพลังงาน
แล้วคนก็พูดว่า
เราไม่สามารถใช้พลังงานสะอาดได้
เพราะมันแพงเกินไป
ใครเหรอที่บอกว่าแพง
คนที่ขายพลังงานเชื้อเพลิงแก่เรา
เราเคยถกกันเรื่องพลังงานมาก่อนนะ
แล้วคนก็พูดว่าเศรษฐกิจ
จะไม่สามารถเผชิญการเปลี่ยนแปลงรูปแบบพลังงานได้
เพราะพลังงานที่ถูกสุดคือแรงงานทาส
พลังงานเป็นเรื่องศีลธรรมมาโดยตลอดนะครับ
มันกำลังเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอยู่ตอนนี้
มันเป็นเรื่องของความถูกผิด
ขอบคุณมากครับ