เรากำลังประกาศสงครามกับโรคมะเร็ง และเราจะชนะสงครามนี้ภายใน ค.ศ. 2015 นี่คือสิ่งที่รัฐสภาของสหรัฐอเมริกา และสถาบันมะเร็งแห่งชาติประกาศ เมื่อไม่นานมานี้ในปี ค.ศ. 2003 ตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าพวกคุณคิดยังไง แต่ตัวผมเองนั้นไม่เชื่อเรื่องนี้ ผมไม่คิดว่าเราชนะสงครามนี้ได้แล้ว และผมไม่คิดว่า จะมีใครที่นี่ สงสัยเรื่องนั้น ทีนี้ผมจะบอกถึงเหตุผลหลัก ที่เราไม่สามารถเอาชนะสงครามกับโรคมะเร็งได้ นั่นก็เพราะเรากำลังต่อสู้อย่างมืดบอด ผมจะเริ่มด้วยการแบ่งปันเรื่องราว ของเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผม เขาชื่อ เอฮุด ครับ เมื่อไม่กี่ปีก่อน เอฮุดได้รับ การวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งสมอง แล้วก็ไม่ใช่แค่มะเร็งสมองทั่ว ๆ ไปนะครับ แต่เป็นมะเร็งสมองชนิดร้ายแรงที่สุด อันที่จริง มันร้ายแรงถึงขั้นที่ คุณหมอบอกเขาว่า เขามีเวลาเพียงแค่ 12 เดือน และในระยะเวลา 12 เดือนนั้น พวกเขาต้องหาวิธีรักษา พวกเขาต้องหายารักษา และหากพวกเขาไม่สามารถ หาทางรักษามันได้ เขาจะตาย ข่าวดีก็คือ คุณหมอบอกว่า มีแนวทางในการรักษาให้เลือกมากมาย แต่ข่าวร้ายก็คือ การที่จะบอกได้ว่าการรักษานั้นได้ผลหรือไม่ จำเป็นต้องใช้เวลาประมาณสามเดือน ดังนั้นพวกเขาก็ไม่มีเวลามากพอ ที่จะลองทุกวิธีที่มี ครับ แล้วเอฮุดก็เข้ารับการรักษาครั้งแรก ในระหว่างการรักษาครั้งแรกนั้น ไม่กี่วันหลังจากเริ่มการรักษา ผมได้พบเอฮุด และเขาบอกกับผมว่า "อดัม ผมคิดว่าการรักษาได้ผลนะ ผมคิดว่าผมโชคดีมาก ๆ เลยล่ะ เพราะว่าบางอย่างกำลังเกิดขึ้น" ผมเลยถามเขาต่อว่า "จริงหรอ ว่าแต่ว่าทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ เอฮุด" เขาตอบผมว่า "ก็ตอนนี้ผมรู้สึกแย่มาก ๆ อยู่ข้างใน" "ผมว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างได้ผลอยู่แน่ๆ" "ต้องใช่แน่นอน" ครับ แต่โชคร้ายที่สามเดือนหลังจากนั้น เราได้รู้ว่ามันไม่ได้ผล และเอฮุดก็เข้ารับการรักษาครั้งที่สอง เป็นอีกครั้งที่ผลออกมาเหมือนเดิม "ผมรู้สึกแย่มากเลย ต้องมีอะไรเกิดขึ้นอยู่ข้างในแน่ ๆ" แต่อีกสามเดือนต่อมา ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่เราได้รับข่าวร้าย จากนั้นเอฮุดก็เข้ารับการรักษา ครั้งที่สาม แล้วก็ครั้งที่สี่ แล้วก็เป็นไปตามที่คาดไว้ เอฮุดเสียชีวิตในท้ายที่สุด ทีนี้ เมื่อใครสักคนหนึ่งคุณสนิทด้วยมาก ๆ ต้องผ่านการฝ่าฟันอย่างหนัก คุณก็จะท่วมท้นไปด้วยอารมณ์มากมาย หลายสิ่งหลายอย่างจะ ผ่านเข้ามาในความคิดของคุณ สำหรับผมแล้ว ผมรู้สึกเจ็บแค้นเป็นส่วนใหญ่ ผมเจ็บแค้นที่ว่า เราทำได้ดีที่สุดแค่นี้เองหรอ แล้วผมก็เริ่มมองเข้าไปให้ลึกขึ้น จากนั้นผมจึงพบว่าสิ่งที่หมอเสนอ ให้เอฮุดนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด และสิ่งที่หมอเสนอก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด สำหรับผู้ป่วยมะเร็งสมองคนอื่น ๆ ด้วย จริง ๆ แล้ว เรายังรับมือกับโรคมะเร็ง ได้ไม่รอบด้านนัก ผมขอยกสถิติหนึ่งขึ้นมา ผมมั่นใจว่าพวกคุณบางคน คงได้เห็นมันมาก่อนแล้ว สถิตินี้จะบอกพวกคุณว่ามีผู้ป่วยมะเร็ง เสียชีวิตจากมะเร็งจริง ๆ กี่คน ในกรณีนี้ คือ ผู้หญิงในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930 คุณจะเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเยอะเลย มะเร็งยังคงเป็นปัญหาใหญ่ แต่คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คุณจะเห็นว่ามีคนเป็นมะเร็งปอดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งต้องขอบคุณบุหรี่ทั้งหลาย แล้วคุณก็จะได้เห็นด้วยว่า มะเร็งกระเพาะอาหารนั้น ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้คน ไปมากที่สุดในบรรดามะเร็งทุกชนิด ถูกกำจัดไป ทีนี้ ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ มีใครรู้บ้างไหม ทำไมมนุษยชาติถึงไม่โดนจู่โจม ด้วยมะเร็งกระเพาะอีกแล้ว ความก้าวหน้าทางการแพทย์ ครั้งยิ่งใหญ่อะไรกัน ที่ช่วยให้มนุษยชาติรอดพ้น จากมะเร็งกระเพาะอาหาร ใช่ยาชนิดใหม่ หรือการวินิจฉัยโรคที่ดีขึ้นหรือเปล่า พวกคุณเข้าใจถูกแล้ว มันเป็นเพราะการเกิดขึ้นของตู้เย็นยังไงล่ะ ที่ทำให้เราไม่ต้องกินเนื้อบูด ๆ อีกต่อไป กลับกลายเป็นว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่เราคิดค้นมาได้ จากสังเวียนของงานวิจัยด้านมะเร็ง คือการที่ตู้เย็นถูกสร้างขึ้นมา (เสียงหัวเราะ) ผมก็รู้สึกแบบคุณนั่นล่ะ เราทำกันได้ไม่ดีสักเท่าไร ผมไม่ได้จะลดทอนความก้าวหน้า รวมถึงทุกอย่างที่ได้ทำมาทั้งหมด ในงานวิจัยด้านมะเร็งนะครับ ลองดูสิว่า เรามีงานวิจัยเกี่ยวกับ มะเร็งที่ดีมาราว ๆ 50 กว่าปี ที่ทำให้เราค้นพบสิ่งที่สำคัญ ๆ ที่สอนเราเกี่ยวกับมะเร็ง แต่ถึงจะพูดแบบนั้นก็ตาม เรายังมีงานหนักอีกมากมาย ที่ยังต้องทำอยู่ข้างหน้า ผมขอโต้แย้งอีกครั้งว่า เหตุผลหลักที่ทำไมมันถึงยังเป็นแบบนี้อยู่ เหตุที่ว่าทำไมเราถึงยังทำมาได้ไม่ดีพอนั้น ก็เพราะว่าเรากำลังต่อสู้กับมะเร็งอย่างมืดบอด และจุดนี้เองที่การฉายภาพทางการแพทย์ จะเข้ามาเกี่ยวข้อง และเป็นจุดที่งานของผมเองเข้ามาเกี่ยวข้อง และเพื่อจะทำให้คุณเข้าใจ การฉายภาพทางการแพทย์ได้ดีที่สุด ซึ่งใช้กับผู้ป่วยมะเร็งสมองทุกวันนี้ รวมถึงใช้กับ ผู้ป่วยมะเร็งชนิดอื่น ๆ ด้วย ผมจะให้คุณดูเพทสแกน (PET Scan) อันนี้ เรามาดูพร้อมกันเถอะ นี่คือเพท ซีทีสแกน (PET/CT Scan) และสิ่งที่คุณเห็นข้างใน เพท ซีทีสแกน นั้น คือซีทีสแกนที่แสดงให้คุณเห็นว่า กระดูกอยู่ตรงไหน และเพทสแกนที่จะบอกคุณว่า เนื้องอกนั้นอยู่ที่ไหน ทีนี้ สิ่งที่คุณเห็นได้ในตอนนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นโมเลกุลน้ำตาล ที่ถูกติดป้ายเล็ก ๆ เข้าไป ที่กำลังส่งสัญญาณออกมา ภายนอกร่างกายมายังเรา "เฮ้ ฉันอยู่นี่" โมเลกุลน้ำตาลพวกนี้นับพันล้านโมเลกุล จะถูกฉีดเข้าไปในร่างกายของคนไข้ แล้วก็จะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย คอยหาเซลล์ที่หิวโหยน้ำตาล ตัวอย่างเช่น คุณจะเห็นว่าหัวใจส่องสว่างอยู่ตรงนั้น นั่นก็เพราะว่าหัวใจนั้นต้องการน้ำตาลมาก และคุณก็จะเห็นว่า กระเพาะปัสสาวะก็ส่องสว่างเช่นกัน ซึ่งก็เพราะว่า กระเพาะปัสสาวะคืออวัยวะที่กำจัด น้ำตาลออกไปจากร่างกายของเรา แล้วคุณก็จะเห็นจุดสว่างอื่น ๆ อีกเช่นกัน ซึ่งจุดพวกนี้เองที่เป็นเนื้องอก เทคโนโลยีนี้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก เป็นครั้งแรกที่มันทำให้เราสามารถมองเข้าไป ในร่างกายของใครสักคนได้ โดยที่ไม่ต้องเอาเซลล์พวกนั้นทั้งหมดออกมา แล้ววางไว้ใต้กล้องจุลทรรศน์ และด้วยวิธีที่ไม่รุกรานแบบนี้ ทำให้เรา สามารถมองเข้าไปในร่างกายของใครสักคน แล้วถามว่า "เห้ย มะเร็งแพร่กระจายแล้วหรือยัง มันอยู่ไหนน่ะ" ซึ่งเพทสแกนนั้น กำลังแสดง ให้คุณเห็นอย่างชัดเจนมาก ว่าจุดสว่าง ๆ พวกนี้อยู่ตรงไหน และเนื้องอกอยู่ตรงไหน แต่ถึงแม้ว่ามันจะดูน่าอัศจรรย์สักเท่าไรก็ตาม ก็ยังมีความโชคร้ายว่า มันก็ไม่ได้ดีเยี่ยมขนาดนั้น คุณเห็นไหม จุดสว่างเล็ก ๆ ตรงนั้นน่ะ มีใครเดาได้ไหมว่าในเนื้องอกแต่ละก้อน มีเซลล์มะเร็งกี่เซลล์ ประมาณ 100 ล้านเซลล์ยังไงล่ะ และเพื่อให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจตัวเลขนี้ ผมจะบอกว่า ในจุดสว่างเล็ก ๆ ทุกจุดพวกนี้ ที่คุณเห็นอยู่ในรูปนั้น จำเป็นจะต้องมีเซลล์มะเร็ง อย่างน้อย 100 ล้านเซลล์ ถึงจะทำให้เครื่องนี้ตรวจพบได้ ทีนี้ ถ้าพวกคุณคิดว่ามันเป็นตัวเลขที่มาก ถูกต้องแล้ว มันคือตัวเลขที่มาก จริง ๆ แล้ว มันคือตัวเลขมหาศาลเลยล่ะ เพราะสิ่งที่เราต้องทำ เพื่อให้เอาออกมาให้เร็วพอ เพื่อที่จะทำอะไรกับมันได้ เพื่อที่จะทำอะไรที่ก่อให้เกิดผลที่ดีนั้น คือเราต้องเอาเนื้องอก ที่มีขนาดแค่หนึ่งพันเซลล์ออก หรือถ้าเป็นไปได้ ก็คือเซลล์ แค่หยิบมือเดียวเท่านั้น นั่นหมายความว่าเรายังอยู่ห่างจากจุดนั้นมาก ดังนั้นเราจะทำการทดลองเล็ก ๆ ที่นี่ ตอนนี้ ผมจะให้พวกคุณแต่ละคน เล่นเกมและจินตนาการว่า คุณเป็นหมอผ่าตัดสมอง แล้วตอนนี้คุณก็กำลังอยู่ในห้องผ่าตัด และมีคนไข้คนหนึ่งนอนอยู่ข้างหน้าคุณ งานของคุณคือ คุณต้องทำให้แน่ใจว่า เนื้องอกนั้นถูกเอาออกไปแล้ว ตอนนี้คุณกำลังมองไปที่คนไข้ของคุณ และเมื่อคุณมองลงไปนั้น ผิวหนังและกะโหลกของคนไข้ก็ถูกเปิดออกแล้ว ตอนนี้คุณกำลังมองไปที่สมอง และสิ่งที่คุณรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับคนไข้คนนี้ คือคนไข้มีก้อนเนื้องอกขนาดประมาณลูกกอล์ฟ ในสมองกลีบหน้าด้านขวาของเขา เท่านั้นล่ะที่คุณรู้ คุณเลยมองลงไป แต่โชคไม่ดีที่ ทุกอย่างกลับดูเหมือนกันไปหมด เพราะว่าเนื้อเยื่อมะเร็งและ เนื้อเยื่อปกติของสมองนั้น แท้จริงแล้วดูเหมือนกัน คุณเลยยื่นนิ้วโป้งของคุณลงไป แล้วเริ่มกดที่สมองสักจุดหนึ่ง เพราะว่าเนื้องอกมักจะแข็งและกระด้างกว่า คุณเลยยื่นนิ้วเข้าไปแล้วทำแบบนั้น แล้วก็พูดว่า "ดูเหมือนว่าเนื้องอกจะอยู่ตรงนี้นะ" แล้วคุณก็เอามีดออกมาแล้วผ่าเนื้องอกนั้นออก ทีละชิ้น ทีละชิ้น และในขณะที่คุณกำลังเอาเนื้องอกออกมา ก็จะมาถึงจุดที่คุณคิดว่า "โอเคล่ะ เสร็จแล้ว ฉันเอาทุกอย่างออกมาหมดแล้ว" และในขั้นนี้ ขั้นที่ทุกอย่างดูเหมือนไม่เข้าท่าไปหมด คุณจะได้พบกับการตัดสินใจที่ ท้าทายที่สุดในชีวิตของคุณ เพราะในตอนนี้คุณต้องตัดสินใจแล้วว่า คุณจะหยุดแต่เพียงเท่านี้ แล้วปล่อยคนไข้ไป และในขณะเดียวกัน ก็ต้องเสี่ยงว่า อาจมีเซลล์มะเร็งที่หลงเหลืออยู่ ที่คุณมองไม่เห็น หรือว่าจะเอาขอบ ๆ ออกเพิ่มสักเล็กน้อย ประมาณหนึ่งนิ้วรอบ ๆ เนื้องอก เพื่อให้แน่ใจว่าเอาทุกอย่างออกหมดแล้วจริง ๆ มันไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายเลย แต่โชคร้ายที่การตัดสินใจแบบนี้นั้น คือสิ่งที่หมอผ่าตัดสมอง ต้องตัดสินใจอยู่ทุกวัน ขณะที่ต้องพบกับคนไข้ ผมจำได้ว่าผมคุย กับเพื่อนสองสามคนในห้องทดลอง เราพูดกันว่า "พวก มันต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้" แต่ไม่ใช่แค่การพูดกับเพื่อนว่า ต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้ แต่มันจะต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้ที่นี่ ซึ่งมันดูเป็นไปไม่ได้เลย แล้วพวกเราจึงมองย้อนกลับไป จำเครื่องเพทสแกนที่ผมบอกคุณได้ไหม ทั้งเรื่องน้ำตาลและเรื่องอื่น ๆ เราพูดกันว่า เห้ย แทนที่เราจะใช้โมเลกุลน้ำตาล เรามาลองใช้อนุภาคทองคำ ที่มีขนาดเล็กมาก ๆ แทนไหม แล้วตั้งโปรแกรมมันด้วย คุณสมบัติทางเคมีที่น่าทึ่งของมัน โดยเรามาตั้งโปรแกรม เพื่อให้พวกมันหาเซลล์มะเร็งกัน จากนั้นเราก็จะฉีดอนุภาคทองคำเหล่านี้เข้าไป ในร่างกายของคนไข้นับพันล้านอนุภาคอีกครั้ง แล้วเราปล่อยให้มันแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย เหมือนกับสายลับ ที่เดินและแวะไปหาเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย แล้วเคาะประตูของเซลล์นั้น ๆ แล้วถามว่า "คุณเป็นเซลล์มะเร็ง หรือเซลล์ปกติ" ถ้าคุณเป็นเซลล์ปกติ เราจะปล่อยผ่านไป แต่ถ้าคุณเป็นเซลล์มะเร็ง เราจะเข้าไป และเปล่งแสงออกมา แล้วรายงานกับเราว่า "นี่ ดูนี่สิ ฉันอยู่นี่" และเราจะเห็นมัน ผ่านกล้องพิเศษบางตัว ที่เราสร้างขึ้นในห้องทดลอง และเมื่อเราเห็นมัน เราอาจจะนำทางหมอผ่าตัดสมอง มุ่งไปยังเนื้องอกเท่านั้น แล้วปล่อยสมองส่วนที่ปกติไว้ เราได้ทดลองมันแล้ว แล้วมันก็ทำงานได้ดี ดังนั้นตอนนี้ผมจะแสดงตัวอย่างให้คุณดู สิ่งที่คุณกำลังดูอยู่นั้น คือภาพสมองของหนู เราได้ปลูกถ่ายเนื้องอกก้อนเล็ก ๆ เข้าไปในสมองของหนูตัวนี้ ในตอนนี้ เนื้องอกก้อนนี้ กำลังขยายใหญ่ในสมองของหนูตัวนี้ จากนั้นเราก็ตามหมอมา แล้วขอให้หมอ ช่วยผ่าตัดหนูตัวนี้ ราวกับว่ามันเป็นคนไข้คนหนึ่ง และเอาชิ้นเนื้องอกออกทีละชิ้น ๆ และในขณะที่เขากำลังผ่าตัดอยู่นั้น เราจะถ่ายภาพเพื่อดูว่า อนุภาคทองคำนั้นอยู่ที่ไหน โดยเราจะเริ่มขั้นแรก โดยการฉีดอนุภาคทองคำพวกนี้ เข้าไปในหนูตัวนี้ เราจะมาดูทางซ้ายสุดนี้ รูปด้านล่างนั้น คือรูปที่แสดงให้เห็นว่า อนุภาคทองคำอยู่ตรงไหน ข้อดีก็คือ อนุภาคทองคำพวกนี้นั้น สามารถเดินทางไปถึงก้อนเนื้องอกได้ทั้งหมด แล้วพวกมันก็ส่องแสงออกมา เพื่อบอกเราว่า "นี่ พวกเราอยู่ที่นี่ เนื้องอกอยู่ตรงนี้" ในตอนนี้เราก็สามารถมองเห็นเนื้องอกได้ แต่เราจะยังไม่เอาไปให้หมอดูทันที เราบอกหมอว่า รบกวนหมอผ่าเอาเนื้องอกออกไปที คุณจะเห็นว่า หมอได้เอาก้อนเนื้องอกออกไปหนึ่งในสี่แล้ว และคุณจะเห็นว่า เนื้องอกส่วนหนึ่งได้หายไปแล้ว จากนั้น หมอก็เอาเนื้องอก ส่วนที่สอง ส่วนที่สามออก และตอนนี้ดูเหมือนว่า จะเอาออกไปจนหมดแล้ว และในขั้น ๆ นี้ หมอกลับมาหาเราและบอกว่า "ผมทำเสร็จแล้ว คุณอยากให้ผมทำอะไรอีกหรือเปล่า ผมควรปล่อยไว้แบบนี้ หรือคุณอยากให้ผมเอาบริเวณรอบ ๆ นั้น ออกเพิ่มอีกสักหน่อย" เราเลยบอกหมอว่า "เดี๋ยวก่อนครับ" เราบอกเขาว่า "คุณยังไม่ได้เอาสองจุดนั้นออก ดังนั้นแทนที่จะเอาขอบ ๆ ที่มีขนาดใหญ่ออก หมอแค่เอาจุดเล็ก ๆ พวกนั้นออกก็พอ เอามันออกมา แล้วมาดูกัน" หมอจึงเอามันออก และไม่น่าเชื่อเลย มะเร็งทั้งหมดหายไปแล้ว แต่สิ่งสำคัญ ไม่ใช่เพียงแค่มะเร็งนั้นหายไปจนหมด จากสมองของคนคนนี้ หรือจากหนูตัวนี้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราไม่ต้องผ่าเอาเซลล์สมองปกติออกไปมากมาย ระหว่างการผ่าเนื้องอกนั้น ดังนั้น ในตอนนี้ เราสามารถจินตนาการถึงโลก ที่หมอและหมอผ่าตัด รู้อย่างแน่ชัดว่า จะต้องเอาส่วนไหนออกมา ขณะผ่าเอาเนื้องอกออก โดยที่ไม่ต้องคาดเดาด้วยนิ้วโป้งอีกต่อไป ทีนี้ นี่คือสาเหตุว่าทำไม การเอาเนื้องอกเล็ก ๆ ที่เหลืออยู่นั้นออก จึงสำคัญอย่างมาก เนื้องอกที่หลงเหลืออยู่นั้น ถึงแม้ว่าจะมีเซลล์เพียงแค่หยิบมือเดียว จะเติบโตและก่อให้เกิดเนื้องอกขึ้น และนำเนื้องอกกลับมาใหม่ จริง ๆ แล้วนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหมอผ่าตัดสมอง ร้อยละ 80 ถึง 90 ถึงล้มเหลวในท้ายที่สุด นั่นก็เพราะขอบเล็ก ๆ พวกนั้น ที่เป็นเนื้องอกที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ เพราะเนื้องอกเล็ก ๆ น้อยนิด ที่ถูกทิ้งอยู่ในนั้น ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ แต่สิ่งที่ผมอยากจะแบ่งปันกับพวกคุณจริง ๆ คือ จุดหมายที่เรากำลังมุ่งไปข้างหน้า ในห้องทดลองที่สแตนฟอร์ดของผมนั้น นักศึกษากับผมถามว่า ตอนนี้สิ่งที่เราควรจะทำคืออะไร ผมคิดว่าจุดหมายที่เทคโนโลยีฉายภาพ กำลังมุ่งไปหานั้น คือศักยภาพในการส่องเข้าไปในร่างกายคน และสามารถมองเห็น เซลล์แต่ละเซลล์แยกกัน ศักยภาพนี้ จะทำให้เรา สามารถที่จะเอาเนื้องอกออกได้นาน ก่อนที่จะมีเซลล์ 100 ล้านเซลล์ข้างใน ซึ่งจะทำให้เราจัดการกับมันได้จริง ๆ ศักยภาพในการมองเห็นเซลล์แต่ละเซลล์ แยกกันนี้ ยังอาจทำให้เรา ได้ถามคำถามที่ล้ำลึกมากมาย ดังนั้นในห้องทดลองตอนนี้ เรากำลังไปถึงจุด ที่เราสามารถเริ่มถามคำถามกับ เซลล์มะเร็งพวกนี้ได้มากมายอย่างแท้จริง เช่น ถามมันว่า มันกำลังตอบสนอง ต่อการรักษาแบบที่เราใช้หรือเปล่า หากมันไม่ตอบสนอง เราจะได้หยุด วิธีการรักษาแบบเดิมทันที โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน และไม่ต้องรอถึงสามเดือน ซึ่งทำให้คนไข้แบบเอฮุด ที่กำลังจะต้องผ่านขั้นตอน การทำคีโมที่เลวร้ายนั้น ไม่ต้องทรมาน จากผลข้างเคียงที่น่ากลัวของยานั้นอีกต่อไป ทั้งที่จริง ๆ แล้วยาพวกนั้น ไม่ได้ช่วยอะไรพวกเขาเลย ถ้าจะให้ผมพูดตรง ๆ จริง ๆ แล้ว เรายังห่างไกลจากชัยชนะ ในการทำสงครามกับมะเร็ง ถ้ามองบนพื้นฐานความเป็นจริง แต่อย่างน้อยที่สุดผมก็มีความหวัง ว่าเราจะสามารถต่อสู้ในสงครามนี้ได้ ด้วยเทคนิคทางการแพทย์ที่ดีขึ้น ด้วยวิธีที่ไม่มืดบอดอีกต่อไป ขอบคุณครับ (เสียงปรบมือ)