Return to Video

พลังของความเปราะบางทางใจ

  • 0:00 - 0:02
    เริ่มต้นอย่างนี้ละกันค่ะ
  • 0:02 - 0:04
    2-3 ปีก่อน มีผู้จัดงานคนนึงโทรมาหา
  • 0:04 - 0:06
    เพราะฉันกำลังจะไปพูดบรรยาย
  • 0:06 - 0:08
    เธอโทรมา แล้วบอกว่า
  • 0:08 - 0:10
    "ฉันกำลังคิดไม่ตก
  • 0:10 - 0:12
    ว่าจะเขียนแนะนำคุณยังไงในใบปลิวโฆษณา"
  • 0:12 - 0:14
    ฉันเลยถามไปว่า "มีปัญหาตรงไหนเหรอคะ"
  • 0:14 - 0:16
    เธอตอบว่า "คือ ฉันเคยฟังคุณพูด
  • 0:16 - 0:19
    และคิดว่าฉันน่าจะเรียกคุณว่า'นักวิจัย'
  • 0:19 - 0:21
    แต่ก็กลัวว่า ถ้าเรียกคุณว่า'นักวิจัย' แล้วจะไม่มีใครมาฟัง
  • 0:21 - 0:23
    เพราะคนเขาจะคิดว่าคุณน่าเบื่อและไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตเขา"
  • 0:23 - 0:25
    (หัวเราะ)
  • 0:25 - 0:27
    โอเค
  • 0:27 - 0:29
    เธอบอกว่า"แต่ที่ฉันชอบเกี่ยวกับการบรรยายของคุณน่ะ
  • 0:29 - 0:31
    คือความที่คุณเป็นนักเล่าเรื่อง
  • 0:31 - 0:34
    ก็เลยคิดว่าเรียกคุณว่า'นักเล่าเรื่อง'แล้วกัน"
  • 0:34 - 0:37
    ซึ่งแน่นอนว่า ส่วนความเป็นนักวิชาการและความไม่มั่นใจของฉัน
  • 0:37 - 0:39
    ถามว่า "จะเรียกฉันว่าอะไรนะ"
  • 0:39 - 0:42
    เธอบอกว่า "จะเรียกคุณว่า'นักเล่าเรื่อง'ค่ะ"
  • 0:42 - 0:45
    ฉันเลย แบบว่า "ไม่เรียกว่า'ภูตน้อยมหัศจรรย์'ไปซะเลยล่ะ"
  • 0:45 - 0:48
    (หัวเราะ)
  • 0:48 - 0:51
    ฉันก็บอกว่า "เดี๋ยวขอคิดแป๊บนึง"
  • 0:51 - 0:54
    ฉันพยายามจะควานหาความกล้าในตัวเอง
  • 0:54 - 0:57
    แล้วก็คิดว่า ฉันเป็นนักเล่าเรื่องจริงๆ
  • 0:57 - 0:59
    ฉันเป็นนักวิจัยเชิงคุณภาพ
  • 0:59 - 1:01
    ฉันรวบรวมเรื่องราว นั่นคือสิ่งที่ฉันทำ
  • 1:01 - 1:04
    แล้วบางที เรื่องราวเหล่านั้นก็คือข้อมูลที่มีจิตวิญญาณ
  • 1:04 - 1:06
    บางที ฉันอาจจะเป็นแค่นักเล่าเรื่องจริงๆ
  • 1:06 - 1:08
    ฉันเลยบอกเธอไปว่า "เอาอย่างนี้แล้วกันค่ะ
  • 1:08 - 1:11
    คุณเรียกฉันว่า'นักวิจัย-เล่าเรื่อง'แล้วกัน"
  • 1:11 - 1:14
    เธอตอบว่า "ฮาฮา คนแบบนั้นไม่มีในโลกหรอกค่ะ"
  • 1:14 - 1:16
    (หัวเราะ)
  • 1:16 - 1:18
    ค่ะ ฉันเป็นนักวิจัย-เล่าเรื่อง
  • 1:18 - 1:20
    ที่จะมาบรรยายในวันนี้
  • 1:20 - 1:22
    เพราะเราพูดถึงการเปิดกว้างทางการเรียนรู้กันบ่อยๆ
  • 1:22 - 1:24
    ฉันเลยอยากจะพูดกับพวกคุณ และเล่าเรื่องบางเรื่อง
  • 1:24 - 1:27
    เกี่ยวกับงานวิจัยของฉันชิ้นหนึ่ง
  • 1:27 - 1:30
    ที่เปลี่ยนพื้นฐานความเข้าใจของฉัน
  • 1:30 - 1:33
    มันยังได้เปลี่ยนวิธีที่ฉันใช้ชีวิต และรัก
  • 1:33 - 1:35
    และทำงาน และเลี้ยงลูก
  • 1:35 - 1:37
    นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องค่ะ
  • 1:37 - 1:40
    ตอนที่ฉันยังเป็นนักวิจัยอายุน้อย เป็นนักศึกษาปริญญาเอก
  • 1:40 - 1:42
    ปีแรก มีศาสตราจารย์วิจัยคนนึง
  • 1:42 - 1:44
    ที่พูดกับพวกเราว่า
  • 1:44 - 1:46
    "มันเป็นอย่างนี้
  • 1:46 - 1:49
    ถ้าคุณวัดมันไม่ได้ มันไม่มีอยู่จริง"
  • 1:49 - 1:52
    ฉันคิดว่าเขาล้อเล่นกับฉันไปอย่างนั้น
  • 1:52 - 1:55
    ฉันว่า"จริงเหรอ" เขาก็ว่า"แน่นอน"
  • 1:55 - 1:57
    คุณต้องเข้าใจนะคะ
  • 1:57 - 1:59
    ว่าฉันจบป.ตรีสาขาสังคมสงเคราะห์ ป.โทสาขาสังคมสงเคราะห์
  • 1:59 - 2:01
    และตอนนั้นกำลังเรียนป.เอกสาขาสังคมสงเคราะห์
  • 2:01 - 2:03
    ตลอดเส้นทางการศึกษาของฉัน
  • 2:03 - 2:05
    ถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คน
  • 2:05 - 2:07
    ที่เชื่อประมาณว่า
  • 2:07 - 2:10
    "ชีวิตมันยุ่งเหยิง ทำใจรักมันซะ"
  • 2:10 - 2:12
    แต่ฉันออกจะเป็นแบบ "ชีวิตมันยุ่งเหยิง
  • 2:12 - 2:15
    ก็สะสางเสียสิ จัดการให้เรียบร้อย
  • 2:15 - 2:17
    แล้วก็จัดลงไปในกล่องข้าวแบบญี่ปุ่น"
  • 2:17 - 2:19
    (หัวเราะ)
  • 2:19 - 2:22
    ฉันเลยคิดว่าหาพรหมลิขิตของตัวเองเจอแล้ว
  • 2:22 - 2:25
    พบกับอาชีพที่เหมาะกับฉัน
  • 2:25 - 2:28
    จริงๆนะคะ มีประโยคที่พูดกันบ่อยในวงการสังคมสงเคราะห์
  • 2:28 - 2:31
    "ใช้ความลำบากของงานมาเป็นกำลัง"
  • 2:31 - 2:34
    แต่ฉันเป็นพวก "ต่อยความลำบากให้หน้าหงาย
  • 2:34 - 2:36
    ผลักออกไปให้พ้นทาง แล้วก็ได้เกรดAทุกตัว"
  • 2:36 - 2:39
    นั่นเป็นคาถาของฉันค่ะ
  • 2:39 - 2:41
    ฉันก็เลยตื่นเต้นกับเรื่องนี้มาก
  • 2:41 - 2:44
    แล้วฉันก็คิดว่า รู้อะไรมั้ย เนี่ยแหละอาชีพของฉัน
  • 2:44 - 2:47
    เพราะฉันสนใจในหัวข้อที่ยุ่งเหยิง
  • 2:47 - 2:49
    แต่ฉันอยากทำให้มันไม่ยุ่ง
  • 2:49 - 2:51
    ฉันอยากเข้าใจมัน
  • 2:51 - 2:53
    ฉันอยากจะเจาะลึกลงไปในเรื่องเหล่านั้น
  • 2:53 - 2:55
    ที่ฉันรู้ว่าสำคัญ
  • 2:55 - 2:57
    เพื่อจะถอดรหัสมาแสดงให้ทุกคนได้เห็น
  • 2:57 - 3:00
    ที่ที่ฉันเริ่มคือเรื่อง'ความสัมพันธ์'
  • 3:00 - 3:03
    เพราะเมื่อคุณเป็นนักสังคมสงเคราะห์มา 10 ปี
  • 3:03 - 3:05
    สิ่งที่คุณตระหนักได้คือ
  • 3:05 - 3:08
    ความสัมพันธ์เป็นเหตุผลที่เรามานั่งอยู่ตรงนี้
  • 3:08 - 3:11
    มันเป็นสิ่งที่สร้างจุดประสงค์และความหมายให้ชีวิตเรา
  • 3:11 - 3:13
    นี่แหละคือคำตอบ
  • 3:13 - 3:15
    ไม่ว่าคุณจะพูดกับใคร
  • 3:15 - 3:18
    คนที่ทำงานเกี่ยวกับสังคมสงเคราะห์ สุขภาพจิต ทารุณกรรม หรือการถูกทอดทิ้ง
  • 3:18 - 3:20
    สิ่งที่พวกเรารู้คือว่า ความสัมพันธ์
  • 3:20 - 3:23
    ความสามารถที่จะรู้สึกถึงความสัมพันธ์
  • 3:23 - 3:26
    ตามหลักชีวะและประสาทวิทยา คือปัจจัยของสิ่งมีชีวิต
  • 3:26 - 3:28
    มันคือสิ่งที่ทำให้เรามาอยู่ตรงนี้
  • 3:28 - 3:31
    ฉันเลยคิดว่า รู้อะไรมั้ย ฉันจะเริ่มที่ความสัมพันธ์นี่แหละ
  • 3:31 - 3:34
    คุณรู้จักสถานการณ์นั้นดี
  • 3:34 - 3:36
    เวลาที่คุณได้รับการประเมินจากหัวหน้า
  • 3:36 - 3:39
    แล้วหัวหน้าบอกว่าคุณทำ37อย่างได้เยี่ยมมาก
  • 3:39 - 3:41
    และมีอย่างนึงที่เป็น'สิ่งที่ควรปรับปรุง'
  • 3:41 - 3:43
    (หัวเราะ)
  • 3:43 - 3:46
    แต่คุณก็เอาแต่คิดซ้ำๆถึงไอ้เจ้า'สิ่งที่ควรปรับปรุง'นี่
  • 3:47 - 3:50
    งานวิจัยของฉันก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน
  • 3:50 - 3:53
    เพราะเวลาที่คุณถามใครๆเกี่ยวกับความรัก
  • 3:53 - 3:55
    เขาจะตอบคุณด้วยเรื่องอกหัก
  • 3:55 - 3:57
    เวลาคุณถามเรื่องความผูกพัน
  • 3:57 - 4:00
    เขาจะเล่าถึงประสบการณ์ที่ปวดร้าวที่สุด
  • 4:00 - 4:02
    ของการถูกแบ่งแยก
  • 4:02 - 4:04
    และเวลาที่คุณถามเรื่องความสัมพันธ์
  • 4:04 - 4:07
    เรื่องที่เขาเล่ากลับเป็นเรื่องการตัดขาด
  • 4:07 - 4:10
    แค่เพียงไม่นาน ประมาณ6สัปดาห์หลังจากเริ่มงานวิจัย
  • 4:10 - 4:13
    ที่ฉันได้พบกับสิ่งไร้นิยามสิ่งนี้
  • 4:13 - 4:16
    ซึ่งช่วยเผยความลับของความสัมพันธ์
  • 4:16 - 4:19
    ในแบบที่ฉันไม่เข้าใจและไม่เคยเห็นมาก่อน
  • 4:19 - 4:21
    ฉันเลยถอยออกมาจากงานวิจัย
  • 4:21 - 4:24
    เพราะคิดว่าจะต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนว่าสิ่งนี้คืออะไร
  • 4:24 - 4:27
    ปรากฏว่าสิ่งนี้คือความละอาย
  • 4:27 - 4:29
    ความละอายจริงๆแล้วเข้าใจได้ง่ายๆว่า
  • 4:29 - 4:31
    เป็นความกลัวการถูกตัดขาด
  • 4:31 - 4:33
    มีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับฉันหรือเปล่า
  • 4:33 - 4:36
    ที่ถ้าคนอื่นได้รู้หรือได้เห็น
  • 4:36 - 4:39
    แล้วฉันจะไม่มีค่าพอสำหรับความสัมพันธ์อีกต่อไป
  • 4:39 - 4:41
    ความรู้สึกแบบนี้ ฉันบอกคุณได้เลยค่ะ
  • 4:41 - 4:43
    ว่ามันเป็นเรื่องปกติมาก เรามีกันทุกคน
  • 4:43 - 4:45
    คนที่ไม่รู้จักความละอาย
  • 4:45 - 4:47
    จะไม่สามารถรู้สึกเห็นใจเพื่อนมนุษย์หรือว่าเข้าใจความสัมพันธ์ได้
  • 4:47 - 4:49
    ไม่มีใครอยากจะพูดถึงเรื่องนี้
  • 4:49 - 4:52
    และยิ่งพูดถึงมันน้อยลงเท่าไหร่ คุณก็จะมีมันมากขึ้นเท่านั้น
  • 4:54 - 4:56
    สิ่งที่เป็นพื้นฐานของความละอาย
  • 4:56 - 4:58
    หรือความคิดที่ว่า"ฉันไม่ดีพอ"
  • 4:58 - 5:00
    ซึ่งเราทุกคนรู้จักดี
  • 5:00 - 5:02
    "ฉันไม่อะไรพอ ฉันไม่ผอมพอ
  • 5:02 - 5:04
    ไม่รวยพอ ไม่สวยพอ ไม่ฉลาดพอ
  • 5:04 - 5:06
    ไม่สำคัญพอ"
  • 5:06 - 5:08
    สิ่งที่เป็นต้นเหตุสำคัญ
  • 5:08 - 5:11
    คือความรู้สึกอ่อนแออย่างรุนแรง
  • 5:11 - 5:13
    ความคิดที่ว่า
  • 5:13 - 5:15
    เพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์
  • 5:15 - 5:18
    เราต้องยอมให้คนอื่นเห็นตัวตนของเรา
  • 5:18 - 5:20
    ตัวตนที่แท้จริง
  • 5:20 - 5:23
    คุณก็รู้ว่าฉันรู้สึกอย่างไรกับความอ่อนแอ ฉันเกลียดความอ่อนแอ
  • 5:23 - 5:25
    ฉันก็เลยคิดว่า นี่เป็นโอกาส
  • 5:25 - 5:28
    ที่ฉันจะใช้ไม้บรรทัดไล่ตีมันให้กระเจิง
  • 5:28 - 5:31
    เป็นไงเป็นกัน ฉันจะต้องเข้าใจมันให้ได้
  • 5:31 - 5:34
    ฉันจะใช้เวลาหนึ่งปี เพื่อวิเคราะห์ชำแหละความละอาย
  • 5:34 - 5:36
    จะทำความเข้าใจว่าความอ่อนแอทำงานอย่างไร
  • 5:36 - 5:39
    และฉันจะเอาชนะมัน
  • 5:39 - 5:42
    ค่ะ ตอนนั้นฉันรู้สึกพร้อม แล้วก็ตื่นเต้นมากๆ
  • 5:44 - 5:46
    แน่ล่ะ มันไม่จบลงด้วยดีหรอก
  • 5:46 - 5:49
    (หัวเราะ)
  • 5:49 - 5:51
    ดูก็รู้แล้ว
  • 5:51 - 5:53
    ถ้าให้ฉันพูดถึงเรื่องความละอาย
  • 5:53 - 5:55
    ฉันคงพูดได้ยาวจนกินเวลาของผู้บรรยายคนอื่นๆ
  • 5:55 - 5:58
    แต่นี่คือใจความสำคัญที่ฉันอยากจะบอกคุณ
  • 5:58 - 6:01
    สิ่งนี้อาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ฉันได้เรียนรู้
  • 6:01 - 6:04
    ตลอดทศวรรษที่ฉันทำวิจัยมา
  • 6:04 - 6:06
    เวลาหนึ่งปีของฉัน
  • 6:06 - 6:08
    กลายเป็นหกปี
  • 6:08 - 6:10
    เรื่องราวเป็นพันๆเรื่อง
  • 6:10 - 6:13
    การสัมภาษณ์ การประชุมกลุ่มย่อยเป็นร้อยๆ
  • 6:13 - 6:15
    ช่วงหนึ่ง บางคนถึงกับส่งบันทึกส่วนตัวมาให้
  • 6:15 - 6:18
    และส่งเรื่องราวของพวกเขาให้ฉัน
  • 6:18 - 6:21
    ข้อมูลเป็นพันๆในเวลาหกปี
  • 6:21 - 6:23
    ทำให้ฉันเข้าใจระดับนึง
  • 6:23 - 6:25
    ฉันเหมือนจะเข้าใจว่านี่แหละคือความละอาย
  • 6:25 - 6:27
    นี่แหละคือวิธีที่มันทำงาน
  • 6:27 - 6:29
    ฉันเขียนหนังสือ
  • 6:29 - 6:31
    ฉันตีพิมพ์ทฤษฎี
  • 6:31 - 6:34
    แต่ว่ามีบางอย่างที่มันไม่ใช่
  • 6:34 - 6:36
    และสิ่งที่ว่านั่นคือ
  • 6:36 - 6:38
    ถ้าฉันนำคนที่ฉันสัมภาษณ์
  • 6:38 - 6:41
    มาแบ่งคร่าวๆโดยใช้เกณฑ์ที่ว่า
  • 6:41 - 6:44
    ใครรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเอง
  • 6:44 - 6:46
    นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดค่ะ
  • 6:46 - 6:48
    ความรู้สึกว่าตัวเองมีค่า
  • 6:48 - 6:51
    พวกเขารู้สึกถึงความรักและความผูกพัน
  • 6:51 - 6:53
    และอีกกลุ่มที่ต้องพยายามดิ้นรนหามัน
  • 6:53 - 6:55
    คนที่มักจะสงสัยว่าตัวเองดีพอมั้ย
  • 6:55 - 6:57
    มันมีแค่ตัวแปรเดียว
  • 6:57 - 6:59
    ที่แยกคนที่มี
  • 6:59 - 7:01
    ความรู้สึกรักและผูกพัน
  • 7:01 - 7:03
    ออกจากคนที่ต้องต่อสู้เพื่อความรู้สึกเหล่านั้น
  • 7:03 - 7:05
    และตัวแปรนั้นคือ คนที่รู้สึกถึง
  • 7:05 - 7:07
    ความรักและความผูกพัน
  • 7:07 - 7:10
    เชื่อว่าตัวเองมีค่าสำหรับความรักและความผูกพัน
  • 7:10 - 7:12
    แค่นั้นเอง
  • 7:12 - 7:14
    พวกเขาเชื่อว่าเขามีค่าพอ
  • 7:15 - 7:18
    และสำหรับฉัน ส่วนสำคัญที่สุด
  • 7:18 - 7:21
    ที่ทำให้เราขาดความสัมพันธ์
  • 7:21 - 7:24
    คือความกลัวว่าเราไม่มีค่าพอสำหรับความสัมพันธ์นั้นๆ
  • 7:24 - 7:26
    ทั้งในมุมมองส่วนตัวและทางวิชาการ
  • 7:26 - 7:29
    มันเป็นสิ่งที่ฉันต้องการเข้าใจมากขึ้น
  • 7:29 - 7:32
    ฉันก็เลย
  • 7:32 - 7:34
    เอาบทสัมภาษณ์ทั้งหมดมา
  • 7:34 - 7:37
    ตรงไหนที่ฉันเห็นความรู้สึกมีค่า ตรงไหนที่ฉันเห็นคนใช้ชีวิตอย่างนั้น
  • 7:37 - 7:40
    และดูเฉพาะตรงนั้น
  • 7:40 - 7:42
    คนเหล่านี้มีอะไรเหมือนกัน
  • 7:42 - 7:44
    ฉันเป็นโรคบ้าเครื่องใช้สำนักงานอยู่นิดๆค่ะ
  • 7:44 - 7:47
    แต่ว่านั่นเป็นอีกการบรรยายได้อีกเรื่อง
  • 7:47 - 7:50
    ฉันมีแฟ้มกระดาษมะนิลา แล้วก็มีปากกาสี
  • 7:50 - 7:52
    แล้วฉันก็แบบ จะเรียกงานวิจัยนี้ว่าอะไรดีนะ
  • 7:52 - 7:54
    แล้วคำแรกที่นึกออก
  • 7:54 - 7:56
    คือคำว่า เต็มใจ
  • 7:56 - 7:59
    คนพวกนี้เป็นคนเต็มใจ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกมีค่า
  • 7:59 - 8:02
    ฉันเลยเขียนที่หัวแฟ้มกระดาษมะนิลา
  • 8:02 - 8:04
    และเริ่มดูข้อมูล
  • 8:04 - 8:06
    จริงๆแล้ว ฉันดูข้อมูลก่อน
  • 8:06 - 8:08
    ใช้เวลาสี่วัน
  • 8:08 - 8:11
    กับการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเข้มข้น
  • 8:11 - 8:14
    ที่ฉันกลับไป หาข้อมูลสัมภาษณ์ หาเรื่องเล่า หาเหตุการณ์
  • 8:14 - 8:17
    อะไรคือใจความสำคัญ อะไรคือรูปแบบ
  • 8:17 - 8:20
    สามีของฉันออกจากเมืองไปกับลูกๆ
  • 8:20 - 8:23
    เพราะฉันมักจะเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่งแบบแจ็กสัน โพลล็อก
  • 8:23 - 8:25
    เวลาที่ฉันเอาแต่เขียน
  • 8:25 - 8:28
    และอยู่ในอารมณ์นักวิจัย
  • 8:28 - 8:30
    และนี่คือสิ่งที่ฉันค้นพบค่ะ
  • 8:32 - 8:34
    สิ่งที่คนเหล่านี้มีเหมือนกัน
  • 8:34 - 8:36
    คือความกล้า(courage)
  • 8:36 - 8:39
    ฉันอยากจะแยกความกล้า(courage)กับความองอาจ(bravery)ก่อน
  • 8:39 - 8:41
    ความกล้า(courage)ในความหมายดั้งเดิม
  • 8:41 - 8:43
    เมื่อตอนที่คำนี้เข้ามาในภาษาอังกฤษตอนแรกๆ
  • 8:43 - 8:46
    มันมาจากภาษาละติน cor แปลว่า หัวใจ
  • 8:46 - 8:48
    และความหมายดั้งเดิม
  • 8:48 - 8:51
    คือการเล่าเรื่องราวของตัวเราด้วยหัวใจทั้งดวง
  • 8:51 - 8:53
    คนเหล่านี้
  • 8:53 - 8:55
    สรุปง่ายๆว่า มีความกล้า
  • 8:55 - 8:57
    ที่จะบกพร่อง
  • 8:58 - 9:00
    เขาเหล่านี้รู้จักรักตัวเองก่อน
  • 9:00 - 9:03
    แล้วจึงเอาใจใส่คนอื่น
  • 9:03 - 9:06
    เพราะความจริงที่ว่า เราไม่สามารถรักคนอื่นได้
  • 9:06 - 9:09
    ถ้าเราไม่มีความเมตตาต่อตัวเองก่อน
  • 9:09 - 9:11
    และสุดท้ายคือ พวกเขามีความสัมพันธ์
  • 9:11 - 9:13
    และนี่คือส่วนที่ยาก
  • 9:13 - 9:16
    เพราะความจริงใจ
  • 9:16 - 9:19
    พวกเขายอมทิ้งตัวตนที่เขาคิดว่าเขาควรจะเป็น
  • 9:19 - 9:21
    เพื่อจะเป็นตัวเอง
  • 9:21 - 9:24
    ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำ
  • 9:24 - 9:26
    ในการสร้างความสัมพันธ์
  • 9:28 - 9:30
    อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกัน
  • 9:30 - 9:32
    คือสิ่งนี้
  • 9:35 - 9:38
    พวกเขาเต็มใจยอมรับความอ่อนแอ
  • 9:40 - 9:43
    พวกเขาเชื่อว่า
  • 9:43 - 9:46
    สิ่งที่ทำให้เขาอ่อนแอ
  • 9:46 - 9:48
    ทำให้เขางดงาม
  • 9:50 - 9:52
    พวกเขาไม่ได้พูดถึงความอ่อนแอ
  • 9:52 - 9:54
    ว่าเป็นสิ่งที่ง่ายดาย
  • 9:54 - 9:57
    แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่ามันเจ็บปวด
  • 9:57 - 9:59
    เหมือนจากในการสัมภาษณ์เรื่องความละอายก่อนหน้านี้
  • 9:59 - 10:02
    พวกเขาแค่บอกว่ามันจำเป็น
  • 10:03 - 10:05
    พวกเขาพูดถึงความสมัครใจ
  • 10:05 - 10:08
    ที่จะบอกว่า"ฉันรักคุณ"ก่อน
  • 10:08 - 10:11
    ความสมัครใจ
  • 10:11 - 10:13
    ที่จะทำอะไร
  • 10:13 - 10:16
    ที่ไม่มีการประกันผล
  • 10:16 - 10:18
    ความสมัครใจ
  • 10:18 - 10:20
    ที่จะรอโทรศัพท์จากคุณหมอ
  • 10:20 - 10:22
    หลังจากที่ไปตรวจมะเร็งเต้านม
  • 10:23 - 10:26
    พวกเขาสมัครใจที่จะลงทุนในความสัมพันธ์
  • 10:26 - 10:29
    ที่ไม่แน่ว่าจะงอกงาม
  • 10:29 - 10:32
    พวกเขาคิดว่านี่เป็นเรื่องพื้นฐาน
  • 10:32 - 10:35
    ส่วนตัวแล้ว ฉันคิดว่ามันเป็นการหักหลัง
  • 10:35 - 10:38
    ฉันไม่อยากเชื่อว่าฉันสาบานจะอุทิศตน
  • 10:38 - 10:40
    ให้กับการวิจัยไปแล้ว
  • 10:40 - 10:42
    เพราะคำนิยามของการวิจัย
  • 10:42 - 10:45
    คือการควบคุมและพยากรณ์ เพื่อศึกษาปรากฏการณ์
  • 10:45 - 10:47
    โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ
  • 10:47 - 10:49
    ควบคุมและพยากรณ์ต่อไป
  • 10:49 - 10:51
    แล้วตอนนี้ภารกิจของฉัน
  • 10:51 - 10:53
    ที่จะควบคุมและพยากรณ์
  • 10:53 - 10:56
    ให้คำตอบมาว่า วิธีใช้ชีวิตคือการยอมรับความอ่อนแอ
  • 10:56 - 10:59
    หยุดควบคุม หยุดพยากรณ์
  • 10:59 - 11:02
    สิ่งนี้นำไปสู่อาการประสาทเสียเล็กๆ
  • 11:02 - 11:06
    (หัวเราะ)
  • 11:06 - 11:09
    ซึ่งที่จริงดูเหมือนอย่างนี้มากกว่า
  • 11:09 - 11:11
    (หัวเราะ)
  • 11:11 - 11:13
    มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
  • 11:13 - 11:16
    ฉันเรียกมันว่าอาการป่วยทางจิต นักจิตบำบัดของฉันเรียกมันว่าการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณ
  • 11:17 - 11:19
    การตื่นรู้ทางจิตวิญญาณฟังดูดีกว่าอาการป่วยทางจิต
  • 11:19 - 11:21
    แต่ฉันยืนยันได้ค่ะ ว่ามันคืออาการป่วยทางจิต
  • 11:21 - 11:23
    ฉันต้องเลิกดูข้อมูล แล้วก็หานักจิตบำบัด
  • 11:23 - 11:26
    จะบอกอะไรให้ค่ะ คุณรู้ว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร
  • 11:26 - 11:29
    เมื่อโทรหาเพื่อนๆ แล้วบอกว่า "ฉันคิดว่าฉันต้องไปหานักจิตบำบัด
  • 11:29 - 11:32
    มีใครแนะนำมั้ย"
  • 11:32 - 11:34
    เพราะว่าเพื่อนของฉันประมาณห้าคนบอกว่า
  • 11:34 - 11:36
    "อู่ย ฉันไม่อยากเป็นนักจิตบำบัดของเธอหรอก"
  • 11:36 - 11:39
    (หัวเราะ)
  • 11:39 - 11:41
    ฉันว่า"หมายความว่ายังไง"
  • 11:41 - 11:44
    แล้วพวกเขาก็บอกว่า"เปล่า ก็นะ
  • 11:44 - 11:46
    อย่าพกไม้บรรทัดไปด้วยแล้วกัน"
  • 11:46 - 11:49
    ฉันก็เลย"โอเค"
  • 11:51 - 11:53
    หลังจากฉันก็หานักจิตบำบัดเจอ
  • 11:53 - 11:56
    ตอนที่ฉันเจอเธอครั้งแรก ไดอะน่า
  • 11:56 - 11:58
    ฉันเอารายการ
  • 11:58 - 12:01
    ของวิธีใช้ชีวิตของคนเต็มใจไปด้วย แล้วฉันก็นั่งลง
  • 12:01 - 12:03
    เธอถามว่า"เป็นยังไงบ้างคะ"
  • 12:03 - 12:06
    ฉันบอกว่า"สบายดีค่ะ โอเคค่ะ"
  • 12:06 - 12:08
    เธอถาม"มีเรื่องอะไรเหรอคะ"
  • 12:08 - 12:11
    เธอเป็นนักจิตบำบัดสำหรับนักจิตบำบัด
  • 12:11 - 12:13
    เพราะพวกเราก็ต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญ
  • 12:13 - 12:16
    เพราะเขาจับความตอแหลได้เก่ง
  • 12:16 - 12:18
    (หัวเราะ)
  • 12:18 - 12:20
    ฉันเลยบอกว่า
  • 12:20 - 12:22
    "คืออย่างนี้ค่ะ ฉันมีปัญหาใหญ่"
  • 12:22 - 12:24
    เธอพูดว่า"ปัญหาอะไรคะ"
  • 12:24 - 12:27
    ฉันตอบว่า "คือ ปัญหากับความอ่อนแอค่ะ
  • 12:27 - 12:30
    และฉันรู้ว่าความอ่อนแอเป็นแก่น
  • 12:30 - 12:32
    ของความละอายและความกลัว
  • 12:32 - 12:34
    และของการดิ้นรนเพื่อความมีค่า
  • 12:34 - 12:37
    แต่ปรากฏว่ามันก็เป็นจุดกำเนิด
  • 12:37 - 12:40
    ของความสุข และความสร้างสรรค์
  • 12:40 - 12:42
    ของความผูกพัน ของความรัก
  • 12:42 - 12:44
    และฉันคิดว่า ฉันมีปัญหา
  • 12:44 - 12:47
    และฉันต้องการความช่วยเหลือค่ะ"
  • 12:47 - 12:49
    และฉันบอกว่า "แต่ขออย่างนึง
  • 12:49 - 12:51
    ไม่เอาเรื่องครอบครัว
  • 12:51 - 12:53
    หรือเรื่องน้ำเน่าวัยเด็ก"
  • 12:53 - 12:55
    (หัวเราะ)
  • 12:55 - 12:58
    "ฉันแค่ต้องการแผน"
  • 12:58 - 13:02
    (หัวเราะ)
  • 13:02 - 13:05
    (ปรบมือ)
  • 13:05 - 13:07
    ขอบคุณค่ะ
  • 13:09 - 13:12
    เธอก็ทำท่านี้
  • 13:12 - 13:14
    (หัวเราะ)
  • 13:14 - 13:17
    ฉันเลยบอกว่า"แย่มาก ใช่มั้ยคะ"
  • 13:17 - 13:20
    เธอบอกว่า"ไม่ดีหรือไม่ร้ายหรอกค่ะ"
  • 13:20 - 13:22
    (หัวเราะ)
  • 13:22 - 13:24
    "มันก็เป็นอย่างที่มันเป็นค่ะ"
  • 13:24 - 13:27
    ฉันเลยว่า"โอ้พระเจ้า ซวยแน่คราวนี้"
  • 13:27 - 13:30
    (หัวเราะ)
  • 13:30 - 13:32
    แล้วมันก็แย่ และก็ไม่แย่
  • 13:32 - 13:35
    ใช้เวลาประมาณหนึ่งปี
  • 13:35 - 13:37
    มีคนบางคน
  • 13:37 - 13:40
    ที่เมื่อเข้าใจว่าความอ่อนแอและความอะเอียดอ่อนเป็นสิ่งสำคัญ
  • 13:40 - 13:43
    พวกเขายอมรับมันด้วยความเต็มใจ
  • 13:43 - 13:45
    หนึ่ง นั่นไม่ใช่ฉันค่ะ
  • 13:45 - 13:48
    และ สอง ฉันไม่สุงสิงกับคนแบบนั้น
  • 13:48 - 13:51
    (หัวเราะ)
  • 13:51 - 13:54
    สำหรับฉัน มันเป็นหนึ่งปีของการต่อสู้อย่างนักเลงข้างถนน
  • 13:54 - 13:56
    ชกกันจนน่วม
  • 13:56 - 13:58
    ความอ่อนแอผลักมา ฉันก็ผลักตอบ
  • 13:58 - 14:01
    ฉันแพ้การต่อสู้นั้น
  • 14:01 - 14:03
    แต่ก็ได้ชีวิตกลับคืนมา
  • 14:03 - 14:05
    แล้วฉันถึงได้กลับไปทำงานวิจัยอีก
  • 14:05 - 14:07
    และใช้เวลาปีสองสามปีถัดมา
  • 14:07 - 14:10
    พยายามที่ทำความเข้าใจจริงๆว่า พวกคนเต็มใจนั้น
  • 14:10 - 14:12
    เขาตัดสินใจอย่างไร
  • 14:12 - 14:14
    แล้วเรากำลังทำอะไร
  • 14:14 - 14:16
    กับความอ่อนแอ
  • 14:16 - 14:18
    ทำไมการต่อสู้กับมันถึงได้ยากลำบากนัก
  • 14:18 - 14:21
    มีฉันคนเดียวหรือเปล่าที่ต้องต่อสู้กับความอ่อนแอ
  • 14:21 - 14:23
    ไม่
  • 14:23 - 14:25
    แล้วนี่ก็คือสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้
  • 14:26 - 14:29
    เราเมินเฉยต่อความอ่อนแอ
  • 14:29 - 14:31
    เวลาที่เรารอโทรศัพท์แจ้งผล
  • 14:31 - 14:33
    ตลกดีค่ะ ฉันโพสบนTwitterกับFacebook
  • 14:33 - 14:35
    ถามว่า"คุณนิยามคำว่า'ความอ่อนแอ'อย่างไร
  • 14:35 - 14:37
    อะไรทำให้คุณรู้สึกอ่อนแอ"
  • 14:37 - 14:40
    และภายในเวลาชั่วโมงครึ่ง มีคนตอบกลับมา150คำตอบ
  • 14:40 - 14:42
    เพราะฉันอยากรู้ว่า
  • 14:42 - 14:44
    คนเขาคิดอะไรกัน
  • 14:45 - 14:47
    การขอให้สามีช่วย
  • 14:47 - 14:50
    เพราะฉันป่วย และเราเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ
  • 14:50 - 14:53
    การชวนสามีให้มีเซ็กส์
  • 14:53 - 14:55
    การชวนภรรยาให้มีเซ็กส์
  • 14:55 - 14:58
    การถูกปฏิเสธ เมื่อขอเป็นแฟน
  • 14:58 - 15:00
    การรอโทรศัพท์จากโรงพยาบาล
  • 15:00 - 15:03
    การโดนไล่ออก การไล่คนออก
  • 15:03 - 15:05
    นี่คือโลกที่เราอาศัยอยู่ค่ะ
  • 15:05 - 15:08
    เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความอ่อนแอ
  • 15:08 - 15:10
    และวิธีหนึ่งที่เราใช้จัดการกับมัน
  • 15:10 - 15:12
    คือเมินเฉยต่อความอ่อนแอ
  • 15:12 - 15:14
    และฉันคิดว่ามีหลักฐานค่ะ
  • 15:14 - 15:16
    แม้ว่ามันจะไม่ใช่เหตุผลเดียว
  • 15:16 - 15:18
    แต่ฉันเชื่อว่ามันเป็นสาเหตุหลัก
  • 15:18 - 15:22
    ที่พวกเราเป็นหนี้
  • 15:22 - 15:25
    น้ำหนักเกิน
  • 15:25 - 15:28
    เสพสารและใช้ยา
  • 15:28 - 15:30
    มากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา
  • 15:33 - 15:36
    ฉันได้เรียนรู้จากงานวิจัยว่าปัญหาคือ
  • 15:36 - 15:39
    คุณไม่สามารถเลือกเมินเฉยต่ออารมณ์เป็นอย่างๆได้
  • 15:40 - 15:43
    คุณไม่สามารถบอกว่า นี่เป็นสิ่งไม่ดี
  • 15:43 - 15:45
    นี่คือความอ่อนแอ นี่คือความเศร้า นี่คือความละอาย
  • 15:45 - 15:47
    นี่คือความกลัว นี่คือความผิดหวัง
  • 15:47 - 15:49
    ฉันไม่อยากรู้สึกสิ่งพวกนี้
  • 15:49 - 15:52
    ฉันจะกินเบียร์สักสองสามแก้วกับมัฟฟินกล้วยหอมกับถั่ว
  • 15:52 - 15:54
    (หัวเราะ)
  • 15:54 - 15:56
    ฉันไม่อยากรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้
  • 15:56 - 15:58
    ฉันรู้นะคะว่านั่นเป็นเสียงหัวเราะอย่างเข้าใจ
  • 15:58 - 16:01
    ฉันเลี้ยงชีพด้วยการวิเคราะห์ชีวิตพวกคุณ
  • 16:01 - 16:03
    พระเจ้า
  • 16:03 - 16:05
    (หัวเราะ)
  • 16:05 - 16:08
    คุณไม่สามารถเมินเฉยต่อความรู้สึกแย่ๆเหล่านั้นได้
  • 16:08 - 16:10
    โดยไม่เฉยชาต่ออารมณ์อื่นๆของเราไปด้วย
  • 16:10 - 16:12
    คุณไม่สามารถเลือกเฉยชาเป็นอย่างๆได้
  • 16:12 - 16:15
    ดังนั้น เวลาที่เราเฉยชาต่อสิ่งเหล่านั้น
  • 16:15 - 16:17
    เราเฉยชาต่อความปิติ
  • 16:17 - 16:19
    เราเฉยชาต่อความตื้นตันใจ
  • 16:19 - 16:21
    เราเฉยชาต่อความสุข
  • 16:21 - 16:24
    แล้วเราก็เลยทุกข์
  • 16:24 - 16:26
    เมื่อเรามองหาจุดมุ่งหมายและความหมายของชีวิต
  • 16:26 - 16:28
    เราจึงรู้สึกอ่อนแอ
  • 16:28 - 16:31
    แล้วเราก็ดื่มเบียร์ กินมัฟฟินกล้วยกับถั่ว
  • 16:31 - 16:34
    แล้วมันก็กลายเป็นวัฏจักรอันตราย
  • 16:36 - 16:39
    สิ่งหนึ่งที่เราต้องคิดถึง
  • 16:39 - 16:41
    คือเราเฉยชาทำไมและอย่างไร
  • 16:41 - 16:44
    และมันไม่จำเป็นต้องเป็นการเสพติด
  • 16:44 - 16:46
    อีกอย่างหนึ่งที่เราทำ
  • 16:46 - 16:49
    คือเราทำให้สิ่งที่ไม่แน่นอน เป็นสิ่งแน่นอน
  • 16:50 - 16:53
    ศาสนาเปลี่ยนจากความเชื่อเกี่ยวกับความศรัทธาและความลึกลับ
  • 16:53 - 16:55
    เป็นความแน่นอน
  • 16:55 - 16:58
    ฉันถูก คุณผิด หุบปาก
  • 16:58 - 17:00
    แค่นั้น
  • 17:00 - 17:02
    แค่ความแน่นอน
  • 17:02 - 17:04
    ยิ่งกลัวมาก เรายิ่งรู้สึกอ่อนแอมาก
  • 17:04 - 17:06
    แล้วเราก็จะยิ่งกลัวมากขึ้น
  • 17:06 - 17:08
    การเมืองทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้น
  • 17:08 - 17:10
    ไม่มีการอภิปราย
  • 17:10 - 17:12
    ไม่มีการคุยกัน
  • 17:12 - 17:14
    มีแต่การกล่าวโทษ
  • 17:14 - 17:17
    คุณรู้ไหมคะว่าการกล่าวโทษถูกอธิบายว่าอย่างไรในงานวิจัย
  • 17:17 - 17:20
    วิธีปลดปล่อยความเจ็บปวดและความลำบาก
  • 17:21 - 17:23
    เราอยากให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ
  • 17:23 - 17:26
    ตัวอย่างคนที่อยากมีชีวิตแบบนี้ ก็คือฉันเนี่ยแหละ
  • 17:26 - 17:28
    แต่มันเป็นไปไม่ได้ค่ะ
  • 17:28 - 17:30
    เพราะสิ่งที่เราทำคือ เราตัดเอาไขมันจากก้น
  • 17:30 - 17:32
    ไปแปะไว้ที่แก้ม
  • 17:32 - 17:35
    (หัวเราะ)
  • 17:35 - 17:37
    ฉันหวังว่าอีกร้อยปีในอนาคต
  • 17:37 - 17:39
    คนจะหันกลับมามองแล้วคิดว่า"โห"
  • 17:39 - 17:41
    (หัวเราะ)
  • 17:41 - 17:43
    และเราสร้างความสมบูรณ์แบบ อย่างอันตรายที่สุด
  • 17:43 - 17:45
    กับเด็กๆ
  • 17:45 - 17:47
    ฉันจะบอกให้ค่ะ ว่าเราคิดถึงเด็กๆยังไง
  • 17:47 - 17:50
    พวกเขาถูกสร้างให้พร้อมที่จะดิ้นรนตั้งแต่เกิด
  • 17:50 - 17:53
    และเมื่อเราอุ้มลูกที่ดูสมบูรณ์แบบไว้ในอ้อมแขน
  • 17:53 - 17:55
    หน้าที่ของเราไม่ใช่การพูดว่า "ดูสิ เธอช่างสมบูรณ์แบบ
  • 17:55 - 17:57
    หน้าที่ของฉันคือต้องรักษาความสมบูรณ์แบบเอาไว้
  • 17:57 - 18:00
    ต้องให้เธอเข้าทีมเทนนิสได้ภายในป.5 แล้วก็เข้าม.Yaleได้ภายในม.1"
  • 18:00 - 18:02
    นั่นไม่ใช่งานของเราค่ะ
  • 18:02 - 18:04
    หน้าที่ของเราคือมองดูแล้วก็พูดว่า
  • 18:04 - 18:07
    "รู้มั้ย เธอไม่ได้สมบูรณ์แบบ และเธอถูกสร้างมาเพื่อสู้
  • 18:07 - 18:09
    แต่ว่าเธอมีค่าพอสำหรับความรัก และความผูกพัน"
  • 18:09 - 18:11
    นั่นคืองานของเรา
  • 18:11 - 18:13
    ถ้าเรามีเด็กๆทั้งรุ่นที่ถูกเลี้ยงแบบนั้น
  • 18:13 - 18:16
    เราจะกำจัดปัญหาที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ได้หมด
  • 18:16 - 18:20
    เราแสร้งคิดว่าสิ่งที่เราทำ
  • 18:20 - 18:23
    ไม่ได้ส่งผลต่อคนอื่น
  • 18:23 - 18:25
    เราทำอย่างนั้นในชีวิตส่วนตัว
  • 18:25 - 18:27
    เราทำอย่างนั้นในธุรกิจ
  • 18:27 - 18:29
    ไม่ว่าจะเป็นการอุดหนุนธุรกิจล้มละลาย หรือกรณีน้ำมันรั่ว
  • 18:29 - 18:31
    การเรียกคืนสินค้า
  • 18:31 - 18:33
    เราแสร้งทำเป็นว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่
  • 18:33 - 18:36
    ไม่ได้มีผลกระทบใหญ่หลวงต่อคนอื่น
  • 18:36 - 18:39
    อยากจะบอกพวกบริษัทใหญ่ว่า เราไม่ใช่เด็กอมมือแล้ว เรารู้
  • 18:40 - 18:42
    เราแค่อยากให้คุณจริงใจ
  • 18:42 - 18:44
    แล้วบอกว่า"เราขอโทษ
  • 18:44 - 18:47
    เราจะแก้ไขมัน"
  • 18:50 - 18:52
    แต่ว่ามันมีอีกวิธีหนึ่ง สิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากจะฝากไว้
  • 18:52 - 18:54
    ฉันค้นพบว่า
  • 18:54 - 18:56
    การเปิดเผยตัวตนของเรา
  • 18:56 - 18:58
    ให้ถูกมองเห็นอย่างลึกซึ้ง
  • 18:58 - 19:01
    ยอมเปราะบางให้ได้มองเห็น
  • 19:01 - 19:03
    การรักทั้งสุดจิตสุดใจ
  • 19:03 - 19:05
    ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรมารับประกัน
  • 19:05 - 19:07
    มันยากมาก
  • 19:07 - 19:10
    ฉันบอกคุณได้เลยในฐานะพ่อแม่ ว่ามันยากเจ็บปวดและมากๆ
  • 19:12 - 19:15
    ในการรู้สึกถึงความตื้นตันและความปิติ
  • 19:15 - 19:17
    ในเวลาที่น่าหวาดกลัว
  • 19:17 - 19:19
    ที่เราสงสัยว่า"ฉันรักเธอได้มากขนาดนี้จริงเหรอ
  • 19:19 - 19:21
    ฉันเชื่อในสิ่งนี้ทั้งใจจริงๆรึเปล่า
  • 19:21 - 19:24
    ฉันดุได้ขนาดนี้เลยเหรอ"
  • 19:24 - 19:26
    ในการหยุดยั้งตัวเอง แทนการกังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้น
  • 19:26 - 19:29
    แล้วพูดว่า "ฉันน่ะโชคดีมาก
  • 19:29 - 19:32
    เพราะการที่ฉันรู้สึกอ่อนแอ แปลว่าฉันยังมีชีวิต"
  • 19:33 - 19:36
    และสุดท้าย ที่อาจจะสำคัญที่สุด
  • 19:36 - 19:39
    คือการเชื่อว่าเราเพียงพอ
  • 19:39 - 19:41
    เพราะเมื่อเราเริ่มต้นจาก
  • 19:41 - 19:44
    ความเชื่อที่ว่า"เราเพียงพอแล้ว"
  • 19:45 - 19:48
    เราจะหยุดร้องตะโกน และเริ่มรับฟัง
  • 19:49 - 19:51
    เราจะอ่อนโยนและมีเมตตาต่อคนรอบข้างมากขึ้น
  • 19:51 - 19:54
    และเราก็จะอ่อนโยนและมีเมตตาต่อตัวเองด้วย
  • 19:54 - 19:56
    นั่นคือทั้งหมดที่ฉันมี ขอบคุณค่ะ
  • 19:56 - 19:59
    (เสียงปรบมือ)
Title:
พลังของความเปราะบางทางใจ
Speaker:
เบรเน่ บราวน์ (Brené Brown)
Description:

เบรเน่ บราวน์ศึกษาด้านความสัมพันธ์ของมนุษย์ เช่น ความสามารถที่จะรู้สึกเห็นใจ รู้สึกผูกพัน และรู้สึกรัก ผ่านการบรรยายที่ตลกและสะเทือนอารมณ์ ณ TEDxในเมืองฮูสตัน เธอแบ่งปันเรื่องราวจากงานวิจัยของเธอ ที่ทำให้เธอเริ่มการเดินทางเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับตัวเอง...และมนุษยชาติ เป็นการบรรยายที่น่าบอกต่อ

more » « less
Video Language:
English
Team:
closed TED
Project:
TEDTalks
Duration:
19:59
Bank Light edited Thai subtitles for The power of vulnerability
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for The power of vulnerability
Paninya Masrangsan added a translation

Thai subtitles

Revisions Compare revisions