-
ภาพนี่ตรงนี้คือภาพของเรอเน่ เดต์คาส์
-
เหมือนเดิม ปราชญ์ผู้ปราดเปรื่องคนหนึ่ง
-
ทั้งในคณิตศาสตร์และปรัชญา
-
และผมว่าคุณคงเห็นเทรนด์บ้างแล้ว
-
ว่านักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่มักเป็นนักคณิตศาสตร์ด้วย
-
และในทางกลับกันด้วย
-
เขาเป็นคนเรียกว่าร่วมสมัยกับกาลิเลโอก็ได้
-
เขาอายุน้อยกว่า 32 ปี
-
แม้ว่าจะตายหลังจากกาลิเลโอตายได้ไม่นาน
-
ชายคนนี้ตายตั้งแต่อายุยังน้อย,
-
กาลิเลโอไปดีตอนอายุ 70
-
แต่เดต์คาส์ตายเมื่อ, แค่ตอนอายุ 54 ปีเอง
-
และเขาอาจเป็นที่รู้จักในโลกสมัยนี้
-
จากคำพูดนี่ตรงนี้
-
คำกล่าวปรัชญาอย่างยิ่ง
-
"ฉันคิดฉันจึงดำรงอยู่"
-
แต่ผมยังอย่างใส่ให้ดู
-
และมันไม่เกี่ยวกับพีชคณิตเลย
-
แต่ผมคิดว่ามันเป็นคำพูดที่เนี๊ยบมาก
-
บางทีคำกล่าวที่ดังน้อยที่สุดของเขา
-
คืออันนี่ตรงนี้
-
ผมชอบมันเพราะมันใช้ได้จริงมาก
-
และมันทำให้คุณรู้ว่ามันสมองยิ่งใหญ่เหล่านี้
-
เสาหลักของปรัชญาและคณิตศาสตร์เหล่านี้
-
ที่สุดแล้ว
-
พวกเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดา
-
เขาบอกว่า "คุณแค่สู้ต่อไป
-
คุณแค่สู้ต่อไป
-
ฉันพลาดทุกอย่างที่เป็นไปได้
-
แต่ฉันก็ยังสู้ต่อไป"
-
ซึ่งผมว่าเป็นคำแนะนำให้กับชีวิตที่ดีมากๆ
-
ทีนี้ เขาทำสิ่งต่างๆ มากมาย
-
ทั้งในปรัชญาและคณิตศาสตร์
-
แต่สาเหตุที่ผมพูดถึงเขา
-
ในขณะที่เรากำลังสร้างพื้นฐานเรื่องพีชคณิต
-
คือว่าเขาคือบุคคุล
-
ที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่าง
-
พีชคณิตกับเรขาคณิตได้มากที่สุด
-
ดูด้านซ้ายตรงนี้
-
คุณมีโลกของพีชคณิต
-
เราพูดถึงไปหน่อยแล้ว
-
คุณมีสมการที่ยุ่งกับสัญลักษณ์
-
และสัญลักษณ์เหล่านี้
-
ไว้ใช้เก็บค่า
-
คุณอาจมีอะไรอย่างเช่น
-
y = 2x - 1
-
ซึ่งบอกความสัมพันธ์
-
ว่า x คืออะไร
-
และ y คืออะไร
-
และเราสามารถสร้างตารางขึ้นตรงนี้
-
แล้วเลือกค่า x
-
แล้วดูว่าค่า y จะเป็นอะไร
-
ผมสามารถเลือกค่า x อย่างสุ่มมา
-
แล้วหาว่า y เป็นเท่าไหร่
-
แต่ผมจะเลือกค่าที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา
-
การคิดเลขจะได้ไม่ยุ่งมาก
-
ตัวอย่างเช่น
-
ถ้า x เป็น -2
-
แล้ว y จเเป็น 2 x -2 -1
-
2 x -2 -1
-
ซึ่งก็คือ -4 -1
-
ได้ -5
-
ถ้า x เป็ฯ -1
-
แล้ว y จะเป็น 2 x -1 -1
-
ซึ่งเท่ากับ
-
นี่คือ -2 -1 ได้ -3
-
ถ้า x = 0
-
แล้ว y จะเป็น 2 x 0 - 1
-
2 x 0 ได้ 0 -1 ก็แค่ -1
-
ผมจะทำเพิ่มอีก
-
ถ้า x เป็น 1
-
ผมจะเลือกค่าอะไรก็ได้ตรงนี้
-
ผมบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
-
เมื่อ x เป็นลบสแควร์รูทของ 2
-
หรือเกิดอะไรขึ้นหาก x เป็น -5 ส่วน 2
-
หรือบวก 6 ส่วน 7
-
แต่ผมเลือกแค่เลขเหล่านี้
-
เพราะมันคิดเลขง่ายกว่ามาก
-
ตอนผมหาว่า y จะเป็นเท่าไหร่
-
แต่เมื่อ x เป็น 1
-
y จะเป็น 2(1) - 1
-
2 x 1 ได้ 2 - 1 เป็น 1
-
ผมจะทำอีกตัวนึง
-
ด้วยสีที่ผมยังไม่ได้ใช้
-
ลองดู สีม่วงนี่
-
ถ้า x เป็น 2
-
แล้ว y จะเป็น
-
2(2) -1 (ทีนี้ x เป็น 2)
-
นั่นก็คือ 4 -1, เท่ากับ 3
-
ใช้ได้
-
ผมแค่สุ่มดูความสัมพันธ์นี้
-
แต่ผมบอกว่าโอเค เจ้านี่บรรยายความสัมพันธ์โดยทั่วไป
-
ระหว่างตัวแปร y กับตัวแประ x
-
แล้วผมได้ทำให้มันชัดเจนขึ้นหน่อย
-
ผมบอกว่าโอเค
-
ถ้า x เป็นหนึ่งในค่าเหล่านี้
-
สำหรับค่า x แต่ละค่า
-
ค่า y ที่เข้าคู่กันเป็นเท่าไหร่?
-
สิ่งที่เดต์คาส์สังเกตคือ
-
ว่าคุณสามารถมองเจ้านี่ป็นภาพได้
-
สิ่งที่คุณภาพได้คือจุดแต่ละจุด
-
แต่มันยังช่วงให้คุณเห็น
-
ความสัมพันธ์นี้เป็นภาพได้ด้วย
-
สิ่งที่เขาทำจริงๆ คือ
-
เขาเชื่อมโยงโลกของพีชคณิตที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์นามธรรม
-
เข้ากับเรขาคณิตที่เน้น
-
เรื่องรูปร่าง ขนาด และมุม
-
แล้วตรงนี้ คุณมีโลกของเรขาคณิต
-
และแน่นอนว่ามีผู้คนในประวัติศาสตร์
-
บางทีหลายคนที่ประวัติศาสตร์ได้หลงลืมไป
-
ที่อาจทำเรื่องนี้ด้วย
-
แต่ก่อนยุคเดต์คาส์ เป็นแบบนี้
-
เรขาคณิตคือเรขาคณิตแบบยูคลิด
-
นั่นคือเรขาคณิตแท้ๆ
-
แบบที่คุณเรียนในวิชาเรขาคณิต
-
ตอนอยู่เกรด 8 9 หรือ 10
-
ในหลักสูตรไฮสคูลดั้งเดิม
-
และนั่นคือเรขาคณิตที่ศึกษา
-
ความสัมพันธ์ระหว่างสามเหลี่ยม และมุมของมัน
-
ความสัมพันธ์ระหว่างวงกลม
-
คุณมีรัศมีแล้วก็สามเหลี่ยม
-
อยู่ในวงกลม อะไรพวกนั้น
-
และเราจะลงลึกเรื่องนั้ัน
-
ในชุดวิดีโอเรื่องเรขาคณิต
-
แต่เดต์คาส์บอกว่า เอาล่ะ ผมว่าผมสามารถแสดงเจ้านี่เป็นภาพได้
-
แบบเดียวกับที่ยูคลิดศึกษาสามเหลี่ยมกับวงกลมเหล่านี้
-
เขาบอกว่า 'ทำไมฉันจะทำไม่ได้ล่ะ?'
-
หากเรามองกระดาษแผ่นนึง
-
หากเราคิดถึงระนาบ 2 มิติ
-
คุณอาจมองกระดาษแผ่นนึง
-
วาดเป็นส่วนนึงของระนาบ 2 มิติ
-
เราเรียกมันว่า 2 มิติ
-
เพราะมันมีทิศ 2 ทิศที่คุณไปได้
-
มีทิศขึ้นลง
-
นับเป็นหนึ่งทิศ
-
ขอผมเขียนลงไปนะ ผมใช้สีฟ้าแล้วกัน
-
เพราะเราพยายามมองภาพสิ่งต่างๆ
-
งั้นผมจะใช้สีให้ภาพสวยแล้วกัน
-
คุณก็มีทิศขึ้นลง
-
แล้วก็มีทิศซ้ายขวา
-
นั่นคือสาเหตุที่เขาเรียกว่าระนาบ 2 มิติ
-
หากเรายุ่งกับ 3 มิติ
-
คุณก็จะมีมิติเข้าออกอีกอันนึง
-
และการทำ 2 มิติบนหน้าจอมันง่าย
-
เพราะหน้าจอเป็น 2 มิติ
-
แล้วเขาบอกว่า "เอาล่ะ, คุณก็รู้,
-
มันตัวแปรอยู่สองตัว แล้วก็มีความสัมพันธ์นี้อยู่"
-
ทำไมฉันไม่ลองเขียนตัวแปรตัวแต่ละตัว
-
แทนลงในแต่ละมิติตรงนี้ล่ะ?"
-
โดยวิธีที่ตกลงกันทั่วไปนั้น เราให้ตัวแปร y
-
ซึ่งก็คือตัวแปรตาม
-
ตามที่เราทำมา
-
มันขึ้นอยู่กับว่า x คืออะไร
-
ลองใส่มันตามแกนดิ่ง
-
และใส่ตัวแปรอิสระ
-
อันที่เราเลือกค่าขึ้นมาอย่างสุ่ม
-
เพื่อดูว่า y จะเป็นอะไร
-
ลองใส่มันลงในแกนนอน
-
นั่นคือสิ่งที่เดต์คาส์
-
ผู้ตั้งวิธีการนี้ขึ้นมาใช้ x กับ y ตามนั้น
-
เราจะเห็นต่อไปว่า z ในพีชคณิต, เป็น
-
ตัวแปรไม่ทราบค่าอีกตัวที่คุณจัดการ
-
แต่เขาบอกว่า 'ถ้าเราคิดแบบนี้
-
ถ้าเราใส่ตัวเลขในแต่ละมิตินี้ล่ะก็'
-
งั้นสมมุติว่าในทิศ x
-
สมมุติว่าตรงนี้คือ -3
-
ให้นี่เป็น -2
-
นี่คือ -1
-
นี่คือ 0
-
ผมแค่ใส่ตัวเลขให้ทิศ x
-
คือทิศซ้ายขวา
-
ทีนี้นี่คือบวก 1
-
นี่คือบวก 2
-
และนี่คือบวก 3
-
เราก็ทำแบบเดียวกันทิศ y ได้
-
ลองดู เราก็ไป, นี่
-
ได้เป็น -5, -4, -3
-
ที่จริงผมทำให้เนี๊ยบกว่านี้หน่อย
-
ขอผมลบเจ้านี่หน่อยนะ
-
ขอผมลบอันนี้แล้วก็ขยายอันนี้ลงมาหน่อย
-
ผมจะได้ลงไปถึง -5 ได้
-
โดยไม่ทำให้มันเลอะเทอะมาก
-
ลองลงไปถึงตรงนี้
-
เราก็ใส่ตัวเลขลงไป
-
นี่คือ 1, นี่คือ 2, นี่คือ 2,
-
แล้วนี่ก็เป็น -1
-
-2 และนี่เป็นแค่วิธีตกลงร่วมกัน
-
เราตั้งค่าอีกแบบก็ได้
-
เราอาจเลือก x ไว้ตรงนี้
-
และ y ตรงนี้
-
แล้วให้ทางนี้เป็นทิศบวก
-
ให้ทิศนี้เป็นทิศลบ
-
แต่นี่เป็นข้อตกลลงที่คนใช้
-
เริ่มจากเดต์คาส์
-
-2, -3, -4 และ -5
-
แล้วเขาบอกว่า "ทีนี้อะไรก็ตามฉันก็โยงได้
-
ฉันสามารถโยงตัวเลขแต่ละคู่พวกนี้เข้ากับ
-
จุดในสองมิติได้"
-
ผมสามารถเอาค่าพิกัด x, ผมสามารถหาค่า x
-
นี่ตรงนี้และบอกว่า 'โอเค นั่นคือ -2
-
นั่นก็อยู่ตรงนี้ ในแนวซ้ายขวา
-
ฉันจะไปทางซ้ายเพราะมันเป็นลบ'
-
แล้วมันคู่กับลบ -5 ในแนวดิ่ง
-
ผมก็บอกว่าค่า y เป็น -5
-
แล้วหากผมไปทางซ้าย 2 และลงไป 5
-
ผมจะได้จุดนี่ตรงนี้
-
แล้วเขาบอกว่า 'ค่าสองค่านี้ -2 กับ -5
-
ฉันสามารถแทนมันได้ด้วยจุด
-
ในระนาบนี่ตรงนี้ ในระนาบสองมิติ
-
หรือฉันบอกว่า. จุดนั่นมีพิกัด
-
ซึ่งบอกว่าฉันว่าฉันจะหาจุด (-2,-5) ได้จากไหน'
-
ระบบพิกัดพวกนี้เรียกว่า "พิกัดคาร์ทีเชียน"
-
ตั้งตามเชื่อเรอน่ เดต์คาส์
-
เพราะเขาเป็นคนที่คิดมันขึ้นมา
-
เขาโยงความสัมพันธ์เหล่านี้
-
เข้ากับจุดในระนาบพิกัด
-
แล้วเขาก็บอกว่า 'เอาล่ะ โอเค ลองทำอีกสักอันW
-
มันมีคู่อื่นอีก
-
เมื่อ x เท่ากับ -1, y = -3
-
งั้น x คือ -1, y คือ -3
-
นั่นก็คือจุดนั่นตรงนั้น
-
วิธีการไล่ก็เหมือนเดิม
-
'ตอนคุณเขียนพิกัด,
-
คุณมีพิกัด x ก่อน, แล้วค่อยพิกัด y'
-
นั่นคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้
-
-1, -3 นั่นก็คือจุดนั่นตรงนั้น
-
แล้วคุณมีจุดเมื่อ x เป็น 0, y เป็น -1
-
เมื่อ x เป็น 0 อยู่ตรงนี้,
-
หมายความว่าผมไม่ได้ไปซ้ายหรือขวา
-
y เป็น -1, ซึ่งหมายถึงผมลงไป 1
-
นั่นก็คือจุดนั่นตรงนั้น (0,-1)
-
ตรงนั้น
-
แล้วผมก็ทำต่อไป
-
เมื่อ x เป็น 1, y เป็น 1
-
เมื่อ x เป็น 2, y เป็น 3
-
ขอผมใช้สีม่วงเหมือนเดิมนะ
-
เมื่อ x เป็น 2, y เป็น 3
-
2,3 แล้วเจ้านี่ตรงนี้สีส้มคือ 1,1
-
และนี่ก็เจ๋งอยู่แล้ว
-
ผมสุ่มค่า x ที่เป็นไปได้ขึ้นมา
-
แต่สิ่งที่เขาค้นพบ
-
คือว่าคุณไม่ได้สุ่มค่า x ขึ้นมาอย่างเดียว
-
แต่ถ้าคุณสุ่มค่า x ขึ้นมาอีก
-
ถ้าคุณเลือกค่า x ทั้งหมดระหว่างนั้น
-
คุณก็จะพลอดเส้นตรงขึ้นมา
-
นั่นคือหากคุณคิดค่า x ที่เป็นไปได้ทุกค่า
-
คุณก็จะได้เส้นตรง
-
นั่นก็ดูใช่นะ.. ตรงนี้
-
และความสัมพันธ์... ความสัมพันธ์ใดๆ, หากคุณเลือกค่า x ใดๆ
-
และหาค่า y มันก็จะแทนจุดหนึ่งจุดบนเส้นตรงนี้
-
หรือวิธีขึ้นอีกอย่างคือว่า
-
จุดใดๆ ใดเส้นตรงนี้แทน
-
คำตอบของสมการนี้ตรงนี้
-
งั้นถ้าคุณมีจุดนี่ตรงนี้
-
ซึ่งดูเหมือนว่าคือ x เท่ากับ 1 ครึ่ง
-
y เป็น 2 ขอผมเขียนลงไปนะ
-
1.5, 2
-
นั่นเป็นคำตอบหนึ่งของสมการนี้
-
เมื่อ x เป็น 1.5, 2 x 1.5 ได้ 3 -1 เป็น 2
-
นั่นก็คือตรงนั้น
-
ทันใดนั้นเขาก็สามารถเชื่อมโยง
-
รอยต่อหรือความสัมพันธ์ระหว่างเรขาคณิตกับพีชคณิตได้
-
ตอนนี้เราสามารถเห็นภาพคู่ x กับ y ทั้งหมด
-
ที่เป็นไปตามสมการนี่ตรงนี้
-
และเขาเป็นผู้สร้างสะพานเชื่อมโยงนี้ขึ้นมา
-
นั่นคือสาเหตุที่ระบบพิกัด
-
ที่เราใช้ระบุจุดเหล่านี้เรียกว่า 'พิกัดคาร์ทีเชียน'
-
และอย่างที่เราจะเห็นต่อไป สมการแบบแรก
-
เราจะศึกษาสมกาารในรูปนี่ตรงนี้
-
และในหลักสูตรพีชคณิตดั้งเดิม
-
มันเรียกว่าสมการเชิงเส้น...
-
สมการเชิงเส้น
-
แล้วคุณอาจบอกว่า คุณก็รู้ นี่เป็นสมการ
-
ฉันเห็นว่านี่เท่ากับนั่น
-
แล้วมันมีเส้นตรงไหน?
-
อะไรทำให้มันเป็นเส้น?
-
การจะเห็นว่าเป็นเชิงเส้น,
-
ผมต้องกระโดดมาที่สิ่งที่เรอเน่ เดต์คาส์ทำ
-
เพราะหากคุณพลอตสมการนี้,
-
โดยใช้พิกัดคาร์ทีเชียน
-
บนระนาบยูคลิด คุณจะได้เส้นตรง
-
ในอนาคตคุณจะเห็นว่า
-
มีสมการแบบอื่นๆ ที่คุณไม่ได้เส้นตรงอีกด้วย
-
คุณจะได้เส้นโค้ง, บางครั้งก็ดูเพี้ยนๆ ประหลาดๆ ด้วย