เหตุสะเทือนขวัญในวัยเด็ก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพไปชั่วชีวิตได้อย่างไร
-
0:01 - 0:02ช่วงยุค 1990
-
0:02 - 0:05ศูนย์ควบคุมป้องกันโรค (CDC)
และองค์กรไกเซอร์ เพอมาเนนตะ -
0:05 - 0:09ได้ค้นพบปัจจัยเสี่ยง
ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงอย่างเร็วมาก -
0:09 - 0:14ต่อการเกิดโรค 7 ใน 10 โรค
ที่เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในสหรัฐฯ -
0:15 - 0:18ถ้าได้รับปัจจัยเสี่ยงนี้มาก
ก็จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของสมอง -
0:18 - 0:22ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบฮอร์โมน
-
0:22 - 0:27แม้กระทั่งการอ่าน
และแปลรหัสดีเอ็นเอของเรา -
0:27 - 0:30คนที่ได้รับปัจจัยเสี่ยงนี้ในระดับสูงมาก
-
0:30 - 0:34จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็งปอด
มากกว่าปกติสามเท่า -
0:34 - 0:39และอายุขัยต่างจากผู้ไม่มีปัจจัยเสี่ยง 20 ปี
-
0:40 - 0:46แต่แพทย์ในปัจจุบันก็ไม่ได้รับการฝึก
ให้คัดกรองและรักษาปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว -
0:46 - 0:52ปัจจัยเสี่ยงที่ฉันพูดถึงนั้น
ไม่ใช่ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีบรรจุภัณฑ์ -
0:52 - 0:54มันคือ เหตุสะเทือนขวัญในวัยเด็ก
-
0:55 - 0:58ทีนี้ ดิฉับพูดถึงเหตุสะเทือนขวัญแบบไหนอยู่
-
0:58 - 1:02ฉันไม่ได้กำลังพูดถึง การสอบตก หรือ
แพ้การแข่งขันบาสเก็ตบอล -
1:02 - 1:07กำลังพูดถึง การคุกคามที่รุนแรง
หรือไม่ก็แผ่กระจายไปมาก -
1:07 - 1:11จนมีผลถึงร่างกาย
และเปลี่ยนแปลงสรีรวิทยาของเรา -
1:11 - 1:14อย่างเช่น การถูกทารุณกรรม การถูกทอดทิ้ง
-
1:14 - 1:17หรือ โตขึ้นมากับพ่อหรือแม่
ที่มีปัญหาอาการป่วยทางจิต -
1:17 - 1:19หรือติดสารเสพติด
-
1:20 - 1:21เมื่อก่อน
-
1:21 - 1:24ฉันมองสิ่งเหล่านี้ ในแบบที่ถูกฝึกมา
-
1:24 - 1:29ว่าเป็นปัญหาด้านสังคม --
ให้ส่งต่อฝ่ายบริการสังคม -- -
1:29 - 1:33หรือไม่ก็มองเป็นปัญหาสุขภาพจิต --
ให้ส่งต่อหน่วยบริการสุขภาพจิต -
1:34 - 1:40แล้วบางอย่างก็เกิดขึ้น ทำให้ฉันกลับมาคิดทบทวน
วิธีปฏิบัติงานทั้งหมดของฉัน -
1:40 - 1:42เมื่อฉันจบการอบรมแพทย์ประจำบ้าน
-
1:42 - 1:45ฉันต้องการไปทำงานในที่
ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นที่ต้องการจริงๆ -
1:45 - 1:49สถานที่ที่ฉันทำให้เกิดความแตกต่างขึ้นได้
-
1:49 - 1:52ฉันจึงมาทำงานที่ศูนย์การแพทย์แปซิฟิค
แคลิฟอร์เนีย -
1:52 - 1:55เป็นโรงพยาบาลเอกชน ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง
ในรัฐแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ -
1:55 - 2:00และร่วมกันเปิดคลินิค
แถวเบย์วิว ฮันเตอร์ พ๊อยท์ -
2:00 - 2:04หนึ่งในย่านที่ยากจนที่สุดและขาดแคลน
บริการที่สุด ในเมืองซานฟรานซิสโก -
2:04 - 2:06ทีนี้ ก่อนหน้านั้น
-
2:06 - 2:09ทั้งเบย์วิวมีกุมารแพทย์แค่เพียงคนเดียว
-
2:09 - 2:12ดูแลรักษาเด็กกว่า 10,000 คน
-
2:12 - 2:17เราก็เริ่มเปิดร้านหมอ
และสามารถให้การดูแลรักษาที่มีคุณภาพสูงได้ -
2:17 - 2:19ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีเงินจ่ายหรือไม่
-
2:19 - 2:23มันเยี่ยมมากค่ะ เราตั้งเป้าไปที่ความไม่เท่าเทียมกัน
ด้านสุขภาพทั่วๆ ไป -
2:23 - 2:28ได้แก่ การเข้าถึงการรักษา
อัตราการฉีดวัคซีน การรับรักษาโรคหอบหืด -
2:28 - 2:30และเราก็ได้จำนวนเข้าเป้าทั้งหมด
-
2:30 - 2:33เรารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองอย่างมาก
-
2:33 - 2:37แต่แล้ว ฉันก็เริ่มสังเกตเห็นแนวโน้ม
ที่ทำให้ไม่สบายใจ -
2:37 - 2:41เด็กจำนวนมากถูกนำมาที่นี่ด้วยโรค ADHD
-
2:41 - 2:44หรือโรคสมาธิสั้น
-
2:44 - 2:48แต่เมื่อฉันได้ตรวจดูประวัติและร่างกาย
อย่างตลอดถ้วนทั่ว -
2:48 - 2:52สิ่งที่พบ คือ คนไข้ส่วนมากของฉัน
-
2:52 - 2:55ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่า เป็นโรค ADHD
-
2:55 - 3:01เด็กๆ ส่วนใหญ่ที่ฉันตรวจ
เคยประสบเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่รุนแรงมาก -
3:01 - 3:04จนรู้สึกเหมือนว่ามีอย่างอื่นแฝงอยู่
-
3:04 - 3:08เหมือนกับว่าฉันพลาดสิ่งสำคัญบางอย่างไป
-
3:10 - 3:13ค่ะ ก่อนที่จะมาเป็นแพทย์ประจำบ้าน
ฉันได้ทำปริญญาโท ด้านสาธารณสุข -
3:13 - 3:16และสิ่งหนึ่งที่เขาสอน ในคณะสาธารณสุข
-
3:16 - 3:18ก็คือ ถ้าคุณเป็นแพทย์
-
3:18 - 3:22และคุณตรวจเด็ก 100 คน
ที่ทุกคนดื่มนํ้าจากบ่อเดียวกัน -
3:22 - 3:25แล้วเด็ก 98 ในนั้น เป็นโรคท้องร่วง
-
3:25 - 3:28คุณต้องเลือกเอาว่าจะเขียน
ใบสั่งยาปฏิชีวนะ -
3:28 - 3:32ชุดแล้วชุดเล่า
-
3:32 - 3:38หรือไม่คุณก็เดินไปดู และบอกว่า
"อะไรอยู่ในบ่อกันล่ะเนี่ย?" -
3:38 - 3:42ฉันจึงเริ่มอ่านทุกอย่าง ที่จะหยิบฉวยได้
-
3:42 - 3:44เกี่ยวกับการที่เด็กจะรับพิษภัยเข้าไป
-
3:44 - 3:48ที่จะมีผลกระทบ ต่อพัฒนาการทางสมอง
และร่างกายของเด็ก -
3:48 - 3:52แล้ววันหนึ่ง เพื่อนร่วมงานก็เดินเข้ามา
ในที่ทำงาน -
3:52 - 3:56บอกว่า "หมอเบริก คุณเห็นนี่หรือยัง?"
-
3:57 - 4:01ในมือเขา มีหนังสือรายงานการวิจัย
-
4:01 - 4:04ชื่อว่า "การศึกษาประสบการณ์
ในวัยเด็กที่เป็นพิษภัย" -
4:05 - 4:12วันนั้น ได้เปลี่ยนวิธีปฏิบัติงานการแพทย์
และในที่สุด ก็เปลี่ยนงานอาชึพของฉัน -
4:12 - 4:15"การศึกษาประสบการณ์ในวัยเด็กที่เป็นพิษภัย"
-
4:15 - 4:18เป็นสิ่งที่ทุกคนจำเป็นต้องรู้จัก
-
4:18 - 4:23เขียนโดย ดร. วินซ์ เฟลิตติ จากไกเซอร์
และ ดร. บ๊อบ แอนดา จาก CDC -
4:23 - 4:31และด้วยกัน เขาถามพวกผู้ใหญ่ 17,500 คน
เกี่ยวกับประวัติของการรับพิษ -
4:31 - 4:36ที่พวกเขาเรียกว่า "ประสบการณ์ในวัยเด็ก
ที่เป็นพิษภัย" หรือ เอซ (ACE) -
4:37 - 4:41เรื่องเหล่านั้นรวมถึง การข่มเหงทางร่างกาย
ทางอารมณ์ และทางเพศ -
4:41 - 4:45การถูกทอดทิ้งทางร่างกาย หรือทางอารมณ์
-
4:45 - 4:48การป่วยทางจิต การติดสารเสพติด
การต้องขัง ของพ่อแม่ -
4:48 - 4:51การแยกทางหรือหย่าร้างกัน ของพ่อแม่
-
4:51 - 4:53หรือความรุนแรงในครอบครัว
-
4:53 - 4:58ทุกๆ คำตอบที่บอกว่า ใช่ ได้คะแนนไป
หนึ่ง คะแนนเอซ -
4:58 - 4:59แล้วสิ่งที่พวกเขาทำนั้น
-
4:59 - 5:04ก็คือ เอาคะแนนเหล่านี้มาทำสหสัมพันธ์
กับผลที่ได้เกี่ยวกับสุขภาพ -
5:05 - 5:08สิ่งที่พวกเขาพบนั้น น่าประหลาดใจ
-
5:08 - 5:09มีอยู่สองอย่าง
-
5:09 - 5:13อย่างแรก คะแนนเอซนั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดา
อย่างไม่น่าเชื่อ -
5:13 - 5:2067% ของประชากร มีอย่างน้อยที่สุด
หนึ่งคะแนนเอซ -
5:20 - 5:26และ 12.6% หรือ หนึ่งในแปดมีคะแนนเอซ
สี่หรือมากกว่า -
5:27 - 5:29อย่างที่สอง ที่พวกเขาพบ
-
5:29 - 5:32ก็คือ มีความสัมพันธ์ของการตอบสนองกับ
บริมาณพิษที่ได้รับ -
5:32 - 5:37ระหว่างคะแนนเอซ และผลลัพธ์ต่อสุขภาพ
-
5:37 - 5:41คะแนนเอซยิ่งสูงเท่าไหร่
ผลลัพธ์ต่อสุขภาพก็ยิ่งแย่ลงเท่านั้น -
5:41 - 5:44สำหรับคนที่มีคะแนนเอซ สี่หรือมากกว่านั้น
-
5:44 - 5:48จะมีความเสี่ยงต่อโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
-
5:48 - 5:52ถึงสองเท่าครึ่ง
เมื่อเทียบกับผู้ที่คะแนนเอซเป็นศูนย์ -
5:53 - 5:56สำหรับโรคตับอักเสบ
ความเสี่ยงก็เป็นสองเท่าครึ่งด้วยเหมือนกัน -
5:56 - 6:00สำหรับโรคความซึมเศร้า เป็นสี่เท่าครึ่ง
-
6:00 - 6:03พฤติกรรมเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสิบสองเท่า
-
6:03 - 6:06คนที่มีคะแนนเอซเป็นเจ็ดหรือมากกว่านั้น
-
6:06 - 6:11มีความเสี่ยงสามเท่าที่จะเป็นมะเร็งปอด
-
6:11 - 6:15และความเสี่ยงสามเท่าครึ่ง
ที่จะเป็นโรคภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด -
6:15 - 6:18หรือฆาตกรหมายเลขหนึ่ง ในสหรัฐอเมริกา
-
6:19 - 6:22ค่ะ แน่นอนคะ เรื่องนี้มีเหตุมีผล
-
6:22 - 6:27บางคนดูข้อมูลนี้ แล้วก็พูดว่า "เถอะน่า
-
6:27 - 6:31คุณมีชีวิตเยาว์วัยที่แย่
คุณก็น่าจะดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ -
6:31 - 6:34และทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
ที่จะทำลายสุขภาพของคุณเอง -
6:34 - 6:38นี่ไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์หรอก
มันเป็นเพียงแค่พฤติกรรมที่ไม่ดีเท่านั้น -
6:38 - 6:44แต่กลับเป็นว่า เรื่องนี้มันตรงกันเปี๊ยบ
ที่วิทยาศาสตร์จะเข้ามา -
6:44 - 6:48ขณะนี้ เราเข้าใจดีกว่า ที่เคยเข้าใจมาก่อน
-
6:48 - 6:52ว่าพิษภัยที่ได้รับมา ตอนยังเยาว์วัยนั้น
-
6:52 - 6:55กระทบกระเทือนต่อสมอง และร่างกายของเด็ก
-
6:55 - 6:58อย่างเช่น ใจกลางของสมองส่วนที่
เกี่ยวกับอารมณ์และแรงจูงใจ -
6:58 - 7:00ศูนย์กลางของความพึงพอใจ และรางวัลตอบแทน
-
7:00 - 7:03ซึ่งเกี่ยวพันกับ การติดยึดกับวัตถุ
-
7:03 - 7:05มันกีดกั้นการทำงานของ
คอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า -
7:05 - 7:09ซึ่งจำเป็นสำหรับ การควบคุมแรงผลักดัน
และการทำงานขั้นสูงของสมอง -
7:09 - 7:12เป็นพื้นที่ส่วนที่สำคัญยิ่ง ต่อการเรียนรู้
-
7:12 - 7:13และในการตรวจด้วยเครื่อง MRI
-
7:13 - 7:17เราเห็นความแตกต่างที่สามารถวัดได้
ใน อะมิกดะลา ของสมอง -
7:17 - 7:20หรือศูนย์กลางของการตอบสนอง
ต่อความกลัวของสมอง -
7:20 - 7:24จึงมีเหตุผลทางประสาทวิทยาอย่างแท้จริง ว่า
-
7:24 - 7:27ทำไมคนที่รับพิษภัยมา ในระดับที่สูง
-
7:27 - 7:31จึงน่าจะมีส่วนในพฤติกรรมความเสี่ยงที่สูง
-
7:31 - 7:32และนั่นเป็นสิ่งสำคัญ ที่เราควรจะรู้
-
7:32 - 7:38แต่กลับเป็นว่า แม้ว่าคุณไม่ได้มีส่วน
ในพฤติกรรมความเสี่ยงสูงก็ตาม -
7:38 - 7:43คุณก็ยังคงน่าจะ พัฒนาไปเป็นโรคหัวใจ
หรือไม่ก็มะเร็ง -
7:44 - 7:50เหตุผลในเรื่องนี้ก็คือ มันไปสัมพันธ์กับ
แกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัล -
7:50 - 7:54หรือ ระบบตอบสนองต่อความเครียด
ของสมองและร่างกาย -
7:54 - 7:57ที่ควบคุมการตอบสนองว่า จะสู้หรือจะหนี
-
7:57 - 7:59มันทำงานได้อย่างไรหรือ
-
7:59 - 8:03ค่ะ ลองจินตนาการว่า
คุณกำลังเดินอยู่ในป่าและคุณก็เห็นหมี -
8:03 - 8:07ทันใดนั้น "ไฮโปทาลามัสของคุณ
ก็ส่งสัญญาณไปที่พิทูอิทารีของคุณ -
8:07 - 8:10ซึ่งจะส่งสัญญาณไปที่ต่อมอะดรีนัลของคุณ
ที่บอกว่า -
8:10 - 8:13"ปล่อยฮอร์โมนความเครียด
อะดรีนาลีน คอร์ติซอล มาเร็วๆ -
8:13 - 8:16หัวใจของคุณจึงเริ่มเต้นแรง
-
8:16 - 8:18ม่านตาคุณก็ขยายขึ้น ทางเดินหายใจก็เปิด
-
8:18 - 8:24และคุณก็พร้อมที่จะ ต่อสู้กับหมีตัวนั้น
หรือไม่ก็วิ่งหนีไปให้ไกล -
8:24 - 8:27และนั่นน่ามหัศจรรย์จริงๆ
-
8:27 - 8:30หากคุณอยู่ในป่า และมีหมีมา
-
8:30 - 8:33(เสียงหัวเราะ)
-
8:33 - 8:38แต่ปัญหาก็คือ
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหมีมาที่บ้านทุกคืน -
8:38 - 8:44และระบบนี้ก็ทำงานซํ้าแล้วซํ้าเล่า
-
8:44 - 8:48มันเริ่มจากการปรับตัว หรือการรักษาชีวิต
-
8:48 - 8:53จนไปถึงการปรับตัวที่ล้มเหลว
หรือการทำลายสุขภาพ -
8:53 - 8:58เด็กๆ จะอ่อนไหวเป็นพิเศษ ต่อการเกิด
ความเครียดซํ้าๆ นี้ -
8:58 - 9:01เพราะสมองและร่างกายของพวกเขานั้น
กำลังเพิ่งจะพัฒนา -
9:02 - 9:08การรับพิษภัยเข้าไปมาก จะไม่กระทบเพียงโครงสร้าง
และการทำงานของสมองเท่านั้น -
9:08 - 9:11แต่ยังกระทบถึงระบบภูมิคุ้มกัน
ที่กำลังพัฒนาอยู่ -
9:11 - 9:14ระบบฮอร์โมนที่กำลังพัฒนาอยู่
-
9:14 - 9:19และแม้กระทั่งวิธี
ที่ดีเอ็นเอของเราถูกอ่านและถอดความ -
9:20 - 9:25ดังนั้น สำหรับดิฉันแล้ว ข้อมูลนี้
ทำให้ต้องโยนการฝึกปฏิบัติเก่าๆ ทิ้งไปเลย -
9:25 - 9:29เพราะเมื่อเราเข้าใจกลไกของโรคนั้นแล้ว
-
9:29 - 9:34เมื่อเรารู้ ไม่ใช่แค่เส้นทางไหนที่เสีย
แต่ยังรู้วิธีการอย่างไรด้วย -
9:34 - 9:38ในฐานะเป็นแพทย์
มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะใช้วิทยาศาสตร์นี้ -
9:38 - 9:41เพื่อการป้องกัน และการรักษา
-
9:41 - 9:43และนั่นแหละเป็นสิ่งที่เราทำ
-
9:43 - 9:47ในซานฟรานซิสโก เราจึงสร้าง
ศูนย์ความสุขสมบูรณ์ในวัยเด็กขึ้นมา -
9:47 - 9:52เพื่อป้องกัน คัดกรอง และรักษา
ผลกระทบของเอซ และความเครียดที่เป็นพิษ -
9:52 - 9:57เราเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการคัดกรอง
เด็กๆ ทุกคนของเราอย่างเป็นกิจวัตร -
9:57 - 9:58ทางด้านสรีรร่างกายตามปกติ
-
9:58 - 10:03เพราะรู้ดีว่า ถ้าคนไข้ของฉัน
มีคะแนนเอซ 4 คะแนน -
10:03 - 10:08เธอก็มีความเสี่ยงจะเป็นโรคไวรัสตับ
หรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ได้ถึงสองเท่าครึ่ง -
10:08 - 10:10เธอน่าจะซึมเศร้า ได้ถึงสี่เท่าครึ่ง
-
10:10 - 10:15และเธอก็น่าจะพยายามปลิดชีวิตตนเอง
ได้ถึง 12 เท่า -
10:15 - 10:17ของคนไข้ของฉัน
ที่มีคะแนนเอซเป็นศูนย์คะแนน -
10:17 - 10:20ฉันรู้ถึงสิ่งเหล่านั้น
เมื่อเธออยู่ในห้องตรวจกับฉัน -
10:20 - 10:23สำหรับคนไข้ที่มีผลการกลั่นกรองเป็นบวก
-
10:23 - 10:28เรามีทีมงานการรักษา จากสาขาวิชาต่างๆ
ที่มาทำงานเพื่อลดพิษภัยเหล่านั้น -
10:28 - 10:34และรักษาอาการโดยวิธีที่ดีที่สุด รวมถึง
การไปเยี่ยมเยียนที่บ้าน การประสานการดูแล -
10:34 - 10:38การดูแลสุขภาพจิต โภชนาการ
-
10:38 - 10:43การให้การบำบัดโรคแบบองค์รวม
และใช่ค่ะ การให้ยาเมื่อจำเป็น -
10:43 - 10:47แต่เรายังให้ความรู้แก่พ่อแม่อีกด้วย
เรื่องผลกระทบของเอซ และความเครียดที่เป็นพิษ -
10:47 - 10:53วิธีเดียวกับคุณจะให้ เพื่อให้ปิดซ่อน
ปลั๊กไฟ หรือสารพิษตะกั่วไว้ -
10:53 - 10:57และเราก็ให้การดูแลเฉพาะราย สำหรับคนไข้
ที่เป็นโรคหอบหืด และโรคเบาหวาน -
10:57 - 11:01ในแบบที่เห็นความสำคัญว่า
พวกเขาอาจต้องการ การรักษาที่แรงกว่านี้ -
11:01 - 11:06เมื่อพิจารณาถึง การเปลี่ยนแปลงของระบบฮอร์โมน
และภูมิคุ้มกันของพวกเขา -
11:06 - 11:10ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นที่เหลืออยู่
เมื่อคุณเข้าใจวิทยาศาสตร์เรื่องนี้ -
11:10 - 11:13ก็คือ คุณก็อยากจะขึ้นไปตะโกน
อยู่บนยอดหลังคา -
11:13 - 11:17เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เป็นปัญหา
แต่เฉพาะเด็กๆในเบย์วิวเท่านั้น -
11:17 - 11:21ฉันได้คาดการณ์ไว้ว่า ทันทีที่คนอื่นๆ
ได้ยินเรื่องนี้ -
11:21 - 11:24ก็น่าจะมี การคัดกรองเกิดขึ้นเป็นกิจวัตร
มีทีมให้การรักษาจากหลายสาขาวิชา -
11:24 - 11:29และก็น่าจะมี การเร่งรีบให้มีระเบียบปฏิบัติ
ในการรักษาทางการแพทย์ที่ได้ผลที่สุด -
11:29 - 11:33ค่ะ นั่นไม่ได้เกิดขึ้น
-
11:33 - 11:36และนั่นเป็นการเรียนรู้ที่ใหญ่ยิ่งของฉัน
-
11:36 - 11:41สิ่งที่ฉันเคยคิดว่า เป็นแค่เพียงการปฏิบัติ
ทางการแพทย์ที่ดีที่สุด -
11:41 - 11:44ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า เป็นการ
เคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลง -
11:45 - 11:47จากคำพูดของ ดร. โรเบิร์ท บล็อก
-
11:47 - 11:51ประธานสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา
-
11:51 - 11:54"ประสบการณ์พิษภัยในวัยเด็กนั้น
-
11:54 - 11:59เป็นการคุกคามทางสุขภาพต่อสาธารณชน
ที่ใหญ่ยิ่ง ที่ไม่ได้มีการพูดถึงกันมาก่อน -
11:59 - 12:01ที่ชาติเราเผชิญอยู่ ทุกวันนี้"
-
12:01 - 12:06และสำหรับคนเป็นจำนวนมากแล้ว
นั่นเป็นการคาดการณ์ที่น่ากลัว -
12:06 - 12:12ขอบเขตและขนาดของปัญหานั้น
ดูจะใหญ่มาก จนรู้สึกท่วมท้น -
12:12 - 12:14ที่จะคิดว่า เราจะเข้าไปจัดการกับมัน
ได้อย่างไร -
12:14 - 12:19แต่สำหรับฉันแล้ว แท้จริงแล้ว
ความหวังอยู่ที่นั่น -
12:19 - 12:22เพราะว่า เมื่อเรามีกรอบที่ถูกต้อง
-
12:22 - 12:27เมื่อเราเห็นและรู้ว่า
มันจะเป็นวิกฤติด้านสุขภาพของสาธารณชน -
12:27 - 12:32แล้วก็นำเอาเครื่องไม้เครื่องมือที่ถูกต้องมาใช้
และได้วิธีการแก้ปัญหามาแล้ว -
12:32 - 12:36ตั้งแต่เรื่องบุหรี่ จนถึงพิษจากสารตะกั่ว
จนถึงไวรัสเอชไอวี หรือไวรัสเอดส์ -
12:36 - 12:41สหรัฐฯ นั้นจริงๆ แล้ว มีผลงานในอดีตที่ดีเด่น
-
12:41 - 12:43ในเรื่องของการเข้าไปแก้ปัญหา
ด้านสุขภาพของสาธารณชน -
12:43 - 12:49แต่หากจะนำความสำเร็จแบบเดียวกันนั้น
มาใช้กับเอซ และความเครียดที่เป็นพิษ -
12:49 - 12:54กลับจะต้องใช้ความมุมานะ และข้อผูกมัด
-
12:54 - 12:58และเมื่อฉันดูการขานรับของประเทศเรา
จนถึงเดี๋ยวนี้แล้ว -
12:58 - 12:59ฉันก็สงสัยว่า
-
12:59 - 13:03ทำไมเราจึงไม่สนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง
-
13:03 - 13:07อย่างที่รู้กัน ในตอนแรกฉันคิดว่า
เราเห็นเป็นเรื่องเล็กไม่สำคัญ -
13:07 - 13:09เพราะว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับเรา
-
13:09 - 13:12มันเป็นปัญหาของเด็กๆ พวกนั้น ในละแวกนั้น
-
13:12 - 13:16ซึ่งก็แปลก เพราะข้อมูลไม่ได้บอกอย่างนั้น
-
13:16 - 13:21การศึกษาวิจัยเรื่องเอซแต่เริ่มแรกนั้น
กระทำกับประชากร -
13:21 - 13:23ที่ 70% เป็นคนผิวขาว
-
13:23 - 13:2670% ศึกษาในระดับอุดมศึกษา
-
13:26 - 13:30แต่แล้ว ยิ่งฉันได้พูดกับผู้คนทั้งหลาย
-
13:30 - 13:34ฉันก็เริ่มจะคิดว่า บางทีฉันคงทำงาน
จากข้างหลังมาโดยตลอด -
13:35 - 13:41และถ้าฉันจะถามว่า มีใครกี่คนในห้องนี้
-
13:41 - 13:45ถูกเลี้ยงดูมากับคนในครอบครัว
ที่เป็นโรคทางประสาท -
13:46 - 13:48พนันได้เลยว่า จะมีไม่กี่คนที่ยกมือ
-
13:48 - 13:54แต่ถ้าฉันถามว่า กี่คนมีพ่อหรือแม่
ที่ดื่มเหล้ามากเกินไป -
13:54 - 13:58หรือที่เชื่ออย่างจริงจังว่า ถ้าหย่อนยาน
เรื่องไม้เรียว คุณก็จะทำให้เด็กเสียคน -
13:59 - 14:02พนันได้เลยว่า จะมีอีกไม่กี่คน ที่ยกมือ
-
14:02 - 14:07กระทั่งในห้องนี้ เรื่องนี้ก็เป็นปัญหา
ที่กระทบเราหลายคน -
14:07 - 14:11และฉันก็เริ่มเชื่อว่า เราเห็นปัญหาไม่สำคัญ
-
14:11 - 14:13เพราะว่า มันก็เกิดขึ้นกับเราด้วย
-
14:13 - 14:16บางที่ มันน่าจะง่ายกว่านี้ ที่จะมองมัน
โดยใช้รหัสอื่น -
14:16 - 14:19เพราะว่า เราไม่ต้องการเห็นมัน
-
14:19 - 14:21เราจะรู้สึกกระอักกระอ่วน
-
14:22 - 14:28แต่โชคดี ดวามก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
และพูดตรงๆ ความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ -
14:28 - 14:32ทำให้ทางเลือกที่มีนั้น น้อยลงๆทุกวัน
-
14:34 - 14:35วิทยาศาสตร์นั้น ชัดเจน
-
14:36 - 14:41พิษภัยในวัยเยาว์ มีผลกระทบที่รุนแรง
ต่อสุขภาพ ไปตลอดชีวิต -
14:42 - 14:47ในวันนี้ เราเริ่มจะเข้าใจ วิธีที่จะยับยั้ง
ไม่ให้มันลุกลามออกไป -
14:47 - 14:51จากพิษภัยในวัยเด็ก ไปเป็นโรคภัย
และการเสียชีวิตไปอย่างเร็วไว -
14:51 - 14:5330 ปีจากนี้ไป
-
14:53 - 14:56เด็กที่มีคะแนนเอซสูง
-
14:56 - 14:59ที่อาการแสดงออกทางพฤติกรรมของเขา
เรายังมองไม่ออก -
14:59 - 15:02ที่การจัดการรักษาโรคหอบหืดของเขานั้น
ยังไม่เชื่อมต่อกัน -
15:02 - 15:05และที่จะพัฒนาไป เป็นความดันสูง
-
15:05 - 15:08และโรคหัวใจ หรือมะเร็ง ตั้งแต่อายุยังน้อย
-
15:08 - 15:13ก็จะเป็นแค่สิ่งผิดปกติ ที่เหมือนๆกับ
อัตราการตายเมื่ออายุหกเดือน จากโรคเอดส์ -
15:13 - 15:17คนก็จะเห็นสถานการณ์นั้น
และบอกว่า "มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย" -
15:18 - 15:21สิ่งนี้รักษาให้หายได้ค่ะ
-
15:21 - 15:24สิ่งนี้เราเอาชนะมันได้
-
15:24 - 15:28สิ่งสำคัญที่สุดสิ่งเดียว
ที่จำเป็นสำหรับเรา ในวันนี้ -
15:28 - 15:31คือ ความกล้า ที่จะมองเห็นปัญหาซึ่งๆ หน้า
-
15:31 - 15:36แล้วก็บอกว่า นี่เป็นปัญหาอย่างแท้จริง
และนี่เป็นปัญหาของเราทุกคน -
15:36 - 15:41ฉันเชื่อว่าปัจจุบัน เราเป็นการเคลื่อนไหว
เพื่อการเปลี่ยนแปลง -
15:41 - 15:42ขอบคุณค่ะ
-
15:42 - 15:46(เสียงปรบมือ)
- Title:
- เหตุสะเทือนขวัญในวัยเด็ก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพไปชั่วชีวิตได้อย่างไร
- Speaker:
- นาดีน เบิร์ก แฮร์ริส (Nadine Burke Harris)
- Description:
-
เหตุสะเทือนขวัญในวัยเด็ก ใช่ว่าโตขึ้นมาแล้วจะทำใจได้ พญ. นาดีน เบิร์ก แฮร์ริส กุมารแพทย์ อธิบายว่าความเครียดที่เกิดซํ้าแล้วซํ้าเล่า จากการถูกทารุณกรรม ทอดทิ้ง และการที่พ่อแม่มีอาการป่วยทางจิตหรือติดยาเสพติดในวัยเด็ก ส่งผลกระทบจริงและเห็นได้ชัดต่อพัฒนาการทางสมอง และมีผลต่อเนื่องตลอดช่วงชีวิต ถึงระดับที่ผู้ที่ประสบเหตุสะเทือนขวัญในวัยเด็กมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็งปอดมากกว่าปกติสามเท่า
การนำเสนอนี้เป็นการเรียกร้องด้วยหัวใจให้แพทย์กุมารเวชหันมาเผชิญหน้ากับประเด็นการป้องกันและรักษาเหตุสะเทือนขวัญ - Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 15:59
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for How childhood trauma affects health across a lifetime | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut approved Thai subtitles for How childhood trauma affects health across a lifetime | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut accepted Thai subtitles for How childhood trauma affects health across a lifetime | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for How childhood trauma affects health across a lifetime | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for How childhood trauma affects health across a lifetime | ||
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for How childhood trauma affects health across a lifetime | ||
Wit Wichaidit edited Thai subtitles for How childhood trauma affects health across a lifetime | ||
Wit Wichaidit edited Thai subtitles for How childhood trauma affects health across a lifetime |